บทที่ 4 เสวียนชื่อ
Ink Stone_Romance
ตัวฝูเองก็ยังต้องตกใจ นี่เป็นคราแรกที่นางเห็นผี
ตอนเด็กๆ นางมักจะถูกรังแกเพราะมีหน้าตาที่อัปลักษณ์ ที่บ้านหลังหนึ่งในหมู่บ้าน ว่ากันว่ามักจะมีเงาสีขาวลอยผ่านไปผ่านมาอยู่เป็นประจำ นางถูกเด็กกลุ่มหนึ่งหลอกให้เข้าไปข้างในและขังไว้นานถึงหนึ่งวันเต็ม
หลังจากนั้นมีผู้ใหญ่มาพบเข้าจึงได้ปล่อยนางออกมา นอกจากความหิวโหยและต้องทนกับความหนาวเย็น นางก็มิเป็นอันใดเลย
คนพวกนั้นต่างคิดว่า อาจเป็นเพราะหน้าตาที่น่าเกลียดของนางจึงทำให้เหล่าภูติผีได้พบเห็นตกใจกลัวจนหนีไปกันหมด
ต่อมานางได้เข้ามาอยู่ที่เรือนตระกูลหมิง ฮูหยินสามได้หาหมอดูมาทำนายชะตาชีวิตของนาง คำทำนายกล่าวว่า นางมีชะตาชีวิตที่เป็นหยางบริสุทธิ์ สามารถขับไล่และกำจัดสิ่งชั่วร้ายได้
ครั้นเมื่อสวนอวี๋ฟางมีวิญญาณร้ายสิงสถิตก่อนหน้านี้ เหล่าแม่บ้านสาวใช้ต่างบอกว่าตนได้พบเห็นเงาประหลาดมีเพียงตัวฝูที่ไม่เคยพบเจอเลยสักครา
หากไม่ใช่เพราะคุณหนูเจ็ดโดนผีหลอก นางก็คงไม่เชื่อว่าในโลกนี้มีผีอยู่จริงๆ
ทว่าครานี้นางได้เห็นมันกับตาตัวเอง กลุ่มควันสีดำขมุกขมัวที่ปกคลุมด้วยเงาสีเทาขาวพุ่งตรงไปยังแม่นางหลิว
‘กริ้ง’ เสียงของเหรียญทองแดงทั้งเจ็ดร่วงกระทบพื้นดังก้องกังวาน ในตอนแรกตัวฝูหวาดกลัวจนมิอาจขยับร่างกาย แต่เมื่อนางนึกถึงคำพูดของคุณหนู
นางมีโชคและสามารถปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายได้ เจ้านี่คือสิ่งที่ทำให้คุณหนูหวาดกลัวจนแทบขาดใจ ข้ามิอาจปล่อยให้มันทำร้ายใครได้อีก!
นางไม่รู้ว่าความกล้าหาญนี้มาจากที่ใดกัน ทันทีที่มองเห็นสิ่งนั้นพุ่งไปทางแม่นางหลิว ตัวฝูก็รีบวิ่งตามประชิด
นางพุ่งหมัดออกไป และทันใดนั้นด้ายแดงที่ข้อมือของนางก็เปล่งแสงออกมาราวกับแสงอาทิตย์ที่แผดเผา
‘ฉ่า…’ นางไม่รู้ว่าเสียงที่ได้ยินนี้เป็นเสียงที่นางหลอนไปเองหรืออย่างไร แต่เงานั้นก็ได้หยุดชะงัก
ท่ามกลางเสียงถอนหายใจเบาๆ เงานั้นหันหัวกลับมาอย่างรวดเร็ว ดวงตาสีแดงสดคู่นั้นจ้องมาที่นางด้วยความอาฆาต
ตัวฝูก้าวถอยหลังด้วยความตกใจจนล้มลงกับพื้น
“ไม่นะ!” นางยกมือขึ้นป้องตามสัญชาตญาณ หวังจะกันสิ่งนั้นออกไป
ดวงอาทิตย์ยามเที่ยงส่องแสงกระทบกับเชือกสีแดงที่ผูกอยู่ระหว่างข้อมือนาง เกิดเส้นลำแสงสีทองพุ่งออกจากปมที่พันกันอย่างน่าเกลียดล้อมรอบเป็นวงแหวน
‘กริ้ง’ เหรียญทองแดงที่แปดเปื้อนไปด้วยควันสีดำ ดีดตัวกระเด้งขึ้นราวกับความสกปรกได้ถูกชะล้างจากลำแสงนั้น
เหรียญทองแดงทั้งเจ็ดกลับไปเรียงรายอยู่กลางอากาศดังเดิมอีกครั้งจิตใจของแม่นางหลิวเริ่มสงบลง จึงยกกล้องยาสูบขึ้นพ่นควันออกไป
“โจมตี” การต่อสู้ได้เริ่มขึ้น แสงแห่งจิตวิญญาณบริสุทธิ์เปล่งออกมาอีกครั้ง
‘กริ้งๆๆๆ’ เกิดเสียงดังขึ้นต่อเนื่อง
ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนอันน่าสังเวช จากเงาสีเทากลายเป็นกลุ่มควันสีดำ ควันนั้นรีบพุ่งหลบเข้าไปในต้นหลิวทันที
‘กริ้ง——’ เสียงที่ลากยาวของเหรียญทองแดงทั้งเจ็ดเหรียญกลิ้งไปกับพื้น
แม่นางหลิวไม่สนใจความรู้สึกทุกข์ใดๆ ทรุดตัวลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง พร้อมกับเหงื่อที่ชุ่มโชกไปทั้งกาย ตัวฝูนั่งบนพื้นด้วยความว่างเปล่าและยังคงอยู่ในท่าเดิม
เสียงรอบข้างเงียบสงัด ผ่านไปชั่วขณะจึงได้ยินเสียงของแม่นมถง “เร็วเข้า รีบไปช่วยพยุงท่านเทพธิดา ตัวฝู!”
เหล่าสาวใช้แม่บ้านเหมือนเพิ่งตื่นจากภวังค์แห่งความฝัน ต่างแยกย้ายกันวิ่งไปหา
หลังจากได้รับการช่วยเหลือกลับไปที่เรือนและจิบน้ำชาไปอึกใหญ่ ตัวฝูจึงได้ฟื้นคืนสติ นางเหงื่อท่วมกาย แต่ความรู้สึกเย็นเยือกที่ต้องเผชิญหน้ากับเงา ยังคงทำให้นางรู้สึกหนาวลึกไปถึงหัวใจ
มือคู่หนึ่งยื่นมากอดนาง ตัวฝูเงยหน้าขึ้นมองดู เห็นคุณหนูกำลังยิ้มให้ ช่างงดงามเหลือเกิน
“ตัวฝูกล้าหาญมาก” นางพูดเบาๆ
“คุณหนู” ตัวฝูอยากจะเอ่ยว่าเคราะห์ดีนักที่ได้สร้อยข้อมือเส้นนี้ นางมองไม่เห็นแสงสีทองแต่ก็สัมผัสได้ถึงความร้อนที่ผิดปกติ ทว่าในขณะที่นางกำลังจะเอ่ยปาก ก็สงสัยว่าตนนั้นเข้าใจผิด
สร้อยข้อมือเส้นนี้เป็นเพียงสิ่งที่คุณหนูถักขึ้นมาเล่นๆ ปมที่ถักอย่างยุ่งเหยิงไม่สวยงามจะสามารถมีพลังแบบนั้นได้อย่างไร แล้วอีกอย่างแม่นางหลิวก็มีจิตใจที่มั่นคง
“ท่านเทพธิดา สิ่งนั้นได้ถูกเก็บไปรึยัง” แม่นมถงถามอย่างใคร่รู้
แม่นางหลิวปาดเหงื่อที่ศรีษะของนางพลางกล่าวว่า “แม่นม สิ่งนั้นร้ายกาจเกินไป ข้าไม่อาจต่อกรกับมันได้”
“นี่ท่านหมายความว่ามันยังอยู่งั้นรึ” แม่นมถงตกใจ
“ยังอยู่” แม่นางหลิวมองไปยังต้นหลิวที่อยู่ริมทะเลสาบ สายตาของนางดูหวาดผวา
“แล้วแบบนี้จะทำเยี่ยงไร ฮูหยินกับคุณหนูยังต้องอยู่ที่นี่”
“ท่านมิต้องร้อนใจไป” แม่นางหลิวรู้สึกว่าในเมื่อตนรับค่าตอบแทนมากมายเช่นนี้มาแล้ว อย่างไรก็ต้องอธิบายเรื่องนี้ให้กระจ่าง นางลูบเหรียญทองแดงที่ตอนนี้ได้สูญเสียจิตวิญญาณไปแล้วจึงเอ่ยว่า
“เจ้าสิ่งนั้นได้รับบาดเจ็บจากอาวุธของข้าคงจะออกมาไม่ได้อีกสักระยะ อีกครู่ข้าจะปรับกระบวนท่าการต่อสู้เพื่อปิดผนึกตัวปล่อยพลังไว้ชั่วคราว ทำให้มันดูดซับพลังหยินได้ยากขึ้น เช่นนี้ก็จะไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่ง”
“แล้วระยะยาวเล่า”
“โดยธรรมชาติแล้วก็ต้องตามคนมาเก็บไป ข้าเก็บมันไม่ไหวห่างออกไปอีกเป็นสิบลี้ก็ยังมิมีผู้ใดจะสามารถเก็บมันได้ ฮูหยินลองตามหาผู้มีวิชา และต้องเป็นเสวียนชื่อที่แท้จริงจึงจะมีความสามารถพอจะเก็บเจ้าสิ่งนี้ได้” แม่นางหลิวตอบ
“เสวียนชื่องั้นรึ” แม่นมถงรู้สึกสับสนในหมู่บ้านนี้ก็มีเพียงพ่อหมอแม่หมอ แล้วก็มีเหล่านักปราชญ์ลัทธิเต๋าในยุทธภพ แต่มิเคยได้ยินเสวียนชื่อมาก่อน
“เห้อ” แม่นางหลิวเห็นนางเช่นนี้ก็รู้ได้ทันทีว่านางไม่เข้าใจ จึงได้อธิบายให้นางฟังว่า
“ในสายของเรา อย่างตัวข้านี้ถือว่ายังไม่เป็นมาตรฐานมากที่สุดทำได้เพียงวิชากังฟูผิวเผินเท่านั้น ถ้ามีฝีมือหน่อยก็จะเป็นพวกจอมยุทธ์ทั้งหลาย แต่อย่าได้เข้าใจผิด พวกเขามิใช่พวกที่หลอกลวง พวกเขารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับฮวงจุ้ยและการขับไล่สิ่งชั่วร้าย หากเก่งกาจขึ้นไปอีกนั่นคือเสวียนชื่อที่แท้จริง ซึ่งจะได้รับการยอมรับจากราชสำนัก ท่านคงจะรู้จักเสวียนตูกวันสินะ เสวียนตูกวันที่ถูกฝึกสอนโดยปรมาจารย์แห่งศาสนา หากมีสาขาเป็นกลุ่มคณะอย่างพวกเขานั้นจึงจะเรียกว่าเสวียนชื่อแท้จริง”
แม่นมถงเหมือนได้ฟังคัมภีร์สวรรค์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ นางได้เห็นกับตาตัวเอง เหรียญทองแดงที่แม่นางหลิวทำให้ลอยอยู่กลางอากาศนั้นเป็นเพียงกังฟูขั้นต้นเท่านั้นเองหรือ
อย่างไรก็ตามเสวียนตูกวันมีความเก่งกาจมาก ได้ยินมาว่าพวกเขาเป็นผู้เลือกสุสานจักรพรรดิ และสวดอ้อนวอนให้ราชสำนักทุกๆ ปีเพื่อความมงคลของแผ่นดิน องค์จักรพรรดิก็เอ่ยสรรเสริญอยู่มิขาด
“เป็นไปได้ไหมที่เราต้องไปหาปรมาจารย์ลัทธิเต๋าแห่งเสวียนตูกวัน? เช่นนั้นก็ต้องไปเมืองหลวงน่ะสิ!”
“กว่าจะไปถึงเมืองหลวงใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งเดือน และไปกลับก็คงใช้เวลาสี่สิบวัน ยิ่งไปกว่านั้นปรมาจารย์ลัทธิเต๋าแห่งเสวียนตูกวัน ผู้ใดจะเชิญเขามาได้ง่ายๆ” ฮูหยินสามกล่าว
“นายท่านใหญ่มิได้อยู่ที่เมืองหลวงหรอกรึเจ้าคะ ขอให้ท่านช่วยจัดการสักหน่อย…” แม่นมถงเอ่ย
ฮูหยินสามถอดถอนใจกล่าวตอบว่า “เจ้าลืมกฎของตระกูลหมิงไปแล้วหรือ?”
แม่นมถงกลืนสิ่งที่จะพูดกลับลงไป ตระกูลหมิงแห่งตงหนิง มีต้นกำเนิดมาจากชื่อราชวงศ์หมิงฮั่นผู้ก่อตั้งประเทศ
คราหนึ่งนายท่านหมิงเซียงคนนี้ได้พบกับองค์จักรพรรดิเป็นเวลากว่าสิบปีในสงครามเหนือใต้ เขาได้สร้างผลงานไว้มากมาย หลังจากนั้นก็ได้กลายมาเป็นขุนนางคนสนิท และได้รับการแต่งตั้งเป็นหนานเซียงโหว
แต่น่าเสียดายที่ผู้ก่อตั้งประเทศคนนี้กลับมาตกม้าตาย เมื่อต่อมาเขาได้หมกมุ่นกับการปรุงยาเล่นแร่แปรธาตุ และได้นำเสนอสิ่งที่เรียกว่ายาอายุวัฒนะให้กับองค์จักรพรรดิ แต่กลับถูกพบในภายหลังว่าการใช้ในระยะยาวจะเกิดการสะสมพิษในร่างกาย
ในท้ายที่สุดองค์จักรพรรดิก็มิได้กล่าวโทษเขาแต่อย่างใด เพราะนายท่านหมิงเซียงมิเพียงแต่ถวายยา เขาก็ยังกินยานั้นด้วยในเวลานั้นพิษร้ายได้เข้าสู่ร่างกายไปมากแล้วทำให้เขาเองก็มีเวลาเหลือไม่มาก
เห็นแก่คุณความดีที่เขาได้สร้างไว้เมื่อคราก่อน องค์จักรพรรดิจึงมิได้เอาความเรื่องนี้ แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมาตระกูลหมิงก็ไม่เคยได้รับใช้อีกเลย
ตอนนี้ตระกูลหมิงมีนายท่ายเพียงสองคนที่ยังอยู่ในเมืองหลวง และพวกเขาดำรงตำแหน่งที่มิได้มีความเกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด ตระกูลหมิงซึ่งเคยมีชื่อเสียงโด่งดังในครั้งอดีตก็มิเคยได้รับการฟื้นคืนความรุ่งเรืองอีกเลยนับจนถึงปัจจุบัน
หลังจากเหตุการณ์นี้ตระกูลหมิงก็ถูกห้ามไม่ให้เอ่ยถึงวิชาอาคมหรือเวทมนตร์คาถา เพราะไม่เพียงแต่เป็นคำสอนของขงจื๊อ แต่นายท่านหมิงเซียงยังได้กระทำผิดในเรื่องนี้ด้วย
ฮูหยินสามกำลังจะถามซ้ำอีกครั้ง แต่ก็มีเสียงอึกทึกดังมาจากประตูสวน พร้อมกับเสียงเคาะประตูที่ดังกึกก้อง
หญิงรับใช้ก้าวไปกันไว้ด้านหน้า แต่ด้านนอกกลับเตรียมพร้อมจะเข้ามาและกระแทกจนประตูสวนเปิดออก ชายในชุดสีเขียวผู้มีใบหน้าขาว และมีเคราสั้นเดินเข้ามาพร้อมกับผู้รับใช้ด้วยท่าทางเดือดดาล
………………………………………………….