บทที่ 45 ถูกควบคุม
Ink Stone_Romance
หมิงเวยรู้สึกแปลกใจ แม่นางตระกูลหมิง หมายถึงนางหรือเปล่า
นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้วหลังจากเจอกันที่โรงน้ำชา ทำไมจู่ๆ เหลยหงถึงพูดถึงตนกัน
หรือว่า… “ท่านต้องถามตัวท่านเองแล้วล่ะขอรับ” เหลยหงตอบอย่างเฉยชา
คุณชายหยางทำสีหน้าเคร่งขรึม “หากข้าบอกว่าถูกผู้อื่นใส่ร้ายท่านจะเชื่อหรือไม่”
เหลยหงมองเขาแต่ไม่พูดอะไร คุณชายหยางรู้ความหมายที่เขาต้องการสื่อจึงโบกพัดไล่อย่างโกรธๆ “เจ้าออกไปเถอะ”
เหลยหงอยากจะถามอีกคำถาม “เรื่องแม่นางตระกูลหมิง…”
“หากนางไม่สมัครใจ ข้าจะไม่ยุ่งกับนาง เจ้าพอใจหรือยัง”
เหลยหงพอใจในที่สุด เขาประสานมืออีกครั้ง “ข้าน้อยขอตัวก่อน”
เมื่อเหลยหงเดินจากไป ภายในห้องก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง คุณชายหยางจิบชาอย่างช้าๆ จากนั้นก็นั่งตัวตรงแล้วหยิบพู่กันและหมึกออกมา
หมิงเวยเห็นเขาเขียนตัวอักษรกลุ่มหนึ่งลงบนกระดาษ คิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็เปิดเตาป๋อซาน และเผากระดาษใบนั้น แล้วเขาก็เงยหน้าขึ้นและเอนตัวพิงเก้าอี้ สีหน้าของเขาว่างเปล่า นิ้วเคาะกับพนักแขนดัง ‘ตึกๆ’ ราวกับใช้ความคิด
หมิงเวยรู้สึกกังวลเล็กน้อย นางมาที่นี่ตอนยามสอง เล่นสนุกอยู่นานขนาดนั้น จนตอนนี้ใกล้ยามสี่แล้ว คุณชายหยางไม่ไปพักผ่อนหรืออย่างไร
นางอดทนรอสักพักและในที่สุดก็เห็นเขาลุกขึ้นแต่แทนที่เขาจะหมุนตัวเดินออกไป เขากลับเป่าตะเกียงบนโต๊ะ ถอดเสื้อคลุมแล้วเดินไปที่เตียง
หมิงเวยตกตะลึงจนตาค้างพูดอะไรไม่ออก เห็นได้ชัดว่าห้องนี้ใช้สำหรับพักผ่อนชั่วคราว ไม่นึกเลยว่าคุณชายหยางจะนอนที่นี่ จบกัน หากเขานอนที่นี่แล้วนางจะออกไปได้อย่างไร
ในตอนนั้นเอง คุณชายหยางเดินผ่านตู้เสื้อผ้า หมิงเวยรู้สึกว่าแสงที่อยู่ตรงหน้าตนหรี่ลง ทันใดนั้นตู้ก็ถูกเปิดออกและมีลมพัดแรง
แม้ว่าร่างกายนี้จะเพิ่งเริ่มฝึกวรยุทธ์ แต่ปฏิกิริยาตอบสนองของนางยังคงอยู่
ปลายนิ้วคีบยันต์ออกมาเปลี่ยนเป็นพลัง แล้วติดไปที่หน้าอกของอีกฝ่ายเพื่อกดจุดเลือดลมบนร่างกาย
ส่วนมืออีกข้างที่ยังถือขลุ่ยอยู่ก็หมุนข้อมือเพื่อสกัดลมฝ่ามือ หากเป็นนางเมื่อชาติก่อน การโจมตีกลับเช่นนี้ เพียงพอแล้วที่จะให้นางหนีออกไป
แต่ร่างกายของนางในชาตินี้เพิ่งฝึกฝนมาได้เพียงเดือนเดียวเท่านั้น…มือที่ยื่นออกไปสกัดจุดถูกอีกฝ่ายคว้าเอาไว้ได้ ส่วนมืออีกข้างชาจนไม่สามารถถือขลุ่ยต่อได้จนมันหล่นลงพื้นดัง ‘ตุบ’
จากนั้นนางก็ถูกแรงอันแข็งแกร่งลากออกมาจากตู้เสื้อผ้าอย่างไม่ถนอมแม้แต่น้อย และจับนางกระแทกเข้ากับกำแพง มือที่ทรงพลังจนน่าตกใจนั้นกดคอนางไว้อย่างมั่นคง หมิงเวยไม่สงสัยเลยว่าหากอีกฝ่ายออกแรงบิดล่ะก็คอของนางคงหักเป็นแน่
“ท่านมาจากที่ใด” น้ำเสียงเย็นชานั้นแสดงออกถึงเจตนาสังหาร ฟังดูไม่เหมือนคุณชายหยางผู้มีชื่อเสียงกะฉ่อนไปในทางที่ไม่ดีผู้นั้นเลย
หมิงเวยต้องเงยหน้าขึ้นอย่างช่วยไม่ได้เพื่อให้ไม่เจ็บคอมากจนเกินไปและมันทำให้นางได้สบตากับเขา
ตะเกียงได้ดับลงไปแล้ว ภายในห้องมีเพียงไฟที่ถูกจุดตรงมุมห้อง แสงสลัวๆ ไม่สามารถทำให้นางเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาที่ยืนหันหลังให้กับแสง ส่วนนางที่หันหน้าเข้าหาแสงได้ตกอยู่ในสายตาของคุณชายหยางเป็นที่เรียบร้อย
การแต่งกายที่คุ้นเคยทำให้เขาเลิกคิ้วขึ้นแล้วน้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นน้ำเสียงที่อ่อนลงเล็กน้อย “ที่แท้ก็แม่นางหมิงนี่เอง ข้าเพิ่งพูดถึงท่านไป ท่านก็รีบมาปรากฏตัวต่อหน้าข้าเลยหรือ เช่นนี้เรียกว่าสายป่านบุพเพสันนิวาสพันลี้หรือไม่”
เขาพูดพลางปลดผ้าคลุมหน้าของนางออก
หมิงเวยก่นด่าในใจ ปากพูดอย่างไพเราะ แต่แรงที่กดนางไม่ได้ผ่อนลงแต่อย่างใด
พวกผู้ลากมากดีที่ชอบเกี้ยวสตรีนี่มีจิตสำนึกของความเป็นบุรุษบ้างหรือไม่
อ่อนโยนกับสตรีสักนิดก็ไม่มี เขาดูไม่เหมือนพวกที่หมกมุ่นเรื่องสตรีเสียด้วยซ้ำไป!
แต่เดี๋ยวนะ…
“ท่าน…รู้ว่าเป็นข้าตั้งแต่เมื่อใด”
คุณชายหยางหัวเราะ “ตั้งแต่ที่เราเจอกันในวันนั้น ข้าก็ไม่เคยลืมท่านเลย แม้ว่าจะเห็นแค่เพียงดวงตาคู่นี้ ข้าจะดูไม่ออกได้อย่างไร”
“….” หมิงเวยเข้าใจแล้ว ที่เหลยหงพูดเมื่อสักครู่นี้ก็เพราะว่าเขาจำนางได้จริงๆ
นี่เป็นความผิดพลาด หากคนที่มาในวันนี้เป็นฮูหยินสาม พวกเขาสองคนก็คงจำผิดคนเป็นแน่ แต่บังเอิญว่านางมาแทนฮูหยินสาม
“พวกท่าน เหตุใดถึงได้สายตาดีเพียงนี้…”
ทำไมนางถึงจดจำผู้คนได้ยากนัก
“ผู้ใดใช้ให้ท่านเกิดมาโดดเด่นเช่นนี้เล่า” เขาพูดเหน็บแนม “ท่านงดงามเพียงนี้ ผู้ใดเห็นล้วนต่างจดจำตรึงใจกันทั้งนั้น”
หมิงเวยยิ้มเยาะในใจ ยามเขาเอ่ยประโยคนี้ก็ผ่อนแรงกดเล็กน้อยพอดี ยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือใช่หรือไม่
เป็นวิญญูชนก็มิควรขายผ้าเอาหน้ารอดเช่นนี้สิ!
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้นางก็รู้สึกได้ถึงแรงกดที่คอที่เพิ่มขึ้น คุณชายหยางผู้นี้เกิดมามีรูปร่างสูงใหญ่ กดนางแรงขนาดนี้จนเกือบจะลากนางลอยขึ้นไปบนอากาศ หมิงเวยจำเป็นต้องยืนเขย่งเพื่อให้ตนเองสบายขึ้น
“แม่นางหมิงยังไม่ตอบคำถามเลยว่าตกลงท่านมาทำอะไรที่นี่กันแน่” มือของเขาไม่มีความปรานีแม้แต่น้อย แต่น้ำเสียงกลับแสดงออกถึงความสนิทสนมราวกับพูดคำบอกรักแสนหวาน ไม่เหมือนผู้ที่จ้องจะเอาชีวิตอีกฝ่าย
หมิงเวยที่ตกอยู่ในการควบคุมของเขาคลี่ยิ้มออกมา และพูดอธิบายอย่างยากลำบาก “วันที่เราพบกันที่โรงน้ำชา ข้าน้อยตกตะลึงกับความงามของคุณชาย พอข้าน้อยรู้ข่าวของคุณหนูจากตระกูลหลีจึงรู้สึกเป็นทุกข์ที่ไม่สามารถเข้าใกล้คุณชายได้ พอข้าน้อยได้ยินว่าคุณชายจะมีงานเลี้ยงที่สวนซิ่น ข้าน้อยจึงได้ติดสินบนเด็กรับใช้ ปลอมตัวเป็นนางขับร้องเพื่อมาพบหน้าคุณชาย…”
“โอ้” ใบหน้าหล่อเหลาที่สมบูรณ์แบบนั้นเผยรอยยิ้มที่ยากจะอธิบายได้ ใบหน้าของทั้งสองอยู่ชิดกันมากจนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน “ที่แท้แม่นางหมิงประทับใจในตัวข้าจนลืมไม่ลงนี่เอง งั้นก็ดีเลยคืนนี้ช่างเงียบสงบ เราสองคนได้มาเจอกัน หากไม่คว้าโอกาสนี้ทำอันใดสักอย่าง วันเวลาที่ดีงามนี้คงผ่านไปอย่างน่าผิดหวัง ทำไมพวกเราไม่…”
มือข้างที่ว่างเลื่อนลงมาจับสายรัดเอวของนาง
หมิงเวยกะพริบตาและไม่พูดอันใด คุณชายหยางยิ้มแล้วขยับข้อมือค่อยๆ ปลดมันออกอย่างช้าๆ เขาปลดออกช้ามากราวกับว่าจงใจทำให้นางรู้สึกชัดเจนยิ่งขึ้น ปมสายรัดคลายออกแล้วร่วงหล่นลงพื้นแล้วกระโปรงก็คลายออกในทันที…
“คุณชายหยาง!”
“หืม” สายตาของเขาหยุดลงที่ใบหน้าของนาง จุดเล็กสีชาดตรงหว่างคิ้วราวกับหยดเลือด ดูเข้ากับรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา ยิ่งทำให้เขาดูงดงามราวกับเทพเซียน
เพื่อที่จะให้ตนหายใจได้คล่องขึ้น หมิงเวยลดเสียงให้ดูอ่อนโยนผิดจากปกติ “จะทำเรื่องเช่นนี้ เราสองคนควรมีความปรารถนาร่วมกัน หากบังคับฝืนใจเกรงว่าคงไม่สนุก เช่นนั้น ท่านปล่อยข้าก่อนได้หรือไม่”
คุณชายหยางพูดเสียงนุ่ม “เป็นเพราะข้ากลัวแม่นางหมิงจะหนีไป เฝ้าถวิลหามาแสนนาน ข้าเองก็ไม่อยากเสี่ยง!”
“หึๆ…” หมิงเวยหัวเราะเมื่อถูกกดจนทนไม่ไหว นางจึงไอออกมา
แม้แต่เรื่องนี้ก็ไม่สามารถทำให้เขาผ่อนแรงมือได้ คุณชายผู้ลากมากดีผู้นั้นอยู่ที่ใดกัน นี่มันพญามารใจดำอำมหิตชัดๆ!
หมิงเวยถอนหายใจในใจและเปลี่ยนกลยุทธ์ “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้าเพียงแค่หลงทางกลัวว่าจะพบกับเหล่าคุณชายเข้า จะหลบออกไปก็ไม่ได้ข้าจึงซ่อนตัวอยู่ที่นี่ ไม่คิดว่าคุณชายจะเข้ามา…”
เมื่อได้ฟังประโยคนี้ สีหน้าของคุณชายหยางก็เผยอารมณ์ที่แท้จริงออกมา
“หลังจากนั้นล่ะ”
“ข้าสาบานได้สิ่งที่ข้าเห็น และได้ยินมา ตลอดชีวิตนี้ข้าจะไม่พูดออกไปแน่นอน”
คุณชายหยางหัวเราะ “หากจะให้ข้าเชื่อ มีเพียงคนตายเท่านั้นที่รักษาความลับเอาไว้ได้ ข้าควรทำอย่างไรดี”
โดยไม่รอให้นางโต้ตอบ เขาก็โน้มตัวไปกระซิบข้างหูนาง “หรือทำให้ท่านกลายเป็นคนของข้าดี หากเป็นเช่นนั้นข้าอาจจะเชื่อท่านก็ได้”
………………………………………………………..