คู่ชะตาบันดาลรัก – บทที่ 120 โอกาส

บทที่ 120 โอกาส

เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืน แต่ไม่มีผู้ใดในตระกูลหมิงนอนหลับอย่างสบายใจสักคน วันนี้มีคนจำนวนมากไปที่วัดเป่าหลิง แน่นอนว่าไม่สามารถคุมตัวไว้ที่ศาลว่าการทั้งหมดได้

คนที่ไม่เกี่ยวข้องถูกปล่อยกลับไปทีละคน แต่มีสามคนในตระกูลหมิงที่ยังไม่กลับมา

นายท่านสอง นายท่านสี่ และหมิงเฉิง

นายท่านสองเป็นเจ้าบ้านเรือนหลัก นายท่านสี่เป็นเจ้าบ้านเรือนรอง ตอนนี้นายท่านหกถูกละทิ้งไปแล้ว นอกจากพวกเขาแล้วยังมีหมิงเฉิงอีกคนที่อยู่ในตงหนิง

เท่ากับว่าตอนนี้ตระกูลหมิงไม่มีบุรุษชั่วคราวทำให้ทุกคนต่างตื่นตระหนก

หมิงเวยเข้าไปในห้องโถงใหญ่ ฮูหยินผู้เฒ่าเพียงยิ้มเล็กน้อยแล้วปล่อยให้นางไปพักผ่อน

หมิงเวยส่งสายตาให้ฮูหยินสองแล้วทั้งสองคนก็เดินไปที่ห้องด้านข้างเพื่อพูดคุยกัน “ท่านป้าสองเป็นห่วงท่านลุงสองอยู่ใช่หรือไม่เจ้าคะ”

ฮูหยินสองรู้สึกหดหู่ใจ “ถ้ามีแค่ลุงสองของหลานก็แล้วไป แต่นี่แม้แต่น้องสี่กับซื่อเกอก็ถูกรั้งเอาไว้ด้วยกลัวว่า…”

หมิงเวยเข้าใจแล้วสิ่งที่ฮูหยินสองกังวลคือผลกระทบของการสูญเสียผู้ชายในครอบครัว ไม่ใช่ความปลอดภัยของนายท่านสอง

หมิงเวยพิจารณาแล้วพูดออกไปว่า “ท่านป้า วันนี้หลานบังเอิญไปกับคุณชายหยางแล้วได้รู้อะไรบางอย่างเข้า…”

ดวงตาของฮูหยินสองเป็นประกายแล้วคว้ามือของหมิงเวยไว้ “เสี่ยวชี! หลานรู้อะไรมา หากมันช่วยให้เราผ่านพ้นวิกฤตไปได้ ป้าจะขอบคุณสำหรับความเมตตาของหลานไปตลอดชีวิต!”

หมิงเวยตอบ “ท่านป้า หลานจะบอกความจริงกับท่านว่า ท่านอาสี่กับพี่สี่ไม่เป็นอะไร อีกเดี๋ยวคงจะได้รับการปล่อยตัวออกมา แต่ท่านลุงสอง…”

“ลุงสองของหลานทำไมหรือ”

หมิงเวยส่ายหน้า “คงไม่สามารถกลับมาได้เจ้าค่ะ”

ฮูหยินสองได้ยินก็ตกใจไม่ขยับไปชั่วขณะ

เป็นเวลานาน ดวงตาของฮูหยินสองคลอไปด้วยน้ำตา “ลูกที่น่าสงสารของข้า!” นางคว้าตัวหมิงเวยแล้วถาม “พี่สามของหลานไม่สามารถลงสนามสอบได้แล้วใช่หรือไม่”

หากนายท่านสองถูกตัดสินว่ามีความผิดบุตรของเขาจะหมดโอกาสในวีถีทางที่จะก้าวไปเป็นขุนนาง

หมิงเวยเงียบ

ฮูหยินสองเข้าใจแล้ว นางซ่อนใบหน้าแล้วร้องไห้ออกมาแล้วก่นด่าไม่หยุด “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเขาจะทำร้ายลูกของข้า เกลียดก็คือเกลียด แต่ความสัมพันธ์ทางสายเลือดนั้นตัดไม่ขาด! ในตอนนั้นที่เขาทำเช่นนั้นกับต้าเจียเอ๋อร์ ข้าก็รู้แล้วว่าเขามันคนไร้ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี!”

หมิงเวยตาเป็นประกายนางถามเสียงเบา “ท่านป้าสอง ปีนั้นเกิดอะไรขึ้นกับพี่ใหญ่หรือเจ้าคะ”

ถึงตอนนี้แล้วฮูหยินสองไม่มีความจำเป็นต้องปกปิดอะไรอีก นางจึงตอบไปว่า “ในตอนนั้นต้าเจียเอ๋อร์ไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนอ๋องไม่รู้ว่าไปถูกคุณชายตระกูลหลีเห็นเข้าอย่างไร ต้าเจียเอ๋อร์เห็นเขาหยาบคายจึงตำหนิเขาไป ผู้ใดจะรู้ว่าเขาจะนึกถึงนางเพียงนั้นกัน หลังจากนั้นก็ถูกเขาคิดบัญชีด้วยการลบหลู่ดูหมิ่น…”

ฮูหยินสองนึกถึงเรื่องนี้นางก็กัดฟันด้วยความเกลียดชัง “คุณชายหลีผู้นั้นมีฮูหยินอยู่แล้ว แต่อยากได้ต้าเจียเอ๋อร์ไปเป็นอนุ! เขาฝันเฟื่องเกินไปแล้ว! แต่มีจวิ้นอ๋องส่งเสริมครอบครัวเขาอยู่จึงทำอะไรเขาไม่ได้ ข้าจึงทำได้แค่ส่งต้าเจียเอ๋อร์ออกเรือนไปยังที่ห่างไกล…ต้าเจียเอ๋อร์ที่น่าสงสารของข้า!”

หมิงเวยคาดเดาไว้ก่อนแล้วเพียงแต่ไม่รู้ว่าคนที่ดูหมิ่นต้าเจียเอ๋อร์นั้นเป็นใคร ตอนนี้นางได้แต่ถอนหายใจในใจแล้วถามไปว่า “ท่านลุงสองไม่ว่าอย่างไรเลยหรือเจ้าคะ”

ฮูหยินสองหัวเราะเยาะ “เขามันคนใจเสาะ! เพราะจวิ้นอ๋องเห็นด้วยเขาจึงคิดจะส่งต้าเจียเอ๋อร์ไปเป็นอนุ คุณชายตระกูลหลีผู้นั้นมีอะไรดีกัน แม้ต้าเจียเอ๋อร์ออกเรือนกับเขาแต่เขาก็ไม่คู่ควรเลยแม้แต่น้อย!”

สำหรับคนเป็นมารดาแล้วลูกของตนมีค่ามากที่สุด ต้าเจียเอ๋อร์ต้องทนทุกข์กับความอัปยศอดสูเช่นนี้ไม่แปลกใจเลยที่ฮูหยินสองจะเกลียดนายท่านสองถึงขนาดนั้น

เมื่ออารมณ์ของฮูหยินสองกลับมาคงที่แล้วหมิงเวยจึงพูดช้าๆ “ท่านป้าสอง หากจะให้ช่วยท่านลุงสอง หลานก็ช่วยไม่ได้ แต่ตอนนี้มีโอกาสหนึ่งที่พอจะช่วยพี่สามกับน้องหกได้ ท่าน…”

ทันใดนั้นฮูหยินสองก็เงยหน้าขึ้นดวงตาของนางเปี่ยมไปด้วยความหวัง “หลานพูดมาได้เลย! หากสามารถช่วยพวกเขาได้ป้าจะทำทุกอย่างเพื่อหลานไปตลอดชีวิต!”

หมิงเวยพูดจาอ้อมค้อมว่า “ไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือไม่ หลานไม่กล้ารับประกัน แต่มีแค่โอกาสนี้เท่านั้น เรื่องนี้หลานไม่สามารถยื่นมือเข้าไปได้ ท่านป้าสองต้องขอร้องจากผู้อื่นเจ้าค่ะ”

“มีโอกาสก็สำเร็จได้” ฮูหยินสองหรือจะกล้าขอร้องผู้อื่นมากมาย “เสี่ยวชี หลานบอกป้ามาเถิดว่าป้าจะต้องต่อสู้เพื่อโอกาสนี้ได้อย่างไร”

หมิงเวยถอนหายใจ “ท่านป้าทอดทิ้งท่านลุงสองได้หรือไม่”

ฮูหยินสองตกตะลึง

“ท่านป้าคงจะทราบแล้วว่าท่านลุงสองทำอะไรลับหลังบ้าง วิกฤตของตระกูลหมิงในตอนนี้ก็คือเรื่องที่ท่านลุงสองทำได้ถูกเปิดโปงแล้ว เรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องใหญ่มาก ฝ่าบาทจะต้องรับรู้และไม่มีทางช่วยท่านลุงสองได้วิธีเดียวที่จะทำได้ในตอนนี้คือยืนหยัดเพื่อชดเชยความผิดถึงจะสามารถช่วยคนที่เหลือได้เจ้าค่ะ”

ฮูหยินสองตกใจ “ร้ายแรงถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”

หมิงเวยพยักหน้า “ท่านป้าสองปรึกษาหารือกับท่านย่าเถอะเจ้าค่ะ หากเป็นอย่างที่หลานคาดการณ์ไว้ ท่านลุงใหญ่และท่านอาห้าที่อยู่ที่เมืองหลวงคงไม่อาจหลีกหนีความสัมพันธ์นี้ได้ การปลดถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้แล้วเจ้าค่ะ”

ฮูหยินสองตัวสั่น “ถ้าหากพวกเราไม่สามารถยืนหยัดเพื่อชดเชยความผิดล่ะ”

“ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดก็คงเป็น” หมิงเวยพูดเสียงเบา “ประหารทั้งครอบครัวเจ้าค่ะ”

ฮูหยินสองตกตะลึงจนทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้

“ท่านป้าสองลองไตร่ตรองดูดีๆ เวลามีไม่มากแล้วนะเจ้าคะ” หมิงเวยทำความเคารพนางแล้วกลับสวนอวี๋ฟางไป

ตัวฝูถูกส่งกลับมาที่นี่เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากเป็นคำสั่ง อาสวนจึงเป็นคนพานางกลับมาส่งด้วยตนเอง ตระกูลหมิงทราบถึงตัวตนของเขาดีจึงละทิ้งความแตกต่างระหว่างภายในและภายนอกชั่วคราวปล่อยให้เขาเข้ามาได้

“ตัวฝูเป็นอย่างไรบ้าง” เมื่อเห็นใบหน้านางบิดเบี้ยวมีเลือดออกทางหู จมูก ตา ปาก ปิงซินกับซู่เจี๋ยถึงกับตกใจ

หมิงเวยรับผ้ามาเช็ดเลือดออกจากใบหน้าของตัวฝูอย่างระมัดระวังและขอให้พวกนางเตรียมกระดาษและพู่กันมา จากนั้นก็เขียนใบสั่งยาแล้วพูดว่า “สั่งคนให้ไปหยิบยามา”

สาวใช้ทั้งสองรับใบสั่งยาอย่างงงๆ คิดในใจว่าคุณหนูรู้วิชาการแพทย์ตั้งแต่เมื่อใดกัน หมิงเวยพอเข้าใจวิชาการแพทย์อยู่บ้าง ใบสั่งยาที่นางเขียนไปนั้นไว้สำหรับยับยั้งวิญญาณชั่วร้าย

“วันนี้แม่นมตกใจกลัวหรือไม่”

พอได้ยินนางถามปิงซินรีบตอบไปว่า “คุณหนูวางใจได้เจ้าค่ะ แม่นมไม่เป็นอะไร ทหารพวกนั้นไม่ได้เข้ามารบกวนอะไรเลยเจ้าค่ะ”

หมิงเวยพยักหน้า “วันนี้ตัวฝูได้รับบาดเจ็บเพราะปกป้องข้า พวกเจ้าเลือกสาวใช้ที่ทำงานละเอียดรอบคอบมาสองคนมาดูแลตัวฝูให้ดี เช็ดตัวป้อนยาให้นางทุกวัน ห้ามเลินเล่อ นางอาจจะอาการสาหัสเช่นนี้ไปหลายวัน”

ซู่เจี๋ยรับคำ “บ่าวกับปิงซินจะคอยจับตาดู พวกนางไม่กล้าเลินเล่อแน่นอนเจ้าค่ะ”

สาวใช้ทั้งสองคนสุขุมไว้ใจได้ หมิงเวยวางใจมากที่จะฝากตัวฝูไว้กับพวกนาง นางกลับไปที่ห้องเพื่อชำระกายเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่ก็ไม่ได้หลับไปในทันที นางถือโคมไปเพื่อไปที่ห้องเซ่นไหว้ผู้ตายด้วยตนเอง

เมื่อเห็นโคมไฟส่องแสงจากระยะไกล ชายชราที่เฝ้าห้องเซ่นไหว้ผู้ตายก็แทบจะตกใจ จนกระทั่งเห็นนางเดินเข้ามาใกล้ใจเขาแทบร่วงลงไปกองกับพื้น

“คุณหนูเจ็ด ดึกดื่นเช่นนี้มาหาฮูหยินสามหรือขอรับ” หมิงเวยตอบกลับไปและต้องการเข้าไปด้านใน

ชายชรารีบพูดว่า “คุณหนูเจ็ด ดึกเพียงนี้แล้วค่อยมาวันรุ่งขึ้นดีหรือไม่ขอรับ”

หมิงเวยหันหน้ามองเขา

ชายชรากลัวว่านางจะเข้าใจผิดว่าตนไม่ตั้งใจทำงานจึงอธิบายไป “เมื่อกลางวันนายท่านสี่มาที่นี่ ท่านฝันว่านายท่านสามอยากพบฮูหยินสาม…บ่าวเกรงว่าหยินชี่ในห้องจะแรงเกินไปอาจทำร้ายคุณหนูได้ขอรับ”

หมิงเวยหรี่ตา “เจ้าบอกว่าท่านอาสี่มาที่นี่ตอนกลางวันงั้นรึ”

“ขอรับ! บ่าวได้ยินนายท่านสี่ร้องไห้เสียใจอย่างหนักราวกับว่าดวงวิญญาณของนายท่านสามกลับมา…”

สีหน้าของหมิงเวยไร้อารมณ์

“ถึงแม้จะเป็นคนในครอบครัว แต่ก็มีความแตกต่างระหว่างหยินและหยาง คุณหนูเจ็ดยังเด็ก ร่างกายอ่อนแออย่าเอาตัวไปเปื้อนหยินชี่เลยดีกว่าขอรับ…”

ชายชรายังพูดพล่ามไม่หยุด แต่ความคิดของหมิงเวยล่องลอยไปนานแล้ว

เรื่องบางเรื่องที่แต่เดิมนางไม่ได้สนใจตอนนี้ในที่สุดนางก็รู้แล้ว

…………………………………………………..

คู่ชะตาบันดาลรัก

คู่ชะตาบันดาลรัก

Status: Ongoing

เหตุชะตาถึงฆาตทำให้วิญญาณของ ‘หมิงเวย’ หญิงสาวผู้มีวรยุทธ์เก่งกล้า ย้อนเวลามาอยู่ในร่างของคุณหนูเจ็ดแห่งตระกูลหมิงผู้อ่อนแอ

แต่เรื่องราวกลับไม่ง่ายเมื่อทันทีที่ลืมตา นางกลับพบว่าในสวนอวี๋ฟางที่นางและฮูหยินสามผู้เป็นมารดาอาศัยอยู่นั้นมีสิ่งอัปมงคล!

สองแม่ลูกเชื่อว่าสิ่งนี้อาจเกี่ยวพันกับไสยศาสตร์มืด จึงได้ลงมือสืบความจริงของเรื่องนี้อย่างลับๆ

และยิ่งตามสืบปริศนามากมายที่เกิดขึ้นในจวนและตระกูลหมิงแห่งนี้… กลับยิ่งเจอความลับอันดำมืดที่ซุกซ่อนอยู่

แต่ท่ามกลางความมืดมิดและสิ่งชั่วร้าย โชคชะตากลับลิขิตให้หญิงสาวได้ไขประตูสู่ความจริง… รวมถึงนำไปสู่ความรัก!

นับตั้งแต่ที่ ‘หยางชู’ เหลนของฮ่องเต้จอมเสเพลแฝงกายมายังเมืองที่นางอาศัยอยู่เพื่อภารกิจบางอย่าง

นางและเขาจึงได้ตกลงร่วมกันทำภารกิจไขปริศนา แต่หารู้ไม่ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นอาจเป็นไปเพราะโชคชะตารักบันดาลอยู่เบื้องหลัง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท