นัยน์ตาของเขาเปล่งประกายของความยำเกรงออกมาขณะพูดต่อ “อย่าว่าแต่เทพเจ้าสวรรค์สร้างเลย แค่นักรบระดับเทพเจ้าขั้นสูงก็มีคุณสมบัติเพียงพอจะก่อตั้งตระกูลของตัวเองและกลายเป็นกลุ่มอำนาจในเมืองตะวันรอนแล้ว”
“เทพเจ้าขั้นสูง? เทพเจ้าสวรรค์สร้าง?” หลัวชวนฉิงกำหมัดแน่นขณะสาบานกับตัวเองว่าวันหนึ่งจะต้องเข้าถึงระดับขั้นเหล่านั้นให้ได้
เขาเพิ่งมาถึงสรวงสวรรค์ได้ไม่นาน แต่ก็รู้แล้วว่าวรยุทธที่เหนือกว่าระดับเทพเจ้าขึ้นไปมีช่องว่างที่ห่างกันมาก ต่อให้เขามีทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธอย่างเหลือเฟือ ก็คงต้องฝึกหนักหลายปีกว่าจะยกระดับวรยุทธจากเทพเจ้าขั้นต่ำไปเป็นเทพเจ้าขั้นกลางได้
“ใช่ อย่างตัวผมน่ะ ผมไม่กล้าฝันว่าจะได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างหรือเทพเจ้าขั้นสูงหรอก ความปรารถนาสูงสุดในชีวิตของผมก็คือได้เป็นนักรบระดับเทพเจ้า และเมื่อเรียนจบ ก็จะหางานดีๆในตระกูลผู้ทรงเกียรติหรือเป็นองครักษ์ประจำคฤหาสน์ท่านเจ้าเมือง ด้วยค่าตอบแทนที่ได้รับ…ผมจะแต่งงานกับภรรยาสวยๆสักคน และจากนั้นก็จะมีความสุขที่สุดในโลก!”
ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้าง ซึ่งตัวเขารู้ดีว่าระดับสติปัญญาของตัวเองเหนือกว่าเพื่อนร่วมรุ่นโดยทั่วไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เขาไม่กล้าฝันไกลเกินตัว ทั้งหมดที่หวังไว้ก็คือเรียนจบแล้วหางานที่ได้ค่าตอบแทนสูงๆ
หากทำได้ตามนั้น ชีวิตก็ไม่เสียชาติเกิดแล้ว
เป็นองครักษ์ก็ไม่เลว เมื่อเราเข้าเมืองแล้ว เราจะเป็นองครักษ์บ้าง คงได้ค่าตอบแทนที่น่าพอใจและสามารถฝึกฝนวรยุทธอย่างหนักได้ต่อไป หลัวชวนฉิงคิดอย่างมุ่งมั่น
การเริ่มต้นคือจุดที่ยากที่สุดเสมอ พวกเขาทั้งสามต่างก็ถังแตกเมื่อมาถึงสรวงสวรรค์ จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องแก้ไขปัญหาด้านการเงินเสียก่อน ขอแค่หางานได้และตั้งใจทำให้ดี ก็น่าจะได้เงินมากพอสำหรับการยกระดับวรยุทธอย่างรวดเร็ว
หากโชคดี ในอีก 10 ปีข้างหน้าเขาอาจได้เป็นเทพเจ้าขั้นกลางหรือแม้แต่เทพเจ้าขั้นสูง ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้น จางเซวียนจะมีความหมายอะไรกับเขาอีก?
อีกอย่าง ด้วยความเกเรนอกคอกของจางเซวียนและนิสัยที่ชอบคุยโวโอ้อวด ต่อให้หมอนั่นไปสมัครงานตำแหน่งองครักษ์ ก็คงไม่มีใครอยากรับ ดังนั้นตัวเขาย่อมได้เปรียบ ถูกไหม?
“ฉันขอถามอะไรสักหน่อย พวกเรามีสหายคนหนึ่งซึ่งแยกทางกันบนภูเขาเมื่อราว 1 เดือนก่อน ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิด เขาน่าจะมุ่งหน้าสู่เมืองตะวันรอน จึงอยากรู้ว่าคุณเคยได้ยินชื่อเขาบ้างหรือเปล่า” หยู่เฟยเอ๋อโพล่งออกมา
นักเรียนผู้มีน้ำใจส่ายหน้า “ผมไม่คิดว่าผมจะเคยได้ยินชื่อสหายของคุณหรอก เมืองตะวันรอนน่ะแสนกว้างใหญ่ ผู้คนหลายล้านเดินทางเข้าออกไม่เว้นแต่ละวัน…”
“ฉันรู้ แต่สหายของพวกเราคนนี้ทั้งเก่งกาจและบ้าบิ่น มักสร้างความวุ่นวายในทุกที่ที่ไป ฉันจึงคิดว่าเขาอาจทำอะไรสักอย่างที่ทำให้ตัวเขาเป็นที่รู้จักของผู้คนทั้งเมือง…” หยู่เฟยเอ๋อยังไม่ละความพยายาม
จางเซวียนมาถึงสรวงสวรรค์ก่อนหน้าพวกเขาเพียงเดือนเดียว โอกาสที่ใครต่อใครจะรู้จักเขาจึงมีน้อยมาก แต่เธอก็ยังมีความหวัง
เธอไม่ได้พบชายหนุ่มนานแล้ว และความถวิลหาของเธอก็ล้ำลึกขึ้นเรื่อยๆ เธอร้อนใจอยากได้ข่าวคราวของเขา แม้ข่าวนั้นจะเป็นเพียงข้อมูลที่บอกว่าเขาสุขสบายดี
“สร้างความวุ่นวาย? ผมคิดว่าคุณประเมินสหายของคุณสูงเกินไปแล้วล่ะ…ต่อให้มังกรผู้สูงส่งก็ยังต้องรักษากฎระเบียบเมื่ออยู่ในเมืองตะวันรอน ไม่อย่างนั้น ท่านเจ้าเมืองอู๋เอาตายแน่!” นักเรียนคนนั้นพ่นลม
ก็แค่มนุษย์ถ้ำกลุ่มหนึ่งที่ไม่เคยพบเห็นดินแดนใดๆนอกเขตภูเขา และได้เป็นนักรบระดับเทพเจ้าเพราะดวงดีหรืออะไรสักอย่าง…หลงตัวเองเกินไปแล้วล่ะถ้าคิดว่าสร้างความวุ่นวายในเมืองแล้วจะลอยนวลไปได้!
การไม่รู้อะไรเลยนี่ช่างน่ากลัวจริงๆ!
“พอเถอะ, หยู่เฟยเอ๋อ ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณนะ หมอนั่นสร้างความอึกทึกครึกโครมมาไม่น้อยทั้งในทวีปแห่งปรมาจารย์และมิติเบื้องบน แต่ตอนนี้เราอยู่ในสรวงสวรรค์แล้ว สถานที่ที่เหล่าผู้เชี่ยวชาญผู้ไร้เทียมทานที่สุดในโลกมารวมตัวกัน! หมอนั่นอาจเก่งกาจก็จริง แต่จะโดดเด่นเหนือผู้เชี่ยวชาญคนอื่นน่ะมันไม่ง่ายหรอก…” หลัวชวนฉิงพึมพำ
พูดตามตรง เขารู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ยุติธรรมเลย
เพราะอะไรเจ้าโง่ขี้อวดนั่นถึงมีแต่คนหลงใหลคลั่งไคล้?
ส่วนตัวเขาซึ่งทั้งหล่อเหลาและมีน้ำใจกลับไม่มีใครสนใจใยดี…
โลกนี้เป็นอะไรไปแล้ว? ผู้ชายแย่ๆกำลังเป็นสมัยนิยมหรือไง?
“ฉันรู้…” หยู่เฟยเอ๋ออึ้งไปเล็กน้อยขณะส่ายหน้าอย่างไม่สบายใจ
ต่อให้ปราดเปรื่องระดับปรมาจารย์จาง ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างวีรกรรมน่าทึ่งได้สำเร็จภายในเวลาเพียงเดือนเดียว
“เอาล่ะ เลิกคิดเรื่องนี้กันเถอะ เจ้าหมอนั่น, จางเซวียนน่ะ ไม่เคยนิ่งเฉยอยู่แล้ว ต่อให้ตอนนี้ไม่มีข่าวคราวของเขา แต่ไม่ช้าจะต้องเจอตัวเขาแน่ สิ่งที่เราต้องทำในเวลานี้ก็คือใส่ใจเรื่องการฝึกฝนวรยุทธให้มาก และเมื่อพบกันอีกครั้ง เขาจะต้องประหลาดใจ…” หูเหยาเหย่าปลอบหยู่เฟยเอ๋อ
หยู่เฟยเอ๋อพยักหน้า “เธอพูดถูก…”
ขณะที่ทั้งสามกำลังจะกล่าวอำลานักเรียนกลุ่มนั้น ก็พลันรู้สึกได้ว่าทั้งกลุ่มจับจ้องพวกเขาด้วยนัยน์ตาเบิกโพลง นักเรียนคนที่คุยกับพวกเขาเมื่อครู่ตัวสั่นจนฟันกระทบกันกึกกัก
“พวกคุณเพิ่งพูดถึงใครนะ? จะ-จางเซวียน? ชายหนุ่มอายุราว 20 ปีที่เพิ่งปรากฏตัวในสรวงสวรรค์เมื่อ 1 เดือนก่อน, ผู้อาวุโสจางเซวียน ใช่ไหม?”
“ผู้อาวุโสจางเซวียน?”
ทั้งสามมองหน้ากันอย่างงุนงง
หลัวชวนฉิงโพล่งออกมาพร้อมกับขมวดคิ้ว “ใช่ ก็เขานั่นแหละ แต่…คุณรู้จักชื่อนั้นได้อย่างไร?”
“ผมรู้จักชื่อนั้นแน่นอน…” นักเรียนผู้นั้นอุทานออกมาขณะตัวสั่นอย่างตื่นเต้น “ผู้อาวุโสจางเซวียนคือไอดอลของผม คุณรู้ไหม, ไอดอลของผมเลยนะ! เขาปรากฏตัวที่ภูเขาจิตวิญญาณยิ่งใหญ่เมื่อ 1 เดือนก่อน ที่นั่น…เขาได้พบอาจารย์โม่หย่วน, ศิษย์พี่อู๋เฉียวเฉี่ยวและคนอื่นๆ หลังจากเข้าสู่เมืองตะวันรอนได้เพียงไม่กี่วัน เขาก็ฝ่าด่านคอขวดสำเร็จและกลายเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้าง! คุณนึกภาพไม่ออกหรอกว่าเรื่องนี้สร้างความอึกทึกครึกโครมขนาดไหนให้กับเมืองของเรา!”
“และเมื่อไม่นานมานี้ ผมก็ได้ข่าวว่าเขากลายเป็นราชันย์เทพเจ้าแล้ว ลือกันว่าเขาสังหารราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติไปคนหนึ่งด้วยซ้ำ…”
ด้วยกระแสความนิยมล้นหลามของยาเม็ดเพิ่มความงามและยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธ จางเซวียนจึงเป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วทั้งสรวงสวรรค์ ลงท้าย ข่าวคราวของเขาก็แพร่สะพัดออกไป เมื่อเรื่องเล่าถูกถ่ายทอดกันปากต่อปาก สุดท้ายก็กลายเป็นตำนาน
“เขากลายเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างในเวลาเพียงไม่กี่วัน?” หลัวชวนฉิงชะงัก “และตอนนี้ก็เป็นราชันย์เทพเจ้าแล้ว แถมยังสังหารราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติไปคนหนึ่งด้วย?”
นักเรียนผู้นั้นคิดว่ามนุษย์ถ้ำอย่างหลัวชวนฉิงคงไม่เข้าใจว่าราชันย์เทพเจ้ากับราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติคืออะไร จึงตั้งต้นอธิบาย “คืออย่างนี้นะ ราชันย์เทพเจ้าคือนักรบที่แข็งแกร่งกว่าเทพเจ้าสวรรค์สร้าง พวกเขาถือเป็นนักรบชั้นยอดของสรวงสวรรค์ ส่วนราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติคือราชันย์เทพเจ้าที่จอมราชันย์เป็นผู้มอบตำแหน่งทรงเกียรติให้ด้วยตัวเอง พวกเขามีพละกำลังเป็นรองเพียงแค่ 9 จอมราชันย์เท่านั้น!”
เมื่อข่าวคราวเรื่องการสังหารไป๋เย่ฉิงหงซึ่งเป็นฝีมือของจางเซวียนแพร่สะพัดไปทั่วสรวงสวรรค์ เขาก็กลายเป็นไอดอลของนักรบวัยรุ่นทุกคนที่พำนักอยู่ในน่านฟ้าแห่งจิตวิญญาณเร่ร่อน
“ยะ-อย่างนั้นหรือ? แล้วเมื่อครู่นี้คุณพูดถึง 9 จอมราชันย์-พวกเขาเป็นใคร?” หลัวชวนฉิงซักไซ้ ใบหน้าของเขากระตุก
“พวกเขาคือผู้กุมอำนาจตัวจริงในสรวงสวรรค์ของเรา นับตั้งแต่ก่อตั้งสรวงสวรรค์มา มีจอมราชันย์เพียง 9 คนเท่านั้น และจะเป็นแบบนั้นไปชั่วกัลปาวสาน! จอมราชันย์คือระดับขั้นที่ไม่ว่าคุณจะฝึกฝนวรยุทธอย่างหนักขนาดไหนก็ไม่มีวันเข้าถึง มันทั้งน่าทึ่งและเหลือเชื่อ…” นักเรียนผู้นั้นอธิบาย
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ พื้นดินก็สั่นสะท้าน เสียงหนึ่งดังก้องในศีรษะของพวกเขา
“วันนี้ ผมจะเป็นจอมราชันย์!”
ขณะที่ประโยคนั้นดังก้อง ภาพของร่างหนึ่งที่ยืนจังก้าอยู่กลางอากาศก็ปรากฏในหัวสมองของทุกคน อีกฝ่ายจับจ้องลงมาด้วยสายตาที่เปี่ยมอำนาจ
“จางเซวียน…”
“เดี๋ยวก่อน เขาเป็นจอมราชันย์แล้วหรือ? เมื่อครู่นี้คุณบอกไม่ใช่หรือว่าพวกเขาคือผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก และต่อให้ฝึกฝนวรยุทธหนักแค่ไหนก็ไม่มีทางเข้าถึง?” หลัวชวนฉิงแทบลมจับ
นี่มันบ้าอะไร?
ผมกัดฟันเอาชีวิตรอดจากกระต่ายบ้าตัวนั้น แถมยังมดประหลาดอีกทั้งรังเพื่อจะตามคุณให้ทันสักวันหนึ่ง…แต่แล้วคุณก็กลายเป็นจอมราชันย์?
ล้อผมเล่นใช่ไหม!
ผมช้ำใจนะ…
ทำไมถึงรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก?
หยู่เฟยเอ๋อกับหูเหยาเหย่าก็ตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ
ทั้งคู่รู้ดีว่าจางเซวียนคือจอมยุ่งที่ไม่มีวันหยุดสร้างความวุ่นวายไม่ว่าจะไปที่ไหน แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นความอึกทึกครึกโครมที่ยิ่งใหญ่ระดับนี้
มาถึงสรวงสวรรค์ได้เพียงเดือนเดียว ก็กลายเป็นจอมราชันย์แล้ว
นักเรียนคนอื่นๆก็นึกไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ทุกคนนิ่งอึ้งด้วยความตกใจ
…..
แต่หลังจากนั้นไม่นาน อีกร่างหนึ่งก็ปรากฏในหัวสมองของพวกเขา
“ไม่น่าเชื่อเลยว่าคุณจะฝ่าด่านวรยุทธได้ก่อนผม แล้วผมจะไปอวดใครๆได้อย่างไร? ผมคือจอมราชันย์เหมือนเจ้างั่งคนนี้!”
“….”
ทุกคนมองหน้ากันอย่างตกตะลึง
หูเหยาเหย่ากับหยู่เฟยเอ๋ออ้าปากค้างเสียจนแทบจะหย่อนไข่ไก่ลงไปได้
นี่หมายความว่า…
ไม่เพียงแต่จางเซวียนจะได้เป็นจอมราชันย์ ตัวโคลนของเขาก็ได้เป็นจอมราชันย์ด้วย!
และที่น่าตกใจไปกว่านั้น เมื่อทั้งคู่หันกลับมา ก็เห็นหลัวชวนฉิงกำลังแหกปากลั่น น้ำมูกไหลย้อยออกจากจมูกของเขา…
ให้นรกกินเถอะ…ต่อให้คุณไม่อยากให้ผมเข้าไปยุ่ง ก็ไม่เห็นต้องยกระดับวรยุทธรวดเร็วขนาดนี้เพื่อทำให้ผมช้ำใจเลยนี่ จริงไหม?
คุณเป็นถึงจอมราชันย์แล้ว แต่ผมยังล่ากระต่ายสักตัวไม่ได้ด้วยซ้ำ…แล้วผมจะเอาชนะคุณได้อย่างไร?
ให้ตายสิ!
ภาคต่อ 2 : หลัวฉีฉี
ตึ้มมมมม!
บนภูเขาที่ลอยอยู่เหนือน่านฟ้าเสรี เสียงระเบิดของดอกไม้ไฟเพื่อการเฉลิมฉลองดังกึกก้องไปทั่ว บ่งบอกถึงเทศกาลแห่งความสุขและความยินดี
เหล่าผู้เชี่ยวชาญที่หลายคนเคยได้ยินชื่อเพียงแค่จากคำร่ำลือแต่แทบไม่มีใครเคยเห็นตัวจริงต่างรีบมารวมตัวกันบนภูเขาแห่งนี้ ทุกคนยิ้มกว้าง พวกเขาแสดงความยินดีและมอบของขวัญสำหรับเฉลิมฉลองการแต่งงานที่พวกเขาจัดหามา
มันคืองานวิวาห์ระหว่างมหาอำมาตย์จางเซวียนกับจอมราชันย์หลินชี!