แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างส่องกระทบใบหน้า จี้หลิงรู้สึกถึงอะไรบางอย่างจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น แสงอาทิตย์สว่างขนาดนี้เลยหรือ ดูเหมือนว่าเขาจะตื่นสาย เขาลุกขึ้นและพบว่าตนเองมีอาการปวดหัวอย่างหนักจึงยกมือกุมหน้าผาก
เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงปวดหัวขนาดนี้แล้วที่นี่ที่ไหน…
อ้อ จริงสิ เมื่อคืนวานคุณชายหยางผู้นั้นเรียกเขาให้มาดื่มสุรา ความสามารถในการดื่มสุราของเขานั้นปานกลางพอดื่มไปดื่มมาก็เมาเสียแล้ว
จี้หลิงมองไปที่เตียงที่เขานอนพลางคิดในใจว่าคุณชายผู้ดีท่านนั้นก็ไม่เลวเลย เห็นเขาดื่มจนเมาเลยพาเขามานอนที่เตียงของตนเอง แล้วไม่รู้ว่าเมื่อคืนวานเขาไปนอนที่ไหน
จี้หลิงลงจากเตียงแล้วก็เห็นผ้าขนหนูและน้ำในอ่างล้างหน้าที่เตรียมไว้เรียบร้อยจึงไม่เกรงใจที่จะใช้มันก่อน หลังจากล้างหน้าเสร็จจี้หลิงที่ร่างกายสดชื่นก็เปิดประตูออกไป
ในเวลาเดียวกันประตูห้องด้านในสุดก็เปิดออกจี้หลิงยิ้มออกมา น้องสาวของเขาตื่นแต่เช้า…
รอยยิ้มตรึงบนใบหน้าของเขา หยางชูเดินออกจากห้องด้วยใบหน้าที่ดูเหมือนพักผ่อนไม่เพียงพอ เมื่อออกมาจากห้องแล้วเห็นจี้หลิงเลยคิดที่จะทักทาย
“พี่จี้ อรุณ…”
คำว่า ‘สวัสดิ์’ ยังไม่ทันได้พูดออกมาจี้หลิงก็วิ่งเข้ามาหาด้วยท่าทางดุดันแล้วชกเข้าที่ใบหน้าของเขา
“เดี๋ยวก่อน!” หยางชูเบี่ยงตัวเพื่อหลบหลีกอันตราย “พี่จี้! พี่จะทำอะไรน่ะ มีอะไรก็พูดกันดีๆ สิ!”
พูดงั้นหรือไอ้ผีหัวโต!
จี้หลิงมีสีหน้าน่ากลัวทนไม่ไหวที่จะพุ่งไปกัดเขา! เกลียดตัวเองที่เมื่อคืนหลงกลอุบายของเขามอมตัวเองจนเมามายและใช้ประโยชน์จากมัน
เขากระชากคอเสื้อของหยางชู “ทำไมท่านถึงออกมาจากห้องนี้”
หยางชูกะพริบตากำลังจะเปิดปากพูด…
“พี่ใหญ่” หมิงเวยเดินขยี้ตาออกมาจากด้านใน
“พวกท่านทำอะไรกันอยู่หรือ”
จี้หลิงกัดฟัน “น้องหญิง พี่ผิดเองที่ไม่ระวังตัว ไม่สามารถปกป้องน้องได้วันนี้ไม่ว่าเขาจะเป็นคุณชายหยางหรือคุณชายเก่งกาจจากไหนพี่จะทำให้เขาเลือดอาบหน้าให้ได้!”
พูดจบเขาก็ยกกำปั้นซัดเข้าไป หยางชูคิดว่าเขาเป็นบัณฑิตอ่อนแอผู้หนึ่ง เขาที่มีพละกำลังเยอะกว่ากลัวว่าจะทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บได้จึงไม่กล้าผลักออก
ผู้ใดจะรู้เล่าว่าตนคิดน้อยไป จี้หลิงเป็นบัณฑิตก็จริง แต่เขาเรียนทุกศาสตร์วิชาได้ดี ยิ่งขี่ม้า ยิงธนูไม่ต้องกล่าวถึงเขาจึงมีพละกำลังค่อนข้างมาก
หมัดหนักเสยเข้าที่คางของหยางชูจนเขาคิดว่ากรามของตนเกือบหักแล้ว
“อา!”
อาหว่านที่ยกอ่างล้างหน้าขึ้นมายังชั้นบนและเห็นฉากนี้เข้าพอดีจึงร้องเสียงดังแล้วถลาเข้าไป “คุณชายเจ้าคะ!”
ตัวฝูที่เดินตามหลังหมิงเวยเห็นท่าไม่ดีจึงรีบพุ่งเข้าไป อาหว่านจะเข้าไปตีแต่ถูกตัวฝูรั้งตัวไว้ อาหว่านรู้สึกถึงพลังที่สะท้อนกลับมาจนต้องถอยหลังไปสองสามก้าว
นางมองตัวฝูด้วยความโกรธจัดและตะโกนออกไป “พวกท่านทำอะไรกัน รวมหัวกันกลั่นแกล้งคุณชายงั้นหรือ อย่าได้คิด!”
จากนั้นนางก็พุ่งไปข้างหน้าอีกครั้งเพื่อจับตัวตัวฝู ตัวฝูที่มีพลังอยู่ในกาย แม้ไม่เคยเรียนวรยุทธ์มาก่อนแต่ก็โจมตีกลับไปตามสัญชาตญาณ
เมื่อเห็นอาหว่านยื่นมือออกมาจึงพลิกมือคว้าตัวนางไว้แล้วตีที่หัว การต่อสู้ที่ไม่เป็นแบบแผนทำเอาอาหว่านมึนงง แต่พลังของตัวฝูแข็งแกร่งตรึงนางจนไม่สามารถใช้กระบวนท่าอะไรได้ อาหว่านจึงทำได้แค่โต้กลับอย่างไม่เป็นแบบแผนเช่นกัน
แล้วทั้งสองคนก็เริ่มตะลุมบอนกัน
หมิงเวยมองอย่างตกตะลึง เกิดอะไรขึ้นทำไมจู่ๆ ถึงทะเลาะกันขึ้นมาได้
“ปล่อยข้า!” อาหว่านตะโกน
“ไม่ปล่อย!” ตัวฝูโต้กลับ “เจ้าจะทำร้ายคุณชายจี้”
“หึ! เขาทำร้ายคุณชายก่อน!”
“เพราะอย่างนั้นถึงให้เจ้าทำร้ายคุณชายไม่ได้!” สาวใช้ทั้งสองต่อสู้กันจนเดินโซซัดโซเซล้มลงบนระเบียง พวกนางต่างดึงทึ้งผมดึงทึ้งเสื้อผ้ากันเอง
“อาหว่าน!” หยางชูตะโกนเรียกแล้วก็มีอีกหมัดซัดเข้ามาจนเขารู้สึกมึนงง
จี้หลิงดันเขาติดกำแพงและจ้องเขาอย่างดุร้าย “เดิมทีข้าคิดว่าท่านคงไม่ได้เลวอย่างในข่าวลือไม่คิดเลยว่าท่านจะทำเรื่องเช่นนี้! สัตว์เดรัจฉาน!”
หยางชูถูกชกถึงสองครั้งติดความโกรธเขาก็พุ่งสูงขึ้น หลังอายุสิบห้าปียังไม่เคยมีใครมาทำร้ายใบหน้าของเขาได้!
“ข้าทำอะไร ข้าไม่ได้ทำอะไร!” จี้หลิงคิดปล่อยหมัดอีกครั้ง แต่ครั้งนี้หยางชูยื่นมือออกมาได้ทัน เขาสกัดหมัดของอีกฝ่ายด้วยฝ่ามือ
“ท่านไม่ได้ทำอะไรงั้นหรือ” จี้หลิงโกรธมาก “แล้วทำไมท่านถึงได้ออกมาจากห้องของน้องข้า”
“เอ่อ…” หยางชูอึกอัก เขาเอียงศีรษะครุ่นคิดถึงรู้ว่าปัญหาอยู่ที่ไหน
สถานการณ์เมื่อกี้…เหมือนว่าจะดูแปลกไปนิดหน่อย ไม่ต้องรอให้พวกเขาจัดการปัญหาการเคลื่อนไหวเมื่อครู่ทำให้องครักษ์ตื่นตระหนก
อาสวนพาคนกลุ่มหนึ่งวิ่งขึ้นไปและตกใจเมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้า
“คุณชายขอรับ”
นี่มันสถานการณ์อะไรกันคุณชายกับลูกพี่ลูกน้องของแม่นางหมิงทะเลาะกันงั้นหรือ และดูเหมือนว่าจะเสียเปรียบด้วย อย่าล้อเล่นน่ะ ฝีมือของคุณชายจะมาแพ้ให้กับบัณฑิตอ่อนแอได้อย่างไรกัน
จากนั้นสาวใช้ผู้มีนามว่าเสี่ยวถงวิ่งเข้ามาหาแล้วกรีดร้อง “พี่อาหว่าน!”
หมิงเวยยกมือปิดหน้าตนเองนางทนมองต่อไปไม่ไหวแล้ว
“เอาล่ะ พวกท่านเลิกตีกันได้แล้วแยกออกจากกันซะ!”
นางเหลือบมองเจ้าหน้าที่ที่มารวมตัวกัน “พวกท่านอยากขายหน้าต่อไปหรือ”
“…..”
จี้หลิงคลายมือออกจากคอเสื้อของหยางชู เสื้อผ้าของทั้งสองยับยุ่งไม่เป็นระเบียบ ใบหน้าของหยางชูมีรอยฟกช้ำอยู่สองแห่ง อาหว่านกับตัวฝูถูกลากเข้าไปเกี่ยวด้วย ทั้งสองคนตื่นตระหนกมากผมเผ้ายุ่งเหยิงมือช้ำห้อเลือดราวกับหญิงปากร้ายตีกัน
“ไม่มีอะไรแล้ว” หมิงเวยเชิดคางขึ้น “พวกท่านลงไปเถอะ” เหล่าองครักษ์มองหยางชู หยางชูคลี่พัดบังใบหน้าของตนเองพลางโบกมือ
“ไปซะ!” ช่างหดหู่เสียจริง ชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ของเขามีไว้ให้คนมองเป็นเรื่องตลกเสียแล้ว…
“พวกท่านเข้ามาให้หมด!” หมิงเวยเดินเข้าไปด้านในได้สองก้าวเมื่อหันกลับไปเห็นว่าไม่มีใครขยับก็เลิกคิ้ว “ทำไม ยังถูกคนมองเป็นเรื่องตลกไม่พอหรือ”
“….” คนทะเลาะกันทั้งสี่มองหน้ากันและเข้าไปในห้องด้วยความโกรธ
“เสี่ยวถง ปิดประตู”
ทั้งเจ็ดคนอยู่ในห้องหมิงเวยชี้ไปทางสาวใช้ทั้งสองคน “พวกเจ้าสองคนไปหวีผมตรงนั้นก่อน” อาหว่านและตัวฝูมองทรงผมรังนกของกันและกันแล้วเดินไปหลังฉากกั้นห้องเงียบๆ
หมิงเวยมองอีกสองคนแล้วถอนหายใจนางรินถ้วยชาแล้วส่งไปให้ “พี่ใหญ่”
จี้หลิงหน้าตึงรับถ้วยชามาแต่กลับไม่ดื่ม เขานั่งลงกับเก้าอี้อย่างแรง “ฮึ!”
หยางชูเหล่มองเขา “ท่านจะฮึทำไม”
จี้หลิงพูดเสียงแข็ง “ท่านรู้ดีอยู่แก่ใจ!”
หยางชูแย้งเขา “ข้ารู้ดีแก่ใจอะไร ท่านพูดมาสิ!”
จี้หลิงขยับริมฝีปากของเขา เขาอยากพูดแต่รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่เหมาะที่จะพูดออกมาจึงบอกไปว่า “เมื่อคืนท่านมอมให้ข้าเมาทำไม”
หยางชูตะคอกกลับ “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าท่านคออ่อนขนาดนั้น เมื่อคืนท่านดื่มไปเท่าไร ข้าก็ดื่มไปเท่านั้นทำไมข้าไม่เมาแต่ท่านเมาล่ะ”
“ข้า…”
“พอแล้ว!” หมิงเวยได้ยินพวกเขาทะเลาะกันก็รู้สึกรำคาญนางมองหยางชู “ท่านคิดว่าพี่ใหญ่จะเป็นเหมือนท่านหรือ สระสุราป่าเนื้อ[1] ตลอดทั้งวันอย่างท่าน ความสามารถในการดื่มจะไม่ดีได้อย่างไร”
เมื่อได้ยินนางโทษตน แต่กลับไม่โทษจี้หลิง หยางชูก็ไม่พอใจ “พูดอะไรของท่าน ข้าจะสระสุราป่าเนื้อได้อย่างไร คำเหล่านี้หมายความว่าอย่างไร ท่านอย่าบอกว่าไม่รู้ สระสุราพอเข้าใจได้ แต่ป่าเนื้อหมายความว่าอย่างไรกัน”
……………………………………………
[1] สระสุราป่าเนื้อ : กินอย่างฟุ่มเฟือย เหลือกินเหลือใช้ ไม่รู้จักประมาณตน