หมิงเวยมองอย่างละเอียด แผนผังของเรือนนั้นธรรมดาไม่ได้โดดเด่นอะไร มีโถงเล็กๆ ตรงกลาง ห้องนอนด้านขวา ห้องหนังสือด้านซ้าย
ในโถงเล็กมีกระดานหมากรุก และชุดน้ำชาวางอยู่ ในห้องนอนไม่มีอะไรเลยนอกจากตู้เสื้อผ้าและเตียง ในห้องหนังสือมีหนังสือมากมายทั้งบันทึกประวัติศาสตร์ หนังสือกวี บันทึกการเดินทาง
น่าเสียดายไม่พบกระดาษแม้แต่แผ่นเดียว บนโต๊ะมีพู่กัน แท่งหมึก กระดาษและที่ฝนหมึก เป็นไปไม่ได้ที่เวลาสิบปีมานี้นายท่านสามจะไม่เขียนอะไรเลยแม้แต่ตัวเดียวเห็นได้ชัดว่าเขาวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว
มีห้องลับอยู่ใต้ห้องหนังสือ หมิงเวยเดินลงบันไดหินแคบๆ
“มีเพียงของใช้จิปาถะบางอย่างเท่านั้นขอรับ” เหลยหงพูดกับนาง “ท่านลองดูว่าของพวกนี้มีประโยชน์หรือไม่”
หมิงเวยพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปดู
“ของพวกนี้ล้วนแล้วแต่เป็นของใช้สำหรับฝึกวิชา” ไม่นานนางก็ผิดหวัง “ดูเหมือนของสำคัญจะถูกเขาจัดการไปหมดแล้ว”
เหลยหงเลิกคิ้วก่อนพูดว่า “เขามันจิ้งจอกเฒ่าจริงๆ !”
หมิงเวยพลิกดูหนังสือสำหรับฝึกฝนวิชาและยันต์ “หากเขาไม่สับปลับจะแกล้งตายมาเป็นสิบปีโดยที่ไม่มีผู้ใดรู้ได้อย่างไร”
ใช่! เหลยหงพยักหน้าเงียบๆ เขาเพิ่งทราบเมื่อเช้าว่านายท่านสามยังไม่ตาย เขาตกใจจนพูดไม่ออกเลยเมื่อเห็นนายท่านสามที่ถูกองครักษ์จับกุมตัวมา
คนที่ตายต่อหน้าพวกเขายังมีชีวิตอยู่! เขาปฏิบัติหน้าที่มาเจ็ดแปดปี แต่ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน หากไม่ใช่เพราะคุณหนูเจ็ดระมัดระวังตัว นายท่านสามคงได้หนีลอยนวลไปแล้ว
“คุณหนูเจ็ด พวกเราขึ้นไปดีหรือไม่”
“เดี๋ยวก่อน” หมิงเวยพลิกหนังสือเล่มนั้นไปที่หน้าสุดท้ายแล้วพลิกไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เหลยหงมองแต่ไม่เข้าใจ มีการวาดวงกลมเล็กๆ ที่ดูผิดปกติซึ่งมองอย่างไรก็ไม่เห็นความเกี่ยวข้องกัน
“เป็นเคล็ดวิชาอะไรหรือขอรับ”
หมิงเวยส่ายหน้า “ไม่ใช่เคล็ดวิชาหรอก”
เหลยหงไม่เข้าใจ
“เพราะไม่ใช่เคล็ดวิชาถึงได้แปลก” หมิงเวยอธิบาย “หนังสือเล่มนี้สิ่งที่วาดลงไปล้วนเป็นอักษรยันต์ เหตุใดหน้านี้ถึงได้แตกต่างออกไปกัน”
หมิงเวยครุ่นคิดแล้วนางก็หยิบกระดาษสีขาวมาวาดวงกลมเล็กๆ แล้วส่งหนังสือคืนให้กับเหลยหง “ข้าขอเอากลับไปคิดเสียหน่อย”
เหลยหงไม่ขัดข้อง เขาชินกับการคิดว่าหมิงเวยเป็นคนของตนเองไปแล้ว…
หลังจากทำการเก็บของจิปาถะพวกนี้ทั้งหมดเหลยหงก็เดินออกมาจากห้องลับ
“ฮูหยินสอง” เหลยหงประสานมือคารวะ “พวกเราจำเป็นต้องตรวจสอบทรัพย์สินของนายท่านสองขอรับ” ฮูหยินสองเองได้เตรียมใจเอาไว้แล้ว ตระกูลหมิงกับจวนอ๋องมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันจึงจำเป็นต้องตรวจสอบทรัพย์สินด้วย
หรือก็คือนี่เป็นกุญแจสู่การตัดสินโทษของตระกูลหมิงนั่นเอง
………….
“แม่นม ทานข้าวต้มสักหน่อยเถอะ” ซู่เจี๋ยโน้มน้าวให้นางทานมากขึ้น
“ข้าจัดการเอง” เมื่อได้ยินเสียงซู่เจี๋ยก็เห็นว่าหมิงเวยเดินเข้ามา
“คุณหนู” นางลุกขึ้นยืน หมิงเวยรับชามข้าวต้มจากนางแล้วไปนั่งข้างเตียง
“จะรบกวนคุณหนูได้อย่างไรเจ้าคะ” แม่นมพูดเสียงเบา “ให้สาวใช้จัดการดีกว่าเจ้าค่ะ” หมิงเวยส่ายหน้า นางตักข้าวต้มขึ้นแล้วยื่นเข้าไปใกล้ปากของอีกฝ่าย
แม่นมถงเลยจำเป็นต้องอ้าปากทานเข้าไป เมื่อทานข้าวต้มเสร็จตามด้วยล้างปาก หมิงเวยจึงพูดกับนางว่า “แม่นม ท่านแม่จากไปหลายวันแล้วท่านยังปล่อยวางไม่ได้หรือ”
แววตาของแม่นมถงเต็มไปด้วยความเจ็บปวด “บ่าวรู้สึกผิดต่อฮูหยินเห็นท่านทุกข์ทรมานมาหลายปี บ่าวทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากปลอบฮูหยินให้อดทน จนในที่สุด ฮูหยิน…”
หมิงเวยเข้าใจความรู้สึกนี้ เดิมทีคิดว่าสักวันหนึ่งจะผ่านพ้นไปได้ ผู้ใดจะคิดว่าฮูหยินสามจะตายอย่างไม่ยุติธรรมเช่นนี้กัน ที่อดทนมาหลายปีเพียงนี้จะมีความหมายอะไรกัน
แม่นมถงเสียใจมากจนล้มป่วย หมิงเวยเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “สิ่งที่แม่นมถงเกลียดที่สุดคือยังไม่สามารถล้างแค้นให้ท่านแม่ได้ใช่หรือไม่”
แม่นมถงเบนหน้ามามอง ดวงตาของนางคลอไปด้วยน้ำตา “บ่าวเป็นแค่สาวใช้ ไม่สามารถทำอะไรให้ฮูหยินได้ยิ่งคำว่าแก้แค้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยเจ้าค่ะ”
หมิงเวยหันหน้าไปสั่ง “ซู่เจี๋ย เจ้าออกไปเฝ้าประตูอย่าให้ผู้ใดเข้ามาใกล้”
ซู่เจี๋ยรับคำแล้วเดินออกไป
หมิงเวยจับมือแม่นมถงแล้วกระซิบเสียงเบา “แม่นมอยากพูดอะไรก็พูดออกมาเถอะ อย่าเก็บให้ว้าวุ่นใจเลย สำหรับข้านอกจากท่านแม่แล้วก็มีแม่นมที่ใกล้ชิดมากที่สุด ไม่มีความแตกต่างระหว่างเจ้านายกับบ่าวรับใช้ และไม่มีสิ่งใดที่ไม่สามารถพูดออกมาได้”
หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้ท้ายที่สุดแล้วแม่นมถงก็ร้องไห้ออกมาไม่หยุด
“คุณหนู!”
หมิงเวยจับไหล่นางฟังนางร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด ทำได้เพียงอยู่เป็นเพื่อนเงียบๆ
แม่นมถงร้องไห้ไปสักพักในที่สุดอารมณ์ของนางก็ค่อยๆ สงบลง ความเกลียดชังที่ไม่ปิดบังก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง “พวกเขาควรตายทั้งหมด!”
ลมในเดือนสี่ร้อนขึ้นเสียงของแม่นมถงดังก้องไปทั่วห้อง
“หลายปีมานี้กว่าฮูหยินจะผ่านไปได้แต่ละวัน! ต้องพบเจอบุรุษคนแล้วคนเล่า หญิงคณิกาผู้ต่ำต้อยที่สุดหากไม่อยากพบยังสามารถไม่พบได้แล้วฮูหยินเล่า”
“มีผู้ใดในตระกูลนี้ที่มือขาวสะอาดไม่รู้เรื่องราวบ้าง สัตว์เดรัจฉานอย่างนายท่านสองและนายท่านหก แล้วผู้อื่นล่ะ พวกเขาไม่รู้เรื่องจริงๆ งั้นหรือ”
“นายท่านสี่คอยจับผิดฮูหยิน จะบอกว่าท่านไม่ทราบเรื่องราวภายในเลยหรือ”
“ฮูหยินผู้เฒ่าปฏิบัติต่อฮูหยินแบบขอไปที ท่านมองออกว่านายท่านหกมีใจให้ฮูหยิน แต่ท่านก็เลือกที่จะอยู่ข้างนายท่านหก ไม่แน่ในใจนางอาจโทษฮูหยินว่าเป็นผู้ดึงดูดความสนใจของนายท่านหกเอง”
“ยังมีฮูหยินสอง ปกตินางจะรักใคร่กลมเกลียวกับฮูหยิน แต่พอเกิดเรื่องนางกลับมองดูอย่างเงียบๆ”
“ฮูหยินสี่ต่อหน้าทำตัวไม่มีช่องโหว่ แต่ความจริงแล้วจำกัดเขตคุณหนูแปดกับคุณชายเก้า ไม่ให้พวกเขามาที่สวนอวี๋ฟาง”
“ฮูหยินหกก็เหมือนกันในใจนางเกลียดฮูหยินจนอยากให้ฮูหยินตายเสียด้วยซ้ำ ทุกครั้งที่มาพบฮูหยินหากไม่จำเป็นต้องคุยกันก็ไม่คุยเลย”
“ผู้ใดไม่รู้เรื่องงั้นหรือ พวกเขาทุกคนล้วนเป็นผู้ผลักให้ฮูหยินต้องมาพบเจอเรื่องนี้!”
“พวกเขาทุกคนล้วนต้องมาขอขมาต่อหน้าฮูหยิน!”
หมิงเวยลูบหลังแม่นมถงเบาๆ ฟังนางระบายด้วยความเกลียดชัง ถึงแม้บางเรื่องจะไม่ถูกต้องทั้งหมด แต่ความเกลียดชังของนางก็มีเหตุผล
นายท่านสี่รักฮูหยินสามจากใจจริงแล้วอย่างไร ในเมื่อการเฝ้าดูอย่างนิ่งดูดายมาสิบปีนั้นเป็นเรื่องจริง
ส่วนคนที่เหลือถึงจะไม่รู้เรื่องราวภายใน แต่มีเหตุผลอะไรมาเกลียดชังฮูหยินสามกัน นางเป็นเหยื่อ เป็นเหยื่อโดยสมบูรณ์ เหตุใดต้องมาถูกคนเกลียด ถูกคนตำหนิด้วย ต่อให้ทำผิดหลายหมื่นครั้ง อย่างไรเหยื่อก็ไม่ผิด
“บ่าวเกลียดตัวเองที่ทำอะไรไม่ได้!” แม่นมถงน้ำตาไหลพราก
ท่ามกลางเสียงร้องหมิงเวยพูดออกมาเบาๆ “ข้าทำได้แล้ว”
“คุณหนู…” แม่นมถงมองนางด้วยสายตาว่างเปล่า
หมิงเวยยิ้มและเช็ดน้ำตาให้นาง “จนกว่าจะถึงวันนั้น แม่นมต้องดูแลตัวเองให้ดีๆ ข้าสาบาน ไม่ต้องรอนานแม่นมได้เห็นวันนั้นแน่นอน!”
…………
หมิงเวยกลับไปยังห้องของตนเองแล้วเห็นวิญญาณของคุณหนูเจ็ดนั่งเงียบๆ ตรงมุมห้อง หลังตามหาสองจิตสี่วิญญาณที่หายไปเจอแล้ว ไอวิญญาณของนางมีชีวิตชีวาขึ้นมาก
“ท่านไม่พอใจงั้นหรือ” หมิงเวยพูดเบาๆ “ตายไปหลายวันแล้วยังคงรักษาจิตวิญญาณเอาไว้ได้ ใครๆ ต่างก็บอกว่าท่านโง่เขลา แต่ใครบอกหรือว่าคนโง่ไม่มีหัวใจกัน”
คุณหนูเจ็ดยังคงเฉยชาไร้ความรู้สึก นางไม่ขยับไปไหน
“ไม่ต้องกังวลไป เสวียนหนี่เหนียงเหนียงจะกำจัดความชั่วร้าย ความปรารถนาของพวกท่านกำลังจะเป็นจริงแล้ว”
นางลูบเครื่องรางที่ทำมาจากไม้สีดำในมือช้าๆ…
………………………………………….