บทที่ 16 ไม่ใช่
Ink Stone_Romance
โถงเล็กตกอยู่ในความเงียบสงัด..
หมิงเฉิงมองคนนู้นที คนนี้ที เขารู้สึกถึงบรรยากาศที่ไม่ปกติ จึงเลือกที่จะไม่เปิดปากพูดจะดีกว่า
มีเพียงหมิงเวยที่ดูไม่สะทกสะท้าน นางรินชาให้ตัวเองแล้วจิบอย่างช้าๆ จนนางดื่มเสร็จจึงวางถ้วยน้ำชาลง “ท่านอาสี่ จนถึงตอนนี้ท่านยังอยากบอกว่าตัวเองไม่เชื่อเรื่องภูติผีเทวดาอยู่หรือไม่”
สีหน้าของนายท่านสี่ดำคล้ำ เวลาผ่านไปนาน เขาจึงหันกลับมา “เฉิงเอ๋อร์ เจ้าออกไปก่อน”
หมิงเฉิงลังเลไม่กล้าขยับ นายท่านสี่รู้สึกไม่สบอารมณ์ “ทำไม กลัวว่าข้าจะทำร้ายนางรึ”
หมิงเฉิงคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง ท่านพ่อของเขาคนนี้ อาจมีบ้างที่ชี้หน้าด่าเขาเสียเละ แต่ท่านก็ไม่เคยทำร้ายร่างกายใคร จากสถานการณ์เมื่อสักครู่ เรื่องด่าคนเสี่ยวชีเองก็ไม่แพ้กัน แต่ว่า..แล้วถ้าท่านโกรธล่ะ หรือว่าเขาคอยเฝ้าระวังจากด้านนอกจะปลอดภัยกว่า
เขาลุกขึ้นยืน “ลูกจะรออยู่ด้านนอก หากท่านพ่อมีเรื่องอะไรตะโกนเรียกได้เลยนะขอรับ”
นายท่านสี่ “….” เจ้าลูกคนนี้นี่ ตกลงเป็นลูกของเขาหรือลูกของพี่สามกันแน่
ในห้องตอนนี้จึงเหลือเพียงแค่สองคน
หมิงเวยยิ้ม “ท่านอาสี่ เชิญนั่งเจ้าค่ะ” นายท่านสี่ร้องฮึ เขาเดินกลับไปนั่ง
หมิงเวยรินชาให้เขาอีกรอบ “หลานป่วยอยู่หลายปี เพิ่งได้สติเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มีหลายเรื่องที่หลานยังสับสนอยู่บ้าง เมื่อสักครู่ทำให้ท่านอาสี่รู้สึกขุ่นเคือง หวังว่าท่านจะไม่โกรธเคืองกันนะเจ้าคะ”
มุมปากนายท่านสี่กระตุก
ก่อนหน้านี้ เขาไม่คิดใส่ใจกับคำพูดของหมิงเวยเลย เพราะคิดว่านางเป็นเด็กพาลเลยหลุดกิริยาไปบ้าง แต่ตอนนี้การกระทำของนางมีกฎเกณฑ์ชัดเจน สงบลงขึ้นเยอะ เขาจึงรู้ว่าเขาไม่สามารถปฏิบัติต่อหลานสาวที่โง่มาสิบห้าปีคนนี้ เหมือนเด็กได้อีกต่อไปแล้ว
“รู้ว่าตัวเองไม่สงบเสงี่ยมก็ดี” เขาบอก “ก่อนหน้านี้ที่เจ้าป่วย อายุก็ยังน้อย ไม่รู้เรื่องราวภายในเรือน ยังพอให้อภัยได้ แต่การเถียงผู้หลักผู้ใหญ่ ไม่เพียงแต่จะทำให้ผู้คนหัวเราะเท่านั้น แต่ยังทำให้กฎเกณฑ์ภายในเรือนเสื่อมเสียอีกด้วย”
หมิงเวยพยักหน้ายอมรับคำสั่งสอน “สิ่งที่ท่านอาสี่สั่งสอนมาก็ถูกเจ้าค่ะ หลานไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนจากท่านพ่อ ท่านอาสี่ก็เปรียบเสมือนท่านพ่อ ความรักความหวังดีนี้หลานกับท่านแม่จะไม่มีวันลืม”
พอนางพูดอย่างนั้น นายท่านสี่ก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เขากระแอมในลำคอเสียงเบา อธิบายให้นางฟังว่า “ไม่รู้ว่าท่านแม่ของเจ้าเคยบอกกฎในเรือนให้เจ้าฟังหรือยัง ตระกูลหมิงห้ามพูดถึงสิ่งลึกลับหรือวิชาอาคม มันคือสิ่งที่บรรพบุรุษบอกต่อกันมา ไม่ว่าใจของเจ้าจะคิดอย่างไร เจ้าก็ต้องทำตาม”
หมิงเวยยิ้มรับคำ “หลานเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
“ส่วนสิ่งที่อยู่ในสวน…” เขาหยุดชะงัก “ท่านลุงสองของเจ้าได้เขียนจดหมายไปที่เมืองหลวงแล้ว เพราะฉะนั้นเจ้าจงอย่าก่อเรื่องอีก”
หมิงเวยยิ้มแล้วส่ายหน้า
นายท่านสี่ขมวดคิ้ว “ข้าอธิบายเหตุผลกับเจ้าไปแล้ว เหตุใดจึงไม่ฟัง”
หมิงเวยตอบ “ท่านอาสี่เข้าใจผิดแล้ว หลานไม่ใช่ไม่ฟัง แค่อยากบอกว่าข้าไม่ได้ก่อเรื่องเจ้าค่ะ”
นายท่านสี่มีสีหน้ามืดมน “แล้วเจ้ายังคิดที่จะพังกำแพงอีกอย่างนั้นหรือ”
หมิงเวยไม่ตอบตรงๆ แต่หยิบถุงชาดขึ้นมาแล้วถามแบบสบายๆ ว่า “ท่านอาสี่ ชาดเผาไหม้ดวงวิญญาณ ผู้ใดเป็นผู้สอนเคล็ดวิชานี้กับท่านหรือเจ้าคะ”
“คือ…” นายท่านสี่อึกอัก เขามองนางอย่างระมัดระวัง
หมิงเวยไม่คิดจะรอคำตอบจากเขา และพูดต่อว่า “เคล็ดวิชานี้เรียบง่ายเกินไป ถ้าสิ่งชั่วร้ายไม่ได้ดุร้ายขนาดนั้นก็ถือว่าใช้การได้ แต่ถ้าหากดุร้ายเกินไปก็จะต่อต้าน หากเป็นเช่นนั้นผลที่ได้ก็จะตรงกันข้ามกับสิ่งที่คาดหวังไว้ ท่านอาสี่ ชาดเผาไหม้ดวงวิญญาณของท่าน เกรงว่าสิ่งชั่วร้ายนั้นจะหลุดหนีออกมาเสียก่อน”
คำพูดนี้มันไม่เหมือนคำพูดของคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรสักนิดเลย
นายท่านสี่มองไปที่หลานสาวคนนี้ของเขา จากคำพูดของนาง เขาเชื่ออยู่ส่วนหนึ่ง
หรือดวงวิญญาณของเสวียนหนี่เหนียงเหนียงจะปรากฏขึ้นจริง ท่านนำดวงวิญญาณของนางกลับมา ไม่อย่างนั้นนางจะเอ่ยชื่อแผดเผาดวงวิญญาณได้อย่างไรกัน!
คิดไตร่ตรองอยู่นานในที่สุดนายท่านสี่จึงถามว่า “แล้วเจ้าจะทำอย่างไร”
หมิงเวยตอบแบบไม่ใส่ใจ “ดวงวิญญาณของหลานเพิ่งกลับมา ร่างกายไร้พลัง รับมันไม่ไหว แต่การดักจับมันไม่ใช่เรื่องยากอะไร ท่านอาสี่วางใจได้”
วางใจได้งั้นหรือ ขนาดวางใจได้ยังมีภูติผี!
ฟังหมิงเวยพูดต่อ “พูดถึงมันหลานก็นึกขึ้นได้ สิ่งชั่วร้ายนี้แปลกมากเจ้าค่ะ เหมือนว่าจะมีอะไรอยู่บนตัวมัน…”
นายท่านสี่เงี่ยหูรอฟัง เมื่อเห็นนางไม่พูดต่อแล้วจึงถาม “มันมีอะไร…”
หมิงเวยหัวเราะ “ตอนนี้หลานยังมองไม่ออก แต่หลานรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเจ้าค่ะ”
นายท่านสี่รู้สึกไม่สบอารมณ์ขี้นมา นางแกล้งเขา!
“ชาดเผาไหม้ดวงวิญญาณของท่าน ไม่ใช่ว่าใช้ไม่ได้” หมิงเวยบอกอ้อมๆ “เพียงแต่ต้องเพิ่มของบางอย่าง จึงจะสามารถสะกดสิ่งชั่วร้ายนั้นไว้ได้ ไม่ให้มันมีชัยเหนือเรา”
นายท่านสี่ทราบดี หัวข้อสนทนานี้ถูกนางกำกับอยู่ แต่เขาอยากรู้เรื่องนี้มาก จึงอดไม่ได้ที่จะถาม “เจ้าต้องการเพิ่มเติมสิ่งใดรึ”
“ยังบอกไม่ได้เจ้าค่ะ” หมิงเวยมองไปยังนายท่านสี่ “อีกไม่กี่วันข้างหน้าหลานจะทำการเปลี่ยนแปลงและเพิ่มชาดเผาไหม้ดวงวิญญาณ หากท่านอาสี่กังวล ท่านก็มาดูได้”
นายท่านสี่สบตานางกลับ สายตาสองอาหลานมีความล้ำลึก
“ได้” นายท่านสี่ยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่มจนหมด “แล้วถ้าเจ้ายังพูดจาซี้ซั้วอีกละก็ อาอย่างข้าจะไม่ตามใจเจ้าอีกเป็นแน่”
พูดจบเขาก็ลุกขึ้นเดินออกไป
หมิงเวยลุกขึ้นยืนส่ง “เดินทางปลอดภัยเจ้าค่ะ” ด้านนอก ตัวฝูยืนเกาะประตูแอบฟังการเคลื่อนไหวภายในห้อง
นางติดตามรับใช้คุณหนูตั้งแต่อายุแปดขวบ หลายปีเลยทีเดียว ไม่เคยจากไปไหน ถึงแม้ตอนนี้คุณหนูจะหายดีแล้ว แต่นางก็ยังไม่วางใจ
หมิงเฉิงที่เดินออกมาก่อนหน้านี้ ก็ยืนเกาะประตูแอบฟังอยู่ด้วยเช่นกัน
สองคนในห้องนั่งอยู่ไกล เสียงพูดก็เบา จึงได้ยินแต่เสียงพึมพำเลยไม่รู้ว่านายท่านสี่กำลังเดินออกมา
นายท่านสี่เปิดประตูโดยที่ทั้งสองคนไม่ทันได้ตั้งตัว จึงล้มคว่ำเข้าไปในห้องอย่างไม่ตั้งใจ
แล้วชนกันเข้าอย่างจัง นายท่านสี่เห็นหมิงเฉิงอย่างนั้นก็โกรธจัดชี้หน้าเขา
“เจ้าอายุเท่าไรแล้ว ทำตัวเป็นเด็กไปได้!”
หมิงเฉิงรู้ว่าตัวเองทำผิดเลยหดหัวเหมือนนกกระทา นายท่านสี่สะบัดแขนเสื้อด้วยความโกรธ ข้ามประตูเดินออกไป
ฮูหยินสามเองก็ไม่ได้เดินไปไหนไกล นางยืนรออยู่ไม่ไกลแล้วยิ้มทักทาย “น้องสี่”
นายท่านสี่พูดอึกอัก “สายมากแล้ว ข้าขอตัวก่อน พี่สะใภ้สามตามสบาย”
ฮูหยินสามประหลาดใจ เขาจะไปแล้วอย่างนั้นหรือ
อีกด้านหนึ่ง ตัวฝูรีบเข้าห้องด้วยความร้อนอกร้อนใจ
“คุณหนู! ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่เจ้าคะ”
หมิงเวยบอก “อืม” จากนั้นก็ดื่มชา
ตัวฝูสำรวจร่างกายนาง เมื่อเห็นว่าตัวคุณหนูยังปกติดีก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วเจ้าค่ะ”
เห็นนางเป็นแบบนี้หมิงเวยก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
จากนั้นนางก็หุบยิ้มและคุยกับตัวเอง “ไม่ใช่เขาเสียหน่อย!”
ตัวฝูฟังแล้วไม่เข้าใจ “คุณหนู เขาคนไหนหรือเจ้าคะ”
หมิงเวยไม่อธิบาย แต่พูดกลับไปว่า “ข้าหิวแล้ว”
“อ้อ” ตัวฝูถูกดึงความสนใจไปในทันที “อาหารเที่ยงจัดเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูจะรับประทานเลยหรือไม่เจ้าคะ”
“อืม” หมิงเวยคิดในใจขณะเดินออกจากห้อง
คนที่ทำเรื่องเลวร้ายนี้ไม่ใช่นายท่านสี่ เพราะถ้าเป็นเขาละก็คงไม่ถูกนางจับได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่ประโยคง่ายดายเช่นนี้
ถ้าเป็นคนร้ายตัวจริงจะต้องไม่เผยอาการ พวกเขาจะไม่เปิดโอกาสให้นางได้พูดด้วยซ้ำ
เพราะถึงอย่างไรนางก็เป็นเพียงหญิงสาวอ่อนแอที่สูญเสียบิดาที่คอยปกป้อง
ในโลกนี้หากครอบครัวสูญเสียผู้ชายคนหนึ่ง ก็เปรียบเสมือนสูญเสียความสามารถในการพูดกับผู้อื่น ผู้ชายเป็นทั้งเสาหลักและหัวหน้าครอบครัว มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่มีสิทธิ์สมบูรณ์ในการเป็นมนุษย์
นอกจากนี้นางแน่ใจว่าตนเองไม่ได้เข้าใจผิด พลังชีวิตของนายท่านสี่คนนี้เหมือนกับครั้งแรกที่นางได้เห็น แต่กลับไม่เหมือนกับครั้งที่สอง
………………………………………………