คู่ชะตาบันดาลรัก – บทที่ 27 ถูกลงโทษ

บทที่ 27 ถูกลงโทษ

บทที่ 27 ถูกลงโทษ
Ink Stone_Romance
“คุกเข่า!”

“ตุบๆ!”

หมิงเซียงกับหมิงฮ่าวไม่กล้าพูดแม้แต่คำเดียวจึงได้แต่ก้มหน้าลง หมิงเวยมองแล้วคุกเข่าข้างกายหมิงเซียง

นายท่านสี่เลิกคิ้ว น้ำเสียงของเขาดุดัน แต่สิ่งที่พูดออกมากลับเป็น “เจ้าไม่ต้องคุกเข่า! กลับสวนอวี๋ฟางไปซะ”

หมิงเซียงและหมิงฮ่าวแอบมองนางด้วยสายตาอิจฉา

หมิงเวยยืนขึ้นอย่างเชื่อฟัง จากนั้นก็ย่อกายทำความเคารพให้นายท่านสี่ที่มีสีหน้าไม่น่ามองกับนายท่านสองที่มีสีหน้าไร้ความรู้สึกแล้วเดินออกไป

หมิงเฉิงที่รออยู่ข้างนอกรู้สึกโล่งใจที่เห็นนางออกมา ทั้งสองได้ยินเสียงด่าของนายท่านสี่จากในห้อง “พวกเจ้ากล้ามาก! แอบหนีออกมาโดยไม่บอกไม่กล่าว ซ้ำยังพาเสี่ยวชีออกไปด้วยอีก! ไม่รู้หรือว่านางต่างจากพวกเจ้า”

หมิงเซียงโต้กลับอย่างอ่อนแรง “ไม่เหมือนกันตรงไหนเจ้าคะ ก็พี่เจ็ดหายดีแล้ว…”

“เจ้ายังจะเถียงอีก!” หมิงเซียงไม่กล้าพูดอีก

“ปกติก็เหมือนลิงอยู่แล้ว โดยเฉพาะเจ้า ใครจะรู้ว่ายิ่งโตเจ้ายิ่งทำอะไรไม่เข้าท่า! พาลิ่วเกอไปด้วยก็แย่อยู่แล้ว แต่นี่แม้แต่เสี่ยวชีก็ยังพาไปด้วย…”

ข้างนอกห้องหมิงเฉิงกับหมิงเวยมองหน้ากัน หมิงเฉิงพูดเสียงเบา “โดนตีแน่เลย”

แน่นอนว่านายท่านสี่ต้องอบรมทั้งสองคนตามกฎของตระกูล แล้วเสียงร้องไห้ของหมิงเซียง และหมิงฮ่าวก็ดังออกมาจากในห้อง

ทั้งสองคนถูกตีไปคนละสิบที และลงโทษให้คุกเข่า “คุกเข่าไปจนถึงพรุ่งนี้เช้าแล้วค่อยกลับ!”

ดวงตาของหมิงเซียงเต็มไปด้วยน้ำตา “แล้วข้าวเย็น…”

“เจ้ายังอยากทานข้าวเย็นอีกหรือ!” นายท่านสี่ขึ้นเสียง “หากสามวันไม่โดนตี ต่อไปคงซนจนไปรื้อกระเบื้องหลังคาเป็นแน่! ไม่รู้หรือว่าตนเองอายุเท่าไรแล้ว อีกสองปีเจ้าก็ต้องออกไปแต่งเข้าตระกูลอื่น หากยังซนอยู่แบบนี้ เจ้ามิโดนส่งกลับมาหรอกหรือ! ลิ่วเกอทำอะไร คิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าเรื่องนี้เจ้าเป็นคนต้นคิด คุกเข่าสำนึกผิดไปซะ!”

ฟังถึงตรงนี้ หมิงเฉิงก็พูด “เอาล่ะ พวกเรากลับกันเถอะ พวกเขาสองคนไม่เป็นอันใดหรอก คุกเข่าทั้งคืนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”

“อืม…” หมิงเวยเองก็คิดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เมื่อครั้นนางยังเด็กและต้องฝึกวิทยายุทธ์ นางทนทุกข์ทรมานมากกว่านี้เสียอีก

ทั้งสองอาศัยโอกาสที่นายท่านสี่และนายท่านสองยังไม่ออกมาเดินออกจากห้องบรรพชนแห่งนี้

“เสี่ยวชี”

“หืม…”

หมิงเฉิงมองไปที่ใบหน้าที่สงบของนางและอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “เจ้าแตกต่างจากเมื่อก่อนจริงๆ”

หมิงเวยหัวเราะ “แน่นอนว่าต้องต่าง ข้าหายดีแล้วนี่นา”

หมิงเฉิงอยากจะบอกว่าไม่ใช่อย่างนั้น เขาอ้าปาก แต่สุดท้ายก็กลืนคำพูดกลับไป

หมิงเวยในตอนนี้แปลกเกินไป ทำให้เขารู้สึกไม่กล้ารีบร้อนอย่างบอกไม่ถูก มันช่างแตกต่างจากหมิงเวยผู้โง่เขลาเมื่อครั้นอดีตอย่างสิ้นเชิง

ยังไงซะเขาก็คือพี่ชาย คิดไปคิดมาเขาก็ถามว่า “ต่อไปน้องอย่าไปก่อเรื่องกับอาเซียงนะ อย่าพาใครไปด้วย หากมีปัญหาขึ้นมาจะทำอย่างไร แต่ถ้าอยากออกไปก็มาหาพี่สี่ได้”

หมิงเวยหันไปมองเขาแล้วถาม “พี่สี่ไม่กลับเมืองหลวงหรือ”

“เอ่อ…” หมิงเฉิงเข้าเรียนที่เมืองหลวง คราวนี้เขากลับมาเพราะเป็นช่วงปิดเทอมฤดูใบไม้ผลิ ที่จริงเขาควรกลับไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่ฮูหยินผู้เฒ่าอาลัยอาวรณ์ไม่อยากให้ไปเลยให้เขาอยู่ต่ออีกสักพัก

หมิงเวยพูด “พี่สี่วางใจเถอะ หากข้าอยากออกไปข้างนอกอีก ข้าจะบอกท่านแม่”

“อืม…” ขณะที่ทั้งสองพูดคุยกัน พวกเขาก็มาถึงสวนอวี๋ฟาง

ฮูหยินสามรอนางอยู่ที่ประตูแล้วพอเห็นนางมาถึงจึงรีบเดินไปหา ยังไม่ทันที่นางจะพูดว่า “ท่านแม่” ก็ถูกตีไปก่อนหนึ่งที แล้วฮูหยินสามก็ร้องไห้ออกมาพลางพูดว่า “เจ้าลูกไม่รักดี อยากให้แม่ตายเร็วนักใช่ไหมถึงได้แอบออกไปโดยไม่ระวังแบบนี้ หากเกิดอะไรขึ้นมาจะทำอย่างไร”

หมิงเวยก้มหน้าลงและยอมรับความผิดอย่างว่าง่าย “ท่านแม่ ลูกผิดไปแล้ว ลงโทษลูกเถอะ!”

ฮูหยินสามตีนางอีกสองถึงสามครั้ง แต่กลับหัวเราะทั้งน้ำตา “เสี่ยวชีของพวกเราแอบหนีออกไปเล่น แม่ดีใจมาก!”

หมิงเวยรู้สึกทั้งสะเทือนใจและเศร้า

ใครๆ ก็บอกว่าหมิงเซียงซน แต่ที่จริงแล้วฮูหยินสามรู้สึกอิจฉาเสียเหลือเกิน นางอยากให้บุตรสาวได้ซนบ้างอะไรบ้าง อย่างน้อยลูกของนางก็เป็นเด็กปกติและมีความสุข

แม่นมถงพูดปลอบใจ “ฮูหยินเจ้าคะ หลายปีมานี้คุณหนูไม่เคยออกไปนอกจวนตระกูลหมิงเลย จึงเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับโลกภายนอก ตอนนี้คุณหนูเองก็หายดีแล้ว หลังจากนี้ฮูหยินสามารถพาคุณหนูออกไปข้างนอกได้แล้วเจ้าค่ะ”

แล้วหันไปพูดกับหมิงเวย “ครั้งหน้าอย่าทำแบบนี้อีกนะเจ้าคะ ตอนมื้อกลางวันหาตัวคุณหนูไม่พบ ฮูหยินร้อนใจจนแทบบ้าเลยเจ้าค่ะ หากอยากออกไปข้างนอก ให้มาบอกฮูหยินเถอะเจ้าค่ะ”

“ข้าเข้าใจแล้ว” หมิงเวยตอบรับอย่างว่าง่าย

ฮูหยินสามเช็ดน้ำตาแล้วส่งยิ้มให้หมิงเฉิงที่เดินมาส่งหมิงเวย “ในเมื่อเฉิงเอ๋อร์ก็มาแล้ว เข้ามานั่งข้างในก่อนเถิด”

หมิงเฉิงก้มหัวทำความเคารพ “ไม่เป็นไรขอรับ ท่านแม่คงกำลังรอหลานอยู่!”

ฮูหยินสามก็ไม่ได้บังคับอะไร นางเอ่ยขอบคุณแล้วพาหมิงเวยกลับไป นางถามตลอดทางด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่าพบเห็นอะไรมาบ้างตอนที่ออกไปข้างนอก

หมิงเวยบอกแค่ว่า นางกับหมิงเซียงแล้วก็หมิงฮ่าวได้พบใต้เท้าเจี่ยง คนอื่นนางไม่พูดถึง หลังอาหารเย็นฮูหยินสามสั่งกำชับซู่เจี๋ย “บอกในครัวว่าให้ทำซาลาเปาหมูสับมาหนึ่งเข่ง แล้วก็เนื้อแห้งด้วย…” รายการอาหารมากมายหลากหลาย

หมิงเวยถาม “ท่านแม่ เราเพิ่งทานข้าวเสร็จ สั่งของพวกนี้ไปทำอะไรหรือเจ้าคะ”

ฮูหยินสามยิ้มและลูบหัวของนาง “แม่สั่งให้ลูก”

“แต่ลูกอิ่มแล้วนะเจ้าคะ!”

“อาเซียงกับฮ่าวเกอไม่ได้ถูกลงโทษอยู่หรือ” ฮูหยินสามบอก “ลูกพาตัวฝูแอบนำอาหารไปให้พวกเขาเถอะ หากไม่ใช่เพราะพาลูกออกไป พวกเขาคงไม่ถูกลงโทษหนักขนาดนี้ แม้จะเป็นพี่น้องคนละบ้านกัน แต่ยังต้องไปมาหาสู่กันอยู่ แบบนี้จะช่วยให้รักษาความสัมพันธ์ให้ดีไปตลอดได้”

“ลูกเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”

จิตใจของคนเป็นแม่ ทำไมหมิงเวยจะไม่เข้าใจเล่า ก่อนหน้านี้คุณหนูเจ็ดป่วย นางจึงไม่ได้ใกล้ชิดกับพี่น้องคนอื่นเลย ตอนนี้หายดีแล้วท่านแม่ก็อยากให้นางมีเพื่อนเล่นบ้าง

ฮูหยินสามพูดอีกว่า “แต่ลูกก็ต้องจำไว้นะ อาเซียงเป็นคนที่ซุกซน ฮ่าวเกอก็เถียงสู้นางไม่ได้ จะไปเล่นกับพวกเขา ลูกต้องคิดอย่างรอบคอบ เหมือนอย่างเช่นเรื่องในวันนี้ อย่าทำอีกเป็นครั้งที่สอง”

“ลูกเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ต่อไปถ้าอยากออกไปข้างนอก ลูกจะมาบอกท่านแม่” หมิงเวยตอบรับอย่างเชื่อฟัง

ฮูหยินสามยิ้มแล้วดึงนางเข้ามาไว้ในอ้อมแขน “เด็กดี”

…….

เมื่อเห็นว่าข้างนอกเริ่มมืดแล้ว ภายในห้องบรรพชนยิ่งเงียบสงัด หมิงเซียงขยับเข่าที่เจ็บและลูบท้องด้วยความหิว

“หิวมากเลย!” แววตาของนางไม่เป็นประกาย นางมองป้ายบรรพชนที่อยู่ข้างบน ดูคล้ายขนมเปียกปูนเสียจริง…

หมิงฮ่าวเองก็ดูเซื่องซึมเช่นกัน

เด็กวัยสิบสามปี เป็นวัยที่ร่างกายกำลังเติบโตจึงไม่ควรทนหิวเป็นที่สุด มื้อกลางวันพวกเขาทั้งสองคนก็ไม่ได้ทานอย่างจริงจัง ตอนนี้พวกเขาทำได้แค่เพียงกลืนน้ำลายเพื่อประทังความหิว

“ข้าอยากกินเนื้อหมูสันในผัดเปรี้ยวหวาน หมูสับทอดตุ๋นผักกาดขาว เนื้อแกะตุ๋น น้ำแกงหน่อไม้ยอดอ่อนใบบัว เนื้อปูนึ่งผลส้ม…” หมิงเซียงพึมพำกับตัวเอง

“เจ้าหยุดพูดจะได้ไหม” หมิงฮ่าวหงุดหงิด “เป็นเพราะเจ้า! แล้วยังบอกอีกว่าเกิดอะไรขึ้นเจ้าจะรับผิดชอบ สุดท้ายผลออกมาข้าก็ต้องรับโทษไปกับเจ้าด้วย”

หมิงเซียงรู้สึกผิด “ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้น…”

หมิงฮ่าวตกหลุมพรางมาหลายครั้งแล้ว เขาจึงชินชาเสียนานแล้วบวกกับเขาหิวมากจึงระงับอารมณ์ไว้เพื่อประหยัดแรง “ข้าไม่ต้องการอาหารมากมายขนาดนั้น ขอแค่ซาลาเปาใหญ่ๆ สองลูกก็พอแล้ว”

หมิงเซียงเอานิ้วประกบกัน “แค่ซาลาเปาลูกใหญ่ก็พอแล้ว! มาพร้อมกับนมแพะสักชามด้วยยิ่งดีเลยผสมนมซิ่งเหริน[1] เติมน้ำผึ้งลงไปด้วย…อา เหมือนจะได้กลิ่นซาลาเปาเนื้อเลย!”

หมิงฮ่าวหัวเราะเยาะ “ยังไม่ทันหลับก็เริ่มฝันแล้ว ครั้งนี้ท่านพ่อของข้ากับท่านอาสี่โกรธมาก ท่านแม่กับท่านอาสะใภ้สี่ไม่กล้าส่งส่งอาหารมาให้หรอก”

พูดแล้วเขาก็ลองดม เอ๊ะ เขาก็เริ่มหลอนไปด้วยเหรอเนี่ย

หมิงเซียงรู้สึกเหมือนตนเองกำลังฝันจึงไหล่ตกอย่างอ่อนแรง “ตอนนี้หากใครให้ซาลาเปาเนื้อกับข้า ข้าจะเรียกเขาว่าท่านพ่อ!” อย่างไรซะนางจะเอาเขามาแทนที่ท่านพ่อที่แสนดุร้ายของตนเอง!

จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงหัวเราะ “จริงหรือ”

…………………………………………………………………….

[1] นมซิ่งเหริน : นมอัลมอนด์

คู่ชะตาบันดาลรัก

คู่ชะตาบันดาลรัก

Status: Ongoing

เหตุชะตาถึงฆาตทำให้วิญญาณของ ‘หมิงเวย’ หญิงสาวผู้มีวรยุทธ์เก่งกล้า ย้อนเวลามาอยู่ในร่างของคุณหนูเจ็ดแห่งตระกูลหมิงผู้อ่อนแอ

แต่เรื่องราวกลับไม่ง่ายเมื่อทันทีที่ลืมตา นางกลับพบว่าในสวนอวี๋ฟางที่นางและฮูหยินสามผู้เป็นมารดาอาศัยอยู่นั้นมีสิ่งอัปมงคล!

สองแม่ลูกเชื่อว่าสิ่งนี้อาจเกี่ยวพันกับไสยศาสตร์มืด จึงได้ลงมือสืบความจริงของเรื่องนี้อย่างลับๆ

และยิ่งตามสืบปริศนามากมายที่เกิดขึ้นในจวนและตระกูลหมิงแห่งนี้… กลับยิ่งเจอความลับอันดำมืดที่ซุกซ่อนอยู่

แต่ท่ามกลางความมืดมิดและสิ่งชั่วร้าย โชคชะตากลับลิขิตให้หญิงสาวได้ไขประตูสู่ความจริง… รวมถึงนำไปสู่ความรัก!

นับตั้งแต่ที่ ‘หยางชู’ เหลนของฮ่องเต้จอมเสเพลแฝงกายมายังเมืองที่นางอาศัยอยู่เพื่อภารกิจบางอย่าง

นางและเขาจึงได้ตกลงร่วมกันทำภารกิจไขปริศนา แต่หารู้ไม่ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นอาจเป็นไปเพราะโชคชะตารักบันดาลอยู่เบื้องหลัง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท