เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืน แต่ไม่มีผู้ใดในตระกูลหมิงนอนหลับอย่างสบายใจสักคน วันนี้มีคนจำนวนมากไปที่วัดเป่าหลิง แน่นอนว่าไม่สามารถคุมตัวไว้ที่ศาลว่าการทั้งหมดได้
คนที่ไม่เกี่ยวข้องถูกปล่อยกลับไปทีละคน แต่มีสามคนในตระกูลหมิงที่ยังไม่กลับมา
นายท่านสอง นายท่านสี่ และหมิงเฉิง
นายท่านสองเป็นเจ้าบ้านเรือนหลัก นายท่านสี่เป็นเจ้าบ้านเรือนรอง ตอนนี้นายท่านหกถูกละทิ้งไปแล้ว นอกจากพวกเขาแล้วยังมีหมิงเฉิงอีกคนที่อยู่ในตงหนิง
เท่ากับว่าตอนนี้ตระกูลหมิงไม่มีบุรุษชั่วคราวทำให้ทุกคนต่างตื่นตระหนก
หมิงเวยเข้าไปในห้องโถงใหญ่ ฮูหยินผู้เฒ่าเพียงยิ้มเล็กน้อยแล้วปล่อยให้นางไปพักผ่อน
หมิงเวยส่งสายตาให้ฮูหยินสองแล้วทั้งสองคนก็เดินไปที่ห้องด้านข้างเพื่อพูดคุยกัน “ท่านป้าสองเป็นห่วงท่านลุงสองอยู่ใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ฮูหยินสองรู้สึกหดหู่ใจ “ถ้ามีแค่ลุงสองของหลานก็แล้วไป แต่นี่แม้แต่น้องสี่กับซื่อเกอก็ถูกรั้งเอาไว้ด้วยกลัวว่า…”
หมิงเวยเข้าใจแล้วสิ่งที่ฮูหยินสองกังวลคือผลกระทบของการสูญเสียผู้ชายในครอบครัว ไม่ใช่ความปลอดภัยของนายท่านสอง
หมิงเวยพิจารณาแล้วพูดออกไปว่า “ท่านป้า วันนี้หลานบังเอิญไปกับคุณชายหยางแล้วได้รู้อะไรบางอย่างเข้า…”
ดวงตาของฮูหยินสองเป็นประกายแล้วคว้ามือของหมิงเวยไว้ “เสี่ยวชี! หลานรู้อะไรมา หากมันช่วยให้เราผ่านพ้นวิกฤตไปได้ ป้าจะขอบคุณสำหรับความเมตตาของหลานไปตลอดชีวิต!”
หมิงเวยตอบ “ท่านป้า หลานจะบอกความจริงกับท่านว่า ท่านอาสี่กับพี่สี่ไม่เป็นอะไร อีกเดี๋ยวคงจะได้รับการปล่อยตัวออกมา แต่ท่านลุงสอง…”
“ลุงสองของหลานทำไมหรือ”
หมิงเวยส่ายหน้า “คงไม่สามารถกลับมาได้เจ้าค่ะ”
ฮูหยินสองได้ยินก็ตกใจไม่ขยับไปชั่วขณะ
เป็นเวลานาน ดวงตาของฮูหยินสองคลอไปด้วยน้ำตา “ลูกที่น่าสงสารของข้า!” นางคว้าตัวหมิงเวยแล้วถาม “พี่สามของหลานไม่สามารถลงสนามสอบได้แล้วใช่หรือไม่”
หากนายท่านสองถูกตัดสินว่ามีความผิดบุตรของเขาจะหมดโอกาสในวีถีทางที่จะก้าวไปเป็นขุนนาง
หมิงเวยเงียบ
ฮูหยินสองเข้าใจแล้ว นางซ่อนใบหน้าแล้วร้องไห้ออกมาแล้วก่นด่าไม่หยุด “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเขาจะทำร้ายลูกของข้า เกลียดก็คือเกลียด แต่ความสัมพันธ์ทางสายเลือดนั้นตัดไม่ขาด! ในตอนนั้นที่เขาทำเช่นนั้นกับต้าเจียเอ๋อร์ ข้าก็รู้แล้วว่าเขามันคนไร้ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี!”
หมิงเวยตาเป็นประกายนางถามเสียงเบา “ท่านป้าสอง ปีนั้นเกิดอะไรขึ้นกับพี่ใหญ่หรือเจ้าคะ”
ถึงตอนนี้แล้วฮูหยินสองไม่มีความจำเป็นต้องปกปิดอะไรอีก นางจึงตอบไปว่า “ในตอนนั้นต้าเจียเอ๋อร์ไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนอ๋องไม่รู้ว่าไปถูกคุณชายตระกูลหลีเห็นเข้าอย่างไร ต้าเจียเอ๋อร์เห็นเขาหยาบคายจึงตำหนิเขาไป ผู้ใดจะรู้ว่าเขาจะนึกถึงนางเพียงนั้นกัน หลังจากนั้นก็ถูกเขาคิดบัญชีด้วยการลบหลู่ดูหมิ่น…”
ฮูหยินสองนึกถึงเรื่องนี้นางก็กัดฟันด้วยความเกลียดชัง “คุณชายหลีผู้นั้นมีฮูหยินอยู่แล้ว แต่อยากได้ต้าเจียเอ๋อร์ไปเป็นอนุ! เขาฝันเฟื่องเกินไปแล้ว! แต่มีจวิ้นอ๋องส่งเสริมครอบครัวเขาอยู่จึงทำอะไรเขาไม่ได้ ข้าจึงทำได้แค่ส่งต้าเจียเอ๋อร์ออกเรือนไปยังที่ห่างไกล…ต้าเจียเอ๋อร์ที่น่าสงสารของข้า!”
หมิงเวยคาดเดาไว้ก่อนแล้วเพียงแต่ไม่รู้ว่าคนที่ดูหมิ่นต้าเจียเอ๋อร์นั้นเป็นใคร ตอนนี้นางได้แต่ถอนหายใจในใจแล้วถามไปว่า “ท่านลุงสองไม่ว่าอย่างไรเลยหรือเจ้าคะ”
ฮูหยินสองหัวเราะเยาะ “เขามันคนใจเสาะ! เพราะจวิ้นอ๋องเห็นด้วยเขาจึงคิดจะส่งต้าเจียเอ๋อร์ไปเป็นอนุ คุณชายตระกูลหลีผู้นั้นมีอะไรดีกัน แม้ต้าเจียเอ๋อร์ออกเรือนกับเขาแต่เขาก็ไม่คู่ควรเลยแม้แต่น้อย!”
สำหรับคนเป็นมารดาแล้วลูกของตนมีค่ามากที่สุด ต้าเจียเอ๋อร์ต้องทนทุกข์กับความอัปยศอดสูเช่นนี้ไม่แปลกใจเลยที่ฮูหยินสองจะเกลียดนายท่านสองถึงขนาดนั้น
เมื่ออารมณ์ของฮูหยินสองกลับมาคงที่แล้วหมิงเวยจึงพูดช้าๆ “ท่านป้าสอง หากจะให้ช่วยท่านลุงสอง หลานก็ช่วยไม่ได้ แต่ตอนนี้มีโอกาสหนึ่งที่พอจะช่วยพี่สามกับน้องหกได้ ท่าน…”
ทันใดนั้นฮูหยินสองก็เงยหน้าขึ้นดวงตาของนางเปี่ยมไปด้วยความหวัง “หลานพูดมาได้เลย! หากสามารถช่วยพวกเขาได้ป้าจะทำทุกอย่างเพื่อหลานไปตลอดชีวิต!”
หมิงเวยพูดจาอ้อมค้อมว่า “ไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือไม่ หลานไม่กล้ารับประกัน แต่มีแค่โอกาสนี้เท่านั้น เรื่องนี้หลานไม่สามารถยื่นมือเข้าไปได้ ท่านป้าสองต้องขอร้องจากผู้อื่นเจ้าค่ะ”
“มีโอกาสก็สำเร็จได้” ฮูหยินสองหรือจะกล้าขอร้องผู้อื่นมากมาย “เสี่ยวชี หลานบอกป้ามาเถิดว่าป้าจะต้องต่อสู้เพื่อโอกาสนี้ได้อย่างไร”
หมิงเวยถอนหายใจ “ท่านป้าทอดทิ้งท่านลุงสองได้หรือไม่”
ฮูหยินสองตกตะลึง
“ท่านป้าคงจะทราบแล้วว่าท่านลุงสองทำอะไรลับหลังบ้าง วิกฤตของตระกูลหมิงในตอนนี้ก็คือเรื่องที่ท่านลุงสองทำได้ถูกเปิดโปงแล้ว เรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องใหญ่มาก ฝ่าบาทจะต้องรับรู้และไม่มีทางช่วยท่านลุงสองได้วิธีเดียวที่จะทำได้ในตอนนี้คือยืนหยัดเพื่อชดเชยความผิดถึงจะสามารถช่วยคนที่เหลือได้เจ้าค่ะ”
ฮูหยินสองตกใจ “ร้ายแรงถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”
หมิงเวยพยักหน้า “ท่านป้าสองปรึกษาหารือกับท่านย่าเถอะเจ้าค่ะ หากเป็นอย่างที่หลานคาดการณ์ไว้ ท่านลุงใหญ่และท่านอาห้าที่อยู่ที่เมืองหลวงคงไม่อาจหลีกหนีความสัมพันธ์นี้ได้ การปลดถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้แล้วเจ้าค่ะ”
ฮูหยินสองตัวสั่น “ถ้าหากพวกเราไม่สามารถยืนหยัดเพื่อชดเชยความผิดล่ะ”
“ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดก็คงเป็น” หมิงเวยพูดเสียงเบา “ประหารทั้งครอบครัวเจ้าค่ะ”
ฮูหยินสองตกตะลึงจนทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้
“ท่านป้าสองลองไตร่ตรองดูดีๆ เวลามีไม่มากแล้วนะเจ้าคะ” หมิงเวยทำความเคารพนางแล้วกลับสวนอวี๋ฟางไป
ตัวฝูถูกส่งกลับมาที่นี่เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากเป็นคำสั่ง อาสวนจึงเป็นคนพานางกลับมาส่งด้วยตนเอง ตระกูลหมิงทราบถึงตัวตนของเขาดีจึงละทิ้งความแตกต่างระหว่างภายในและภายนอกชั่วคราวปล่อยให้เขาเข้ามาได้
“ตัวฝูเป็นอย่างไรบ้าง” เมื่อเห็นใบหน้านางบิดเบี้ยวมีเลือดออกทางหู จมูก ตา ปาก ปิงซินกับซู่เจี๋ยถึงกับตกใจ
หมิงเวยรับผ้ามาเช็ดเลือดออกจากใบหน้าของตัวฝูอย่างระมัดระวังและขอให้พวกนางเตรียมกระดาษและพู่กันมา จากนั้นก็เขียนใบสั่งยาแล้วพูดว่า “สั่งคนให้ไปหยิบยามา”
สาวใช้ทั้งสองรับใบสั่งยาอย่างงงๆ คิดในใจว่าคุณหนูรู้วิชาการแพทย์ตั้งแต่เมื่อใดกัน หมิงเวยพอเข้าใจวิชาการแพทย์อยู่บ้าง ใบสั่งยาที่นางเขียนไปนั้นไว้สำหรับยับยั้งวิญญาณชั่วร้าย
“วันนี้แม่นมตกใจกลัวหรือไม่”
พอได้ยินนางถามปิงซินรีบตอบไปว่า “คุณหนูวางใจได้เจ้าค่ะ แม่นมไม่เป็นอะไร ทหารพวกนั้นไม่ได้เข้ามารบกวนอะไรเลยเจ้าค่ะ”
หมิงเวยพยักหน้า “วันนี้ตัวฝูได้รับบาดเจ็บเพราะปกป้องข้า พวกเจ้าเลือกสาวใช้ที่ทำงานละเอียดรอบคอบมาสองคนมาดูแลตัวฝูให้ดี เช็ดตัวป้อนยาให้นางทุกวัน ห้ามเลินเล่อ นางอาจจะอาการสาหัสเช่นนี้ไปหลายวัน”
ซู่เจี๋ยรับคำ “บ่าวกับปิงซินจะคอยจับตาดู พวกนางไม่กล้าเลินเล่อแน่นอนเจ้าค่ะ”
สาวใช้ทั้งสองคนสุขุมไว้ใจได้ หมิงเวยวางใจมากที่จะฝากตัวฝูไว้กับพวกนาง นางกลับไปที่ห้องเพื่อชำระกายเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่ก็ไม่ได้หลับไปในทันที นางถือโคมไปเพื่อไปที่ห้องเซ่นไหว้ผู้ตายด้วยตนเอง
เมื่อเห็นโคมไฟส่องแสงจากระยะไกล ชายชราที่เฝ้าห้องเซ่นไหว้ผู้ตายก็แทบจะตกใจ จนกระทั่งเห็นนางเดินเข้ามาใกล้ใจเขาแทบร่วงลงไปกองกับพื้น
“คุณหนูเจ็ด ดึกดื่นเช่นนี้มาหาฮูหยินสามหรือขอรับ” หมิงเวยตอบกลับไปและต้องการเข้าไปด้านใน
ชายชรารีบพูดว่า “คุณหนูเจ็ด ดึกเพียงนี้แล้วค่อยมาวันรุ่งขึ้นดีหรือไม่ขอรับ”
หมิงเวยหันหน้ามองเขา
ชายชรากลัวว่านางจะเข้าใจผิดว่าตนไม่ตั้งใจทำงานจึงอธิบายไป “เมื่อกลางวันนายท่านสี่มาที่นี่ ท่านฝันว่านายท่านสามอยากพบฮูหยินสาม…บ่าวเกรงว่าหยินชี่ในห้องจะแรงเกินไปอาจทำร้ายคุณหนูได้ขอรับ”
หมิงเวยหรี่ตา “เจ้าบอกว่าท่านอาสี่มาที่นี่ตอนกลางวันงั้นรึ”
“ขอรับ! บ่าวได้ยินนายท่านสี่ร้องไห้เสียใจอย่างหนักราวกับว่าดวงวิญญาณของนายท่านสามกลับมา…”
สีหน้าของหมิงเวยไร้อารมณ์
“ถึงแม้จะเป็นคนในครอบครัว แต่ก็มีความแตกต่างระหว่างหยินและหยาง คุณหนูเจ็ดยังเด็ก ร่างกายอ่อนแออย่าเอาตัวไปเปื้อนหยินชี่เลยดีกว่าขอรับ…”
ชายชรายังพูดพล่ามไม่หยุด แต่ความคิดของหมิงเวยล่องลอยไปนานแล้ว
เรื่องบางเรื่องที่แต่เดิมนางไม่ได้สนใจตอนนี้ในที่สุดนางก็รู้แล้ว
…………………………………………………..