บทที่ 37 ใต้ต้นไม้
Ink Stone_Romance
นายท่านสองรีบเดินกลับไป คนผู้นั้นยังนั่งอยู่ที่เดิม เมื่อเห็นว่านายท่านสองกลับมาแล้วเขาก็เลิกเปลือกตาขึ้น “เป็นอะไร เห็นท่านเป็นเช่นนี้ ดูเหมือนจะเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นสินะ”
นายท่านสองกดหว่างคิ้ว อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอีกครั้ง “เจ้าน้องหกเหลวไหลนั่นสร้างปัญหาขึ้นมาแล้ว”
เขาพูดเสียงเบา “เขาได้สร้างปัญหาที่ใหญ่ที่สุดขึ้นมาแล้ว แล้วจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นอีกเล่า”
นายท่านสองลังเลที่จะพูด แต่ในที่สุดก็บอก “เขาเมาจนสับสน จนอยากมีความสัมพันธ์กับเสี่ยวชี…”
“อะไรนะ” จนถึงตอนนี้สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นความโกรธ “เหลวไหล! เขาเป็นอาได้อย่างไรกัน เสี่ยวชีล่ะ นางเป็นอย่างไรบ้าง”
“นางไม่เป็นอะไร ยังไม่เกิดอะไรขึ้น นางแค่ตกใจจนเอาปิ่นแทงท้องล่างน้องหก แม่เฒ่าหม่าบอกว่าเกรงว่าภายภาคหน้าเขาจะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ”
ได้ยินเขาพูดเช่นนั้น ชายผู้นั้นก็กล่าวด้วยเสียงนุ่มนวล “ช่วยชีวิตได้ก็ถือว่าดีแล้ว เสื่อมสมรรถภาพทางเพศก็เสื่อมไป อย่างไรซะเขาก็มีลูกแล้ว จากนี้คงทำตัวเหลวไหลไม่ได้อีกแล้วล่ะ”
นายท่านสองเองก็คิดเช่นนั้น “ในเมื่อท่านพูดเช่นนี้ งั้นข้าจะจัดการให้”
เขากำลังจะเดินออกไป แต่กลับถูกเรียกไว้ “ท่านบอกว่าเสี่ยวชีแทงปิ่นไปที่ท้องล่างของน้องหก ตำแหน่งจะบังเอิญอะไรขนาดนั้น!”
“ใช่!”
“ปิ่นนั่นหน้าตาเป็นอย่างไร”
“เป็นปิ่นทองที่แม่ของนางสวมอยู่ทุกวัน” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายขมวดคิ้วแล้วไม่พูดอะไร นายท่านสองจึงถามว่า “มีปัญหาอะไรงั้นหรือ”
“ปิ่นทองนั่นถึงแม้ว่าจะแหลม แต่ก็ไม่ใช่ของมีคม หากต้องการทำลายตรงจุดนั้น เกรงว่าจะต้องแทงให้ลึก”
นายท่านสองพูดอย่างไม่ใส่ใจ “เมื่อผู้คนตกอยู่ในอันตราย ความแข็งแกร่งจะมีมากกว่าปกติอยู่แล้ว เด็กคนนั้นตกใจกลัวจนแม่ของนางคิดว่านางจะกลับไปโง่เหมือนเดิมอีกครั้งเลยร้องไห้อย่างหนัก”
คนผู้นั้นเอาแต่ขมวดคิ้วไม่ยอมคลาย “นางหายดีจนน่าประหลาดใจ ก่อนหน้านี้น้องสี่บอกว่านางเข้าใจวิชาอย่างลึกซึ้งจริงๆ”
“ข้าไม่ได้บอกหรือว่าดวงวิญญาณที่หายไปของนางถูกเสวียนหนี่เหนียงเหนียงรับตัวไป ถึงจะแปลกไปหน่อย แต่ก็ไม่มีอะไรน่าประหลาดใจ”
เขาส่ายหน้า “มันบังเอิญเกินไป”
“ท่านสงสัยว่าเสี่ยวชีมีปัญหาหรือ” นายท่านสองคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ข้ากลับคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ”
“หวังว่าข้าคงคิดมากเกินไป” เขาโบกมือ “ท่านไปเถอะ” หลังจากนายท่านสองจากไป ห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด เปลวเทียนก็ลุก ‘พรึบ’ ขึ้นมา
เขากระซิบเสียงเบา “ดวงวิญญาณกลับมา หรือว่าถูกยึด…”
………….
วันต่อมาหมิงเวยก็ป่วย
หลังจากนอนพักอยู่บนเตียงได้สองวัน ดูเหมือนว่านางจะหายดีเป็นปกติแล้ว
ตัวฝูพานางไปเดินเล่นในสวนพร้อมกับพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในสองวันที่ผ่านมา
“…ได้ยินมาว่านายท่านหกไปทะเลาะวิวาทกับคนข้างนอกเลยถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ ไม่กี่วันที่ผ่านมาเรือนฝั่งตะวันออกเกิดความวุ่นวาย ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธมาก ท่านจัดการลงโทษทุกคนที่อยู่ในเรือนนั้น”
หมิงเวยพยักหน้าเรื่องพวกนี้นางรู้หมดแล้ว นายท่านสองจัดการทุกอย่างได้เรียบร้อย ทุกคนในจวนตระกูลหมิงคิดว่านายท่านหกไปมั่วหญิงข้างนอกมาจนเกิดเรื่อง
แล้วพวกนางก็เดินมาถึงบริเวณต้นหลิวต้นนี้โดยไม่รู้ตัว
“ตัวฝู เจ้าลองเปิดตาทิพย์ดูสิ” หมิงเวยพูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“อา คุณ คุณหนู…” ตัวฝูรู้สึกขี้ขลาดเล็กน้อย
“ทำไม ไม่กล้าหรือ” ตัวฝูกัดฟัน “คุณหนูให้บ่าวมอง บ่าวก็จะมองเจ้าค่ะ!”
หมิงเวยยกมือขึ้นห้ามไว้เสียก่อน ตัวฝูรู้สึกงงงวย “คุณหนู” ไม่ได้ให้นางมองหรือ
หมิงเวยจ้องไปที่นาง อันที่จริงตัวฝูเป็นเด็กสาวบอบบางน่ารัก แค่ครึ่งหน้าของนางเต็มไปด้วยจุดดำเลยไม่มีใครสนใจรูปร่างหน้าตาของนาง อีกอย่างนางมักจะเดินก้มหน้าเพราะกลัวคนอื่นจะเห็นใบหน้าของตนแล้วจะยิ่งกลัวกว่าเดิม
มนุษย์บนโลกมองคนที่รูปลักษณ์ภายนอก เลยไม่รู้ว่านางเป็นหญิงสาวที่ดีมากแค่ไหน มีฝีมือ ขยัน มีน้ำใจ เห็นได้ชัดเลยว่าเป็นคนขี้ขลาด แต่เพื่อปกป้องผู้อื่นแล้ว นางสามารถวิ่งไปข้างหน้าได้อย่างกล้าหาญ
“ตัวฝู เจ้าอยากเป็นเสวียนชื่อหรือไม่”
ตัวฝูตกใจอยู่นานก่อนจะพูดตะกุกตะกัก “บ่าว บ่าวเป็นเสวียนชื่อได้ที่ไหนกันเจ้าคะ ได้ยินมาว่าเหล่าเสวียนชื่อเป็นกลุ่มคนที่สุดยอดมาก…”
“ทำไมจะเป็นไม่ได้ล่ะ” หมิงเวยถามเสียงนุ่ม “หากเจ้ารู้วิชาคาถาก็จะสามารถปกป้องผู้อื่นได้ แล้วยังขับไล่ปีศาจออกไปได้ด้วยไม่ใช่หรือ”
“แน่นอนเจ้าค่ะ!” ตัวฝูตอบอย่างไม่ลังเล
หมิงเวยหัวเราะ “ก็แค่นี้เองไม่ใช่หรือ หากเดินตามความเชื่อนี้ไปตลอดชีวิต ก็มีคุณสมบัติที่จะเป็นเสวียนชื่อได้แล้ว”
“จริงหรือเจ้าคะ” ดวงตาของตัวฝูเป็นประกาย แต่ไม่นานนางก็ก้มหน้าลง “แต่บ่าวโง่มาก…”
“เจ้าโง่ตรงไหนกัน เจ้าไม่ได้เปิดตาทิพย์มาแล้วหรือ เจ้าเองก็รู้ว่าศิษย์ของเสวียนเหมินที่แท้จริงล้วนใช้เวลาฝึกฝนเป็นปีๆ ถึงจะเปิดตาทิพย์ได้”
ตัวฝูมึนอยู่พักหนึ่งที่แท้เป็นเช่นนี้เองหรอกหรือ ถ้าอย่างนั้นนางก็เป็นเสวียนชื่อได้เหมือนกันสินะหัวใจของนางเต้นแรง
“มานี่” หมิงเวยชี้ไปที่ต้นหลิวต้นนั้น “เปิดตาทิพย์มองดูว่าสิ่งชั่วร้ายนั้นหน้าตาเป็นเช่นไร”
“เจ้าค่ะ” ตัวฝูระงับความตื่นเต้นในใจ นางถอดด้ายแดงที่ข้อมือออกแล้วพยายามเพ่งสมาธิไปที่หว่างคิ้ว แล้วนางก็เข้าสู่โลกอันแปลกประหลาดไปในไม่ช้า ทุกสิ่งรอบตัวนางเปลี่ยนเป็นสีขาวดำ
นางรวบรวมความกล้าที่จะมองดูสิ่งชั่วร้ายที่อยู่บนต้นหลิว มันเป็นเงาสีขาวเทา บนร่างนั้นมีสีเลือดอยู่หนึ่งชั้น
คุณหนูบอกว่านั่นคือโลหิตชั่วร้าย เลือดยิ่งข้นเท่าไหร่สิ่งนั้นก็ยิ่งดุร้ายมากขึ้นเท่านั้น แปลก ทำไมวันนี้ไม่เห็นสีอื่นแล้วล่ะ แล้วญาณชีวิตล่ะ
ตัวฝูเหลือบมองไปรอบๆ แล้วนางก็ร้องออกมา “คุณหนูเจ้าคะ!”
“ว่าอย่างไร” ตัวฝูชี้ไปที่ต้นไม้ “บ่าวเห็นว่าบนตัวของสิ่งนั้นมีเส้นๆ หนึ่งเชื่อมต่อกับดินเจ้าค่ะ”
“อ้อ” หมิงเวยเปิดตาทิพย์ของตนเองเช่นกัน แน่นอนว่านางเองก็เห็นเส้นรางๆ ที่เชื่อมต่อกับดิน
หมิงเวยขมวดคิ้ว สิ่งชั่วร้ายนี้ไม่ได้ถูกนำเข้ามาจากภายนอก มันเป็นสิ่งที่ก่อตัวขึ้นมาโดยสวนอวี๋ฟางเอง!
สิ่งที่สร้างมันถูกฝังอยู่ใต้ต้นหลิวนี่!
“คุณหนูเจ้าคะ” หมิงเวยหายใจเข้าลึกๆ “พวกเรากลับกันเถอะ” นางยิ้มเล็กน้อย “เจ้าได้พบเรื่องที่สำคัญมากๆ เรื่องหนึ่งเข้าแล้ว”
“จริงหรือเจ้าคะ” ถึงแม้ตัวฝูจะไม่เข้าใจ แต่นางก็ดีใจมาก พอพวกนางกลับไป หมิงเวยบอกแม่นมถงว่าต้องการกระดาษเหลืองและชาด
แม่นมถงหัวเราะ “คุณหนูจะเขียนยันต์หรือเจ้าคะ”
“ใช่ ข้าไม่มีอะไรทำน่ะ ว่าจะเขียนยันต์ถวายให้เสวียนหนี่เหนียงเหนียง”
แม่นมถงพูด “อันนี้ใช้ได้เจ้าค่ะ เป็นกระดาษเหลืองสำเร็จรูป แต่ชาดเหลือน้อยแล้ว เดี๋ยวบ่าวจะเรียกให้คนไปซื้อให้นะเจ้าคะ”
“รบกวนแม่นมแล้ว” แม่นมถงออกไปเรียกคนให้ไปซื้อของ
หมิงเวยหยิบกระดาษและพู่กันขึ้นมาจุ่มน้ำแล้วลองเขียนด้วยมือ นานแล้วที่นางไม่ได้เขียนยันต์ ไม่ถนัดเอาเสียเลย!
เมื่อพลังของนางผ่านขั้นพื้นฐานแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องใช้ยันต์ขับไล่สิ่งชั่วร้าย ตอนนี้พลังของนางอ่อนแอจึงต้องทำอะไรสักอย่าง นางจึงต้องยืมพลังจากภายนอก
หากไม่สะกดสิ่งชั่วร้ายที่อยู่บนต้นไม้ก็ไม่มีทางขุดดินใต้ต้นไม้ได้
หากไม่ขุดดินใต้ต้นไม้ก็ไม่มีทางรู้ต้นตอที่แท้จริงว่าอยู่ที่ใด
นางมีลางสังหรณ์ว่าหากขุดสิ่งนั้นออกมาแล้ว ความจริงของสาเหตุที่มีผีสิงอยู่ในสวนอวี๋ฟางก็จะปรากฏตัวขึ้นมา
………..
ยามหนึ่ง[1]ได้ผ่านพ้นไป ฮูหยินสามเพิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ แม่นมถงก็เดินเข้ามาพร้อมกระดาษแผ่นเล็ก
“ฮูหยินเจ้าคะ”
ฮูหยินสามเหลือบตามองแล้วออกคำสั่ง “ไปเตรียมน้ำเถอะ! เรียกซู่เจี๋ยกับปิงซินมาปรนนิบัติด้วย”
แม่นมถงถอนหายใจแล้วพูดเสียงเบา “ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
น้ำร้อนถูกนำเข้ามาอย่างรวดเร็ว เหล่าสาวใช้ถูกไล่ออกไปนอกห้องจนหมด บรรยากาศภายในห้องมีแต่ความรู้สึกชวนอึดอัด
หลังจากนั้นไม่นานฮูหยินสามก็เดินออกมาพร้อมกับไอน้ำเกาะเต็มตัวมานั่งหน้ากระจกเพื่อเขียนคิ้วเติมปาก
ในเวลากลางคืนใบหน้าภายใต้แสงเทียนได้รับการเติมแต่งจนงดงามชวนดึงดูดให้ผู้คนหลงใหล
…………………………………………
[1] ยามหนึ่ง : 19:00 – 21:00 น.