คู่ชะตาบันดาลรัก – บทที่ 162 ใต้แสงจันทร์

บทที่ 162 ใต้แสงจันทร์

หนุ่มน้อยอายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดปี สวมชุดสีเขียวซึ่งดูเหมือนจะเป็นเครื่องแบบของสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่ง เพราะเขานั่งอยู่บนสันกำแพงจึงคาดคะเนส่วนสูงไม่ออก แต่พอแยกแยะรูปร่างผอมบางได้เลือนราง

แค่เห็นครั้งแรกหมิงเวยก็รู้ว่าคนผู้นี้คือพี่ห้าที่ไม่เคยโผล่หน้ามาให้เห็นแน่นอน ใบหน้าของพี่ห้าผู้นี้เหมือนผู้เป็นบิดามาก มีหน้าตาชวนน่ามองและดูสุภาพเรียบร้อย หมิงเวยไม่ได้เป็นคนละเอียดอ่อนเรื่องรูปลักษณ์หน้าตาเพียงแค่มองผ่านไปเท่านั้น

“พระจันทร์ลอยเด่นเหนือทะเล ที่อยู่บนเส้นขอบฟ้าเดียวกัน คนรักยังทะเลาะกันตลอดคืน สิ้นสุดคืนก็กลับมารักกัน…” เขาเอียงศีรษะหยุดชะงักไปครู่หนึ่งแล้วท่องกวีต่อ “ได้ยินว่าเหนือทะเลมีเขาเซียนชาน แต่สำหรับข้าช่างยากจะไขว่คว้า มีแต่ความว่างเปล่าที่คลุมเครือ…”

ทันใดนั้นหน้าต่างของเรือนข้างเคียงจู่ๆ ก็เปิดออกพร้อมกับเสียงดัง ‘ป๊อก’ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายขว้างอะไรมาโดนหลังพี่ห้าผู้นั้่นกัน

จากนั้นก็มีเสียงตะโกนด่าขึ้นมาว่า “จี้เสียวอู่ ดึกป่านนี้แล้วทำบ้าอะไร รบกวนเวลานอนคนอื่นเขา!”

หนุ่มน้อยที่นั่งบนกำแพงหันหน้าตะโกนบอกเพื่อนบ้าน “ท่านป้าชี คืนนี้เป็นคืนที่ดีท่านจะนอนไปทำไมกัน มาๆๆ มาชมพระจันทร์ด้วยกันเถอะ!”

คำพูดนี้หากเปลี่ยนจากหนุ่มน้อยเป็นชายหนุ่มที่โตกว่านี้อีกหน่อยจะกลายเป็นล่วงเกินไปเลย โชคดีที่เขาเกิดมาในครอบครัวที่ดี หากลดการพูดจากำเริบเสิบสานนั้นลงหน่อย ความเยาว์ที่ไร้พันธนาการของหนุ่มน้อยคงไม่สับปรับเช่นนี้

ท่านป้าชีถูกเขาหยอกล้อจึงรีบตอบกลับ “ข้าอยากชมดวงจันทร์จำเป็นต้องชมกับเจ้าด้วยหรือ หากยังไม่กลับไปนอนอีกระวังจะโดนบิดากับพี่ชายเจ้าตีแล้วกัน!”

พูดจบนางก็ปิดหน้าต่างอย่างแรง

“โอ้!” เด็กหนุ่มถอนหายใจแล้วท่องกวีต่อ “วันเวลาที่ดีเช่นนี้ ค่ำคืนเช่นนี้ รอ…”

ยังไม่ทันได้พูดประโยคหลังจนจบเขาก็เห็นหญิงสาวยืนอยู่ท่ามกลางดอกไม้ในลานบ้านและเขาก็โพล่งออกมาว่า “มีคนอยู่ท่ามกลางสายลมในยามค่ำคืนจริงหรือ”

คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงและลานบ้านสว่างไสวราวกับสายน้ำ เขาเห็นได้อย่างชัดเจนว่าหญิงสาวนั้นท่าทางนุ่มนวล ใบหน้างดงามเสียจนไม่เหมือนมนุษย์จริงๆ นางสวมเสื้อผ้าเรียบๆ บางๆ ภายใต้สายลมยามค่ำคืนที่พัดไหวราวกับว่าอีกครู่นางจะโบยบินลับหายไป

“อา เทพธิดา” เขาเกาหัวด้วยความสับสน “หรือว่าเทพธิดาจะเห็นถึงความจริงใจของข้าจึงมาเพื่อชี้แนะข้าเป็นพิเศษใช่หรือไม่”

พูดแล้วเขาก็ก้มหน้าลงถามหมิงเวย “ท่านเทพธิดามีนามว่าอะไรหรือ ท่านมาเพื่อสอนเคล็ดวิชาให้ข้าใช่หรือไม่”

หมิงเวยไม่คาดคิดว่าจะได้พบกับ ‘คู่หมั้น’ ของตนเองในสถานการณ์เช่นนี้

เมื่อนางเห็นพี่ห้าตรงหน้าแล้วก็ชวนให้นึกถึงศิษย์น้องของตน พวกเขาสองคนไม่เหมือนกันเลย จี้เสียวอู่ผู้นี้ดูเป็นหนุ่มน้อยบ้าระห่ำ แต่ศิษย์น้องของตนเป็นคนที่ซื่อสัตย์

แต่ครั้งแรกที่ศิษย์น้องพบพวกเขา เขาดึงแขนเสื้อของท่านอาจารย์แล้วถามว่า “ท่านเป็นเทพหรือ สอนเคล็ดวิชาให้ข้าได้หรือไม่”

หมิงเวยที่นึกถึงเรื่องเก่าๆ คลายคิ้วขมวดลงเห็นจี้เสียวอู่มองมาด้วยความมึนงงก็อารมณ์ดีจึงตอบไปว่า “วิชาไม่สามารถถ่ายทอดได้ แต่ถ้าท่านอยากเรียนจริงๆ ต้องผ่านบททดสอบเสียก่อน”

จี้เสียวอู่กระตือรือร้นขึ้นมาทันที “บททดสอบอะไรหรือ ท่านพูดมาได้เลย” น้ำเสียงเขาดูมั่นใจมาก

หมิงเวยยิ้ม “เรื่องนี้ค่อยพูดทีหลังข้าขอถามท่านก่อนว่า โหราศาสตร์ดวงดาว ลิ่วเหยาพยากรณ์ ภูตผีปีศาจ ทำนายโชคดีโชคร้าย ท่านเข้าใจเรื่องพวกนี้หรือไม่”

จี้เสียวอู่โบกมือ “เรื่องพวกนี้ข้าเรียนมาหมดแล้วไม่เห็นน่าสนใจเลย”

“แล้วท่านอยากเรียนอะไร”

“เคล็ดวิชาไง!” ดวงตาของเขาเป็นประกาย

“อย่างเช่นอะไรบ้าง”

“อย่างเช่นเปลี่ยนหญ้าเป็นกองกำลัง หนึ่งวันเดินทางได้พันลี้” สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นวิชาแปลกที่เขียนอยู่ในนวนิยายลึกลับ

หมิงเวยตอบ “เดินทางหลายพันลี้ในหนึ่งวันดูเกินจริงไปหน่อย แต่ถ้าเป็นเปลี่ยนหญ้าเป็นกองกำลังสามารถทำได้”

“จริงหรือ” จี้เสียวอู่พูดเร่ง “ท่านทำให้ข้าดูหน่อยสิ”

หมิงเวยเงยหน้ามองเขาแล้วเด็ดกิ่งกับใบไม้จากกระถางดอกไม้ มัดรวมเข้าด้วยกันให้เป็นรูปร่างคน จากนั้นก็วาดยันต์ด้วยพลังแล้วโยนมันลงไปบนลานบ้าน

จี้เสียวอู่กะพริบตา “กองกำลังล่ะ”

“ท่านดูดีๆ สิ” เมื่อนางพูดจบก็เห็นว่ากิ่งไม้ทั้งสองข้างกระตุกสองสามครั้งราวกับว่าพวกมันกำลังบิดขา

“อา!” จี้เสียวอู่เบิกตากว้างเขามองดูกิ่งใบที่ยืนขึ้นเอียงเอนราวกับคนเมาเดินไปมาในลานบ้าน

“เปลี่ยนหญ้าเป็นกองกำลังได้จริงๆ ด้วย!” เขาตื่นเต้น “ท่านเทพธิดาสอนข้าด้วยเถิด!” หมิงเวยยิ้มแต่ไม่พูดอะไร

แล้วจี้เสียวอู่ก็นึกขึ้นได้ว่า “อ้อ ท่านต้องทดสอบก่อนใช่หรือไม่ บอกมาเลยว่าข้าต้องทำอย่างไร ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟข้าก็จะทำ!”

หมิงเวยพยักหน้าแล้วมองไปรอบๆ จากนั้นหยิบเชือกป่านที่หล่นอยู่ใต้กระถางดอกไม้ขึ้นมา เห็นนางเขย่ามือแล้วเชือกก็ลอยขึ้นไปบนอากาศห้อยอยู่ตรงหน้าเขา

จี้เสียวอู่ยื่นมือออกไปเพื่อดึง แต่พบว่ามันไม่สามารถขยับได้

เขาเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสับสนแล้วมองไปที่ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ว่างเปล่า “มันผูกอยู่ที่ใดกัน”

หมิงเวยตอบ “ข้าแค่ต้องการให้ท่านดูว่านี่เรียกว่าเคล็ดวิชาหรือไม่”

จี้เสียวอู่ครุ่นคิดแล้วพยักหน้า “สมเหตุสมผล บททดสอบของข้าคืออะไรหรือ”

หมิงเวยชี้ไปที่เชือกป่าน “ท่านปีนขึ้นไปบนเชือกและดูว่าบนนั้นมีอะไร หากท่านกลับลงมาได้อย่างราบรื่นถือว่าผ่านการทดสอบ”

“ปีนขึ้นไปได้หรือ” จี้เสียวอู่รู้สึกสนใจมากขึ้น “ขึ้นไปถึงสวรรค์ได้หรือไม่ ฮ่าๆๆ สามารถมองเห็นอวี้ตี้หวางหมู่[1]บนสวรรค์ได้ด้วยอย่างนั้นหรือ อย่างไรก็จะถือโอกาสขโมยเซียนตัน[2]จากเทพได้แล้วนำกลับมาให้ท่านเทพธิดาด้วยแล้วกัน”

หมิงเวยยิ้ม “ท่านขึ้นไปดูก็รู้แล้ว”

“ได้ๆๆ ข้าจะขึ้นไป!” เขาดึงเชือกลงตรวจสอบให้แน่ใจว่ามั่นคงดี จากนั้นก็ถอดเสื้อคลุมตัวใหญ่ออกแล้วคว้าเชือกปีนขึ้นไป

เชือกเส้นนี้ยาวดีจริง! ไม่รู้ว่าจะยาวไปถึงไหนเขาปีนขึ้นไปสักพักแล้วมองลงไปข้างล่างเห็นเรือนของตนเองมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ และแล้วเขาก็เข้าไปอยู่ในก้อนเมฆในไม่ช้า

“ที่แท้ความรู้สึกของการขึ้นสวรรค์เป็นอย่างนี้นี่เอง ฮ่าๆๆ น่าสนใจจริงๆ” จี้เสียวอู่ยังคงปีนขึ้นไป แต่เขาปีนขึ้นไปนานแล้วผ่านก้อนเมฆชั้นแล้วชั้นเล่า แต่ก็ยังไม่ถึงจุดสูงสุด

“นานขนาดนี้แล้วทำไมยังปีนขึ้นไปไม่ถึงอีกล่ะ! หากฟ้าสางแล้วท่านพ่อท่านแม่พบเข้าจะทำอย่างไรปีนมาตั้งนานแต่ต้องปีนถึงแค่ตรงนี้…”

เขาครุ่นคิดแล้วก็ตัดสินใจปีนต่อไปได้พบเจอประสบการณ์ลึกลับเช่นนี้เขาจะยอมแพ้ได้อย่างไรไม่แน่ว่าหากเขาปีนขึ้นถึงสวรรค์จริงๆ ถึงเวลานั้น…

จี้เสียวอู่ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกได้ใจเขารู้สึกถึงความเหนื่อยล้าของมือเท้าแต่เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้วเขาก็กลับมีแรงขึ้นมาอีกครั้ง หมิงเวยเห็นเขาเป็นเช่นนั้นก็หัวเราะแล้วเดินกลับห้องไป

ในตอนที่จี้เสียวอู่ปีนขึ้นไปบนสันกำแพงจี้หลิงก็ถูกภรรยาปลุกให้ตื่น “เสียวอู่กลับมาแล้ว!”

หลายวันมานี้จี้หลิงรีบร้อนเดินทางเพื่อไปถึงที่หมายไม่มีหยุดพัก เขาจึงรู้สึกง่วงมากทำได้เพียงตอบรับไปแล้วพูดเสียงอู้อี้ “เขากลับมาแล้วก็ช่างไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก” จากนั้นก็พลิกตัวนอนต่อ

ภรรยาของเขาตบเขาอีกครั้ง “หากเขาทำตัวบ้าเองก็ไม่เป็นไร แต่ตอนนี้น้องหญิงอยู่ในเรือน เขาจะไม่รบกวนคนอื่นในตอนกลางดึกหรือ” จี้หลิงยังอยู่ในความงุนงงไม่ตอบรับ

ภรรยาของเขาไม่มีทางเลือก แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีการเคลื่อนไหวจากภายนอก คิดว่าเสียวอู่คงจะไม่ทำตัวบ้าๆ อีกนะ

ผู้ใดจะรู้ว่าจี้หลิงที่งุนงงอยู่พักหนึ่งก็ตื่นขึ้นมา “จริงด้วยน้องหญิงอยู่ที่นี่! ไม่รู้ว่าเสียวอู่จะก่อปัญหาใหญ่อะไรหรือเปล่า” พูดแล้วก็เอามือลูบหน้า เขาลุกขึ้นใส่เสื้อผ้าสวมรองเท้า ตัวภรรยาของเขาเองก็ลุกขึ้นจุดตะเกียง

สองสามีภรรยาถือตะเกียงออกมาเดินไปรอบๆ ตำแหน่งที่เสียวอู่มักปีนกำแพงแต่ก็ไม่พบ

“เขากลับไปนอนแล้วหรือเปล่า” จี้หลิงหาว “พวกเรากลับกันเถอะ”

จู่ๆ ภรรยาก็ดึงแขนเสื้อเขา “ท่านพี่ดูนั่น!”

จี้หลิงมองไปยังทิศทางที่นางชี้ก็เห็นเชือกที่แขวนอยู่บนกระถางดอกไม้สูงซึ่งมีใครบางคนคว้าเชือกปีนขึ้นไปอยู่แค่ปีนยังพอว่า แต่เขายังปีนป่ายอยู่กับที่มือเท้าขยับขึ้นลงไปมาราวกับหนูที่วิ่งอยู่ในลูกกลิ้ง ไม่ว่าจะวิ่งอย่างไรก็ยังอยู่ที่เดิม

“เสียวอู่!” เสียงตะโกนทำลายความเงียบสงบของค่ำคืนนี้

…………………

[1] อวี้ตี้หวางหมู่ หมายถึง เง็กเซียนฮ่องเต้ กับ หวางหมู่เหนียงเหนียง เทพและเทพธิดาสูงสุดตามลัทธิเต๋า

[2] เซียนตัน : ยาวิเศษที่สามารถชุบชีวิตคนให้ฟื้นจากตายได้

คู่ชะตาบันดาลรัก

คู่ชะตาบันดาลรัก

Status: Ongoing

เหตุชะตาถึงฆาตทำให้วิญญาณของ ‘หมิงเวย’ หญิงสาวผู้มีวรยุทธ์เก่งกล้า ย้อนเวลามาอยู่ในร่างของคุณหนูเจ็ดแห่งตระกูลหมิงผู้อ่อนแอ

แต่เรื่องราวกลับไม่ง่ายเมื่อทันทีที่ลืมตา นางกลับพบว่าในสวนอวี๋ฟางที่นางและฮูหยินสามผู้เป็นมารดาอาศัยอยู่นั้นมีสิ่งอัปมงคล!

สองแม่ลูกเชื่อว่าสิ่งนี้อาจเกี่ยวพันกับไสยศาสตร์มืด จึงได้ลงมือสืบความจริงของเรื่องนี้อย่างลับๆ

และยิ่งตามสืบปริศนามากมายที่เกิดขึ้นในจวนและตระกูลหมิงแห่งนี้… กลับยิ่งเจอความลับอันดำมืดที่ซุกซ่อนอยู่

แต่ท่ามกลางความมืดมิดและสิ่งชั่วร้าย โชคชะตากลับลิขิตให้หญิงสาวได้ไขประตูสู่ความจริง… รวมถึงนำไปสู่ความรัก!

นับตั้งแต่ที่ ‘หยางชู’ เหลนของฮ่องเต้จอมเสเพลแฝงกายมายังเมืองที่นางอาศัยอยู่เพื่อภารกิจบางอย่าง

นางและเขาจึงได้ตกลงร่วมกันทำภารกิจไขปริศนา แต่หารู้ไม่ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นอาจเป็นไปเพราะโชคชะตารักบันดาลอยู่เบื้องหลัง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท