ฟังดูแล้วช่างเป็นญาติที่เอาใจใส่และเข้าใจเหตุผล!
เห็นแก่ความเหมาะสมของครอบครัวฝั่งหลานสะใภ้ ไม่ว่าจะอึดอัดแค่ไหนก็ทนไว้ก่อนรอให้แขกกลับไปก่อนแล้วค่อยพูด แต่ทำไมถึงได้รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกัน
ท่านผู้เฒ่ารองคลี่ยิ้ม “ทำให้คุณชายลำบากใจแล้ว…” พอคิดดูอีกทีเขาจึงย้อนกลับไปเข้าประเด็น “เรื่องนี้พวกเขาทำไม่ถูกต้องจริงๆ หลังจากนี้ข้าจะให้พวกเขาให้คำมั่นสัญญา วางใจเถอะข้ารับรอง!”
ผู้ใดจะรู้ว่าจี้หลิงที่เมื่อครู่มีสีหน้าซาบซึ้งรีบเปลี่ยนสีหน้าทันที “ท่านผู้เฒ่ารอง นี่มันเบาเกินไปขอรับ! ก่อนหน้านี้เป็นการตายของท่านอา ต่อมาเป็นเรื่องน้องสาวของข้าน้อย แค่ท่านพูดรับปากก็จะสามารถลบเรื่องนี้ออกไปได้งั้นหรือ”
ไม่รอให้ท่านผู้เฒ่ารองโกรธ เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลไปว่า “ข้าน้อยเชื่อใจท่าน แต่เนื่องจากพวกท่านอยู่ห่างไกลกัน ท่านผู้เฒ่ารองจะรับปากได้อย่างไร การตายของท่านอา ท่านผู้เฒ่ารองไม่ใช่ว่าเพิ่งมาทราบทีหลังหรอกหรือ หากท่านรับปากละก็ ท่านไม่ต้องพูดออกมาง่ายๆ หรอกขอรับ ข้าน้อยไม่อยากให้ผู้อาวุโสเช่นท่านต้องมาพลั้งปากไปเพราะคำพูดประโยคเดียว แล้วยังถูกความผิดของผู้อื่นลดทอนชื่อเสียงของตนเองอีก”
เขาพูดต่อไปไม่กี่คำท่านผู้เฒ่ารองก็คล้อยตาม เขาไม่สามารถโกรธได้ เพราะเมื่อมาคิดดูอีกทีที่อีกฝ่ายพูดมาก็มีเหตุผล
แม้จะเป็นคนแซ่เดียวกัน แต่ก็แยกตัวออกมานานแล้ว ตนเองจะรับประกันอะไรได้ ตระกูลจี้ถึงแม้จะตกต่ำลง แต่เมื่อดูจากบุคลิกของคุณชายใหญ่แล้ว ไม่แน่อาจจะกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งก็เป็นได้ ในทางตรงกันข้ามตระกูลหมิงที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีกบฏและยังไม่รู้ว่าจะจบลงอย่างไร หากเกิดเรื่องนี้ขึ้นในวันข้างหน้าตนเองก็ไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
คนพวกนี้ยิ่งแก่ตัวยิ่งรักหน้าตาของตนเอง ท่านผู้เฒ่ารองยอมรับว่าตนยุติธรรมมาตลอดทั้งชีวิต แต่แน่นอนว่าเขาไม่เต็มใจที่จะสร้างชื่อให้กับหลานชายที่เป็นสายตระกูลห่างๆ
เมื่อคิดเช่นนั้นใจเขาก็เริ่มเอนเอียง “คุณชายเป็นห่วงน้องของท่าน ช่างเป็นเด็กดีจริงๆ ถ้าอย่างนั้นตามที่คุณชายเห็นเรื่องนี้ควรทำอย่างไรดี”
จี้หลิงได้ยินอย่างนั้นใจของเขาก็สงบลง เรื่องที่เขาก่อขึ้นในวันนี้ แปดเก้าไม่พ้นสิบ[1]
เขาตอบว่า “ท่านผู้เฒ่ารองหมิงเจี้ยน ท่านพ่อของข้าน้อยมีน้องสาวเพียงคนเดียว ข้าน้อยเองก็มีลูกพี่ลูกน้องหญิงเพียงคนเดียวเช่นกัน วันนี้ท่านอาจากไปแล้ว พวกเราไม่สามารถเฝ้ามองลูกพี่ลูกน้องของเราไม่รู้ความไปตลอดชีวิตได้ ในเมื่อตระกูลหมิงไม่สามารถดูแลนางได้ ถ้าอย่างนั้นยกนางให้พวกเราดูแลไม่ดีกว่าหรือขอรับ!”
แม้ท่านผู้เฒ่ารองจะรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่เมื่อคิดดูแล้วเขาก็รู้สึกว่าเรื่องนี้มีเหตุผลเช่นกัน พวกเขาสองตระกูลมีสัญญาหมั้นหมายกัน อย่างไรในอนาคตเสี่ยวชีก็ต้องเป็นคนของตระกูลจี้ ในตอนนี้ตระกูลจี้มองว่าตระกูลหมิงดูแลนางไม่ดี ต้องการรับนางไปดูแลก็เป็นเรื่องปกติ นอกจากนี้ที่นั่นก็เป็นเรือนท่านลุงของนาง
เขาจึงหันไปหานายท่านสี่ “หลานสี่ เจ้าว่าอย่างไร”
นายท่านสี่ตกใจเขาเลิกคิ้วแล้วถามออกไปว่า “ที่คุณชายจี้กล่าวว่ายกนางให้พวกท่านหมายความว่าอย่างไร หากพวกท่านต้องการรับนางไปที่เมืองหลวง ทางเราไม่มีเหตุผลที่จะห้ามไม่ให้นางไปหาท่านลุงของนางอยู่แล้ว แต่ดูจากคำพูดของท่านคงไม่ใช่เพียงแค่นี้”
จี้หลิงยิ้ม “นายท่านสี่ที่ข้าน้อยหมายถึงก็คือ จากนี้ไปนางจะอยู่ในความดูแลของพวกเราตระกูลจี้ เรื่องของนาง ตระกูลหมิงไม่สามารถยื่นมือเข้ามาได้อีก!”
เขาหมายถึงต้องการตัดขาดความสัมพันธ์กันใช่หรือไม่
“ไม่ได้!” นายท่านสี่โพล่งออกไป เขาขมวดคิ้วแน่น “เรื่องที่ท่านจะรับนางกลับไป ข้าไม่ว่าอะไร แต่ท่าน…”
“นายท่านสี่!” จี้หลิงขึ้นเสียง “เรื่องของท่านอา พวกเราตระกูลจี้ยอมปล่อยไปเพราะเห็นว่าคนที่เกี่ยวข้องได้ตายไปแล้ว แต่หากให้พูดกันตามตรงเรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของนายท่านหกคนเดียว!”
นี่เป็นการคุกคาม!
ตอนแรกนายท่านสี่ไม่พอใจ แต่หลังจากนั้นก็รู้สึกผิดเล็กน้อย ความจริงเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สุดจะทนได้ กว่าจะจบลงนั้นไม่ง่ายเลย ใครๆ ก็ต่างไม่อยากพูดถึง แต่จะให้เขาเห็นด้วยยอมให้เสี่ยวชีตัดขาดกับตระกูลหมิง เขาไม่สามารถพูดออกไปได้ ไม่ใช่แค่เรื่องภาพลักษณ์ แต่เพราะยังมีความลับอีกอย่าง
ตระกูลหมิงรู้สึกผิดต่อนางที่แม้แต่บุตรสาวของนางก็ยังรักษาไว้ไม่ได้ แม้ว่าเสี่ยวชีจะไปอยู่กับตระกูลจี้และต้องออกเรือนในอนาคต อย่างไรนางก็เป็นคุณหนูตระกูลหมิง…
แต่พอดูจี้หลิงแล้วดูเหมือนหากเขาไม่ตอบรับก็ไม่มีท่าทีว่าจะยอมแพ้ ตระกูลหมิงอยู่ในช่วงตกต่ำ ท่านย่าล้มป่วยอีกครั้งป่วยแล้วป่วยอีกจนแทบไม่ไหวอยู่แล้ว…
ในตอนนั้นเองหมิงเฉิงก็เดินเข้ามา ตอนที่เขามาถึงจี้หลิงพูดมาได้ครึ่งทางแล้ว หมิงเฉิงยืนฟังอยู่ด้านนอกสักพักถึงได้เดินเข้ามา
“ท่านพ่อ” เขาเอนตัวเข้าไปหา “ท่านออกมาครู่หนึ่งได้หรือไม่ขอรับ ลูกมีเรื่องจะพูดด้วย”
“เจ้ามีเรื่องอะไรถึงไม่สามารถรอได้”
หมิงเฉิงยืนยันหนักแน่น “เรื่องสำคัญมากขอรับ” แล้วเขาก็หันไปคารวะท่านผู้เฒ่ารองกับจี้หลิง “ขออภัยด้วยขอรับ โปรดรอสักครู่”
นายท่านสี่จึงต้องออกไปกับเขา หมิงเฉิงพาบิดาของตนไปที่มุมห้องและพูดว่า “ท่านพ่อ ท่านรับปากคุณชายจี้เถอะ!”
เมื่อเห็นว่าเรื่องที่เขาพูดคือเรื่องนี้ นายท่านสี่จึงตอบกลับไป “จะให้พ่อรับปากได้อย่างไร หากรับปากไปเสี่ยวชีก็ไม่ใช่คนตระกูลหมิงอีกต่อไปแล้ว ถึงแม้ท่านป้าสามของเจ้า…” เขาชะงักและถอนหายใจ “เขากับท่านป้าสามมีบุตรสาวเพียงคนเดียว หากนางออกจากตระกูลหมิงไป ภายภาคหน้าผู้ประกอบพิธีเซ่นไหว้คงไม่มี”
หมิงเฉิงตอบ “ท่านพ่อจะมายึดติดกับธรรมเนียมเก่าอะไรตอนนี้ขอรับ สถานการณ์ตระกูลของเราในตอนนี้เป็นอย่างไร ใต้เท้าเจี่ยงปล่อยพวกเรากลับจวน ไม่ใช่เพราะพวกเราไม่มีความผิด แต่เพราะพวกเราได้ยืนหยัดเพื่อความยุติธรรมมีความดีความชอบอยู่ถึงได้ปล่อยออกมา หลังจากที่เขาจัดการเรื่องทุกอย่างในตงหนิงเสร็จ ฝ่าบาทคงมีคำสั่งพวกเราต้องเดินทางไปเมืองหลวงเพื่อฟังคำตัดสิน ท่านลุงสามทำความผิดอะไรท่านพ่อเองก็ทราบดี แต่นี่เป็นคดีกบฏร้ายแรงที่สามารถประหารทั้งตระกูลได้ ใต้เท้าเจี่ยงรับปากว่าจะช่วยขอร้องแทนพวกเรา แต่พวกเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าฝ่าบาทจะเมตตาหรือไม่” นายท่านสี่เงียบ
“ถึงคุณชายจี้ไม่พูด ลูกเองก็คิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ไม่ใช่แค่เสี่ยวชี ยังมีอาเซียง…น้องเก้า หากส่งไปที่จวนท่านลุงได้ก็จะส่งไป ทรงเมตตาหรือพิโรธ ไม่มีผู้ใดคาดเดาได้ว่าฝ่าบาทจะตัดสินอย่างไร ตอนนี้คุณชายจี้พูดออกมาแล้ว พวกเราก็พายเรือตามน้ำไป หากมีอะไรไม่คาดคิดเกิดขึ้น นางจะได้ไม่ถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย…”
พูดถึงเรื่องนี้หมิงเฉิงก็กลุ้มใจ “พวกเรารู้สึกผิดต่อท่านป้าสามแล้วก็รู้สึกผิดต่อเสี่ยวชี ข้าไม่มีหน้าจะอ้อนวอนให้นางยกโทษให้ เพราะฉะนั้นเรามาทำสิ่งสุดท้ายเพื่อนางกันเถอะขอรับ!” นายท่านสี่ถูกเขาพูดใส่เช่นนี้ก็รู้สึกเศร้าในใจ
จี้หลิงดื่มชาสักพักและพูดอะไรบางอย่างกับท่านผู้เฒ่ารอง นายท่านสี่กับบุตรชายก็เดินกลับเข้ามา ไม่รอให้เขาเอ่ยปาก นายท่านสี่พูดไปว่า
“คุณชายจี้ ที่ท่านพูดมาก็มีเหตุผล ตอนนี้พวกเราไม่สามารถดูแลเสี่ยวชีได้จริงๆ ควรมอบให้ท่านดูแลจะดีกว่า จบเรื่องนี้ท่านจะพาเสี่ยวชีกลับไปด้วยเลยก็ได้”
จี้หลิงรู้สึกประหลาดใจ เกิดอะไรขึ้นเหตุใดทัศนคติของนายท่านสี่จู่ๆ ถึงได้เปลี่ยนไป เขาหันไปมองหมิงเฉิงแล้วยิ้ม “ขอบคุณนายท่านสี่ที่เข้าใจ แต่เรื่องนี้มีแค่คำพูดคงไม่สามารถเชื่อถือได้…”
นายท่านสี่พูดขัดเขา “ถ้าอย่างนั้นก็เขียนหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรเถอะ”
“….” จี้หลิงกะพริบตา
เดี๋ยวนะ…เหตุใดถึงง่ายดายเพียงนี้ เขานึกว่าต้องพูดให้เปลืองน้ำลายกว่านี้เสียอีกถึงจะยอม ฝั่งหมิงเฉิงเองก็เตรียมกระดาษกับพู่กันเรียบร้อยแล้ว จี้หลิงจึงต้องพับเก็บความคิดนั้นไว้แล้วพูดคุยเรื่องเนื้อหาหลักฐานกับนายท่านสี่อย่างละเอียดรอบคอบ
เมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้ว จี้หลิงอ่านเพื่อตรวจทานอยู่หลายรอบเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีปัญหาอะไรแล้วจึงเก็บอย่างระมัดระวัง
เขากำลังจะเอ่ยปาก แต่หมิงเฉิงกลับชิงพูดตัดหน้าไปก่อน “ท่านพ่อ เสี่ยวชีเป็นบุตรสาวคนเดียวของท่านลุงสาม ทรัพย์สินภายใต้ชื่อของท่านลุงสามควรจะมอบให้นาง ตอนนี้หลักฐานก็เรียบร้อยแล้วให้ส่งมอบทรัพย์สินด้วยดีหรือไม่ขอรับ”
นายท่านสี่พยักหน้าแล้วสั่งให้เขาไปหยิบสมุดบัญชีมา เมื่อคำพูดที่จี้หลิงเตรียมไว้ไม่จำเป็นแล้วเขาจึงกลืนมันกลับลงคอไป
แปลกมาก!
เดิมทีเขาคิดว่าการขอทรัพย์สินให้น้องสาวของเขาเป็นเรื่องยากที่สุด! เพราะว่าสิทธิ์ในการรับมรดกของสตรีนั้นมีข้อจำกัด และตามกฎหมายในรัชสมัยนี้ ครอบครัวสามารถมอบทรัพย์สินให้บุตรสาวได้เพียงครึ่งเดียว เรือนรองไม่มีการแยกตัวออกมาจึงจำเป็นต้องมีการพูดคุยกันซึ่งมันยุ่งยากมาก!
แต่ดูจากท่าทางของนายท่านสี่และหมิงเฉิงแล้ว พวกเขาตั้งใจที่จะมอบสมบัติทั้งหมดของนายท่านสามให้โดยไม่ให้เหลือแม้แต่ครึ่งเดียว…
……………………………
[1 แปดเก้าไม่พ้นสิบ : ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง