เมื่อสามร้อยปีก่อนใต้หล้าตกอยู่ในความวุ่นวาย วีรบุรุษได้ปรากฏตัวขึ้น ไท่จู่จากราชวงศ์ก่อนมีปณิธานที่ยิ่งใหญ่ ยกทัพมารวมดินแดนเข้าด้วยกันทั้งสี่ทิศ เมื่อใต้หล้าได้รวมกันเป็นหนึ่งการละทิ้งแผ่นดินเดิมจึงไม่จำเป็น เพียงแต่เลือกสถานที่ที่อุดมสมบูรณ์และมั่งคั่งเพื่อก่อตั้งเมืองหลวงใหม่นามว่าหยุนจิง
ต่อมาเมื่อแผ่นดินไร้ความสงบสุขอีกครั้งตระกูลเจียงได้เข้ามาแทนที่ หยุนจิงจึงได้กลายเป็นเมืองหลวงของแคว้นฉีเหนือเวลาผ่านมาสามร้อยปีหยุนจิงกลายเป็นเมืองหลวงอันดับหนึ่งในใต้หล้าสมคำร่ำลือจริงๆ
เมื่อตอนหมิงเวยยังเด็กนางอาศัยอยู่ในหยุนจิงกับท่านอาจารย์เป็นระยะเวลาหนึ่ง นางเคยถามท่านอาจารย์ว่าแคว้นฉีกับแคว้นฉู่อยู่เคียงข้างกัน เหตุใดถึงเลือกแคว้นฉีละทิ้งแคว้นฉู่ด้วยเพราะท่านอาจารย์เป็นชาวแคว้นฉีงั้นหรือ
ท่านอาจารย์บอกว่าเรื่องนี้มีหลายเหตุผล แต่เหตุผลที่ชัดเจนที่สุดคือเมืองหลวงของแคว้นฉีเหนืออยู่ที่หยุนจิง ที่ตั้งของเมืองหลวงเกี่ยวข้องกับวิสัยทัศน์ของราชวงศ์
หยุนจิงเป็นปราการเข้มแข็งอันดับหนึ่งทางตอนเหนือฝั่งตะวันตกติดกับเมืองเหอหวง ทางใต้พื้นที่กว้างขวางอุดมสมบูรณ์ ทิศตะวันออกมีแม่น้ำสายยาว เป็นเมืองหลวงที่สามารถมองเห็นใต้หล้าได้มีเพียงเมืองหลวงเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถปลูกฝังจิตใจบารมีไว้ทุกหนทุกแห่งได้
ในตอนนั้นหมิงเวยไม่ได้สนใจเท่าไรนัก นางแค่รู้ว่าหยุนจิงเป็นเมืองที่ดีเมืองหนึ่งมีของอร่อยและสิ่งน่าสนุกมากมาย! แต่ตอนนี้เมื่อนางมองไปยังเมืองหลวงอันยิ่งใหญ่จากระยะไกลนางก็ตระหนักถึงสิ่งที่ท่านอาจารย์พูด
แผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาล นครหลวงอุดมสมบูรณ์
มิเห็นพระราชวัง จะรู้จักโอรสสวรรค์ได้เยี่ยงไร
บนถนนกว้างขวางคึกคัก คนเดินขวักไขว่จนไหล่แทบชนกันตลอดทาง รถม้าบรรทุกสินค้าจำนวนนับไม่ถ้วนเรียงรายเพื่อเข้าสู่ประตูเมืองเมื่อมองจากระยะไกล ยาวคดเคี้ยวมากกว่าสิบลี้
“คนเยอะมากเลยเจ้าค่ะ!” ตัวฝูที่ไม่เคยเห็นคนจำนวนมากขนาดนี้ร้องอุทานออกมา
จี้หลิงที่นั่งอยู่หน้ารถยิ้ม “ที่นี่คือเมืองหลวง คนเยอะไม่ใช่เรื่องแปลกเลย”
ตัวฝูยืดคอมองขบวนที่ดูยาวออกไปไม่สิ้นสุดก็รู้สึกกังวล “คนเยอะมากมายเพียงนี้แล้วเมื่อไรพวกเราจะได้เข้าเมืองหลวงกันล่ะเจ้าคะ”
“ไม่ต้องใจร้อนไปหรอก” จี้หลิงตอบ “ใต้เท้าเจี่ยงต้องพานักโทษเข้าเมืองหลวงจึงไม่จำเป็นต้องผ่านประตูเมืองเหมือนพวกเขารอพวกเขาเจรจากันเสร็จเมื่อไรพวกเราก็เข้าเมืองหลวงได้แล้ว” เป็นดังที่คาดไว้ผ่านไปไม่นานขบวนรถก็เคลื่อนไหว
พวกเขาเคลื่อนที่ผ่านประชาชนที่ลากเข็นเกวียนเหล่านี้เข้าหยุนจิงทางประตูอื่น หมิงเวยมองทิวทัศน์ริมถนนผ่านหน้าต่างรถ เมื่อเทียบกับหยุนจิงที่หรูหราแต่ไร้ชีวิตชีวาที่นางเคยเห็น หยุนจิงในตอนนี้งดงามน้อยกว่า แต่แข็งแกร่งยิ่งกว่า
แบบนี้สิสมกับที่เป็นเมืองหลวง
ขบวนรถเดินทางเข้าเมืองอย่างเงียบๆ อาสวนเดินเข้ามาหา “คุณชายจี้ พวกเราจะพานักโทษเหล่านี้ไปที่ศาลต้าหลี่ท่าน…”
จี้หลิงถาม “พวกเราสามารถไปก่อนได้หรือไม่”
“ได้แน่นอนขอรับ ทางด้านใต้เท้าเจี่ยงได้กล่าวทักทายเรียบร้อยแล้ว พวกท่านทิ้งที่อยู่ไว้แล้วไปได้เลยขอรับ แต่ช่วงนี้แม่นางหมิงโปรดอย่าเพิ่งออกไปไหน ท่านอาจถูกเรียกตัวได้ตลอดเวลาขอรับ”
จี้หลิงหันกลับมาถาม “น้องหญิงว่าอย่างไร”
หมิงเวยตอบ “ตามที่พี่ใหญ่เห็นสมควรเจ้าค่ะ”
แล้วหันไปพูดกับอาสวน “ตอนนี้ไม่สะดวกที่จะกล่าวคำอำลา ท่านบอกพวกเขาแทนข้าที หวังว่าครั้งหน้าคงได้เจอกัน พบกันในโอกาสหน้า”
อาสวนพยักหน้า “ขอรับ แม่นางหมิงเดินทางปลอดภัยนะขอรับ”
รถม้าที่พวกเขานั่งอยู่ถอนตัวออกจากขบวนแล้วเลี้ยวไปยังถนนอีกสาย เดินไปตามถนนใหญ่แล้วเลี้ยวเข้าซอยเล็กเวลาผ่านไปสองเค่อ จี้หลิงก็พูดขึ้นมาว่า
“หยุดรถตรงนี้ก็พอ ซอยเล็กเกินกว่าจะเข้าไปได้แล้ว”
คนขับรถม้าหยุดรถจี้หลิงหันกลับมาเปิดประตูแล้วพูดด้วยความละอายใจเล็กน้อย “น้องหญิง รบกวนน้องต้องลงเดินเสียแล้วในเรือนไม่ค่อยสะดวกสบาย ที่พักอาจแคบไปเสียหน่อย”
หมิงเวยลงจากรถ “พี่ใหญ่พูดอะไรน่ะเจ้าคะ ต่อให้เรือนกว้างขวางมากมาย แต่เตียงก็ไม่เกินสามฉื่อ แน่นอน”
นางเงยหน้าขึ้นมองตรอกแคบๆ ตรงหน้า บ้านเรือนค่อนข้างเก่าแต่ถนนตรอกยังคงเป็นระเบียบเรียบร้อย ตรอกซอยนี้ยาวมากดูเหมือนว่าจะมีครอบครัวอาศัยอยู่ไม่น้อย มีหญิงสาวที่ดูมีประสบการณ์เดินเข้าๆ ออกๆ และมีเด็กหลายคนวิ่งไปมา
ดูจากสภาพแวดล้อมแล้วมีเพียงครอบครัวเล็กๆ เท่านั้นที่อาศัยอยู่ที่นี่ ท่านแม่เคยบอกว่าไม่ง่ายเลยที่ท่านลุงจะอาศัยอยู่ในเมืองหลวงดูท่าจะเป็นเรื่องจริง
จี้หลิงบอกคนขับรถม้าว่า “มีร้านขายรถม้าอยู่ริมถนน เจ้านำรถม้าไปส่งที่นั่นแล้วกลับบ้านไปได้เลย”
คนขับรถม้ารับคำและช่วยขนสัมภาระลง จี้หลิงแบกโถขี้เถ้าไว้บนหลังและเดินนำหมิงเวยกับตัวฝูเข้าไปในตรอก หญิงสาวคนหนึ่งเห็นเขาจึงตะโกนขึ้น “นั่นจี้เกอใช่หรือไม่ กลับมาแล้วหรือ”
จี้หลิงพยักหน้าและตอบกลับไป “ขอรับ ท่านป้าเหมียว”
เมื่อได้ยินเสียงพูดคุยหญิงสาวที่อยู่ใกล้ๆ ก็มองมาทางนี้แล้วยังมีเด็กวิ่งเข้ามาหาเพื่อขอขนม “ลุงจี้ ตอนที่ท่านไปท่านบอกว่าจะนำขนมมาให้พวกเรา”
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าเคร่งขรึมของจี้หลิงเขาพูดว่า “การเดินทางครั้งนี้รีบนักเลยไม่มีเวลา แต่ขากลับข้าซื้อขนมมาให้แล้วเดี๋ยวจะให้เสียวอู่นำมาแจกให้พวกเจ้า ดีหรือไม่”
ความสนใจของเหล่าหญิงสาวอยู่ที่หมิงเวยและตัวฝู นายบ่าวคู่นี้แปลกจริงๆ คุณหนูเกิดมาได้งดงามขนาดนี้แต่ทำไมถึงมีสาวใช้ได้อัปลักษณ์เช่นนี้เล่า
พวกนางต่างคนต่างพูดว่า “จี้เกอ ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าจะไปหาลูกพี่ลูกน้องหญิง หรือว่าแม่นางผู้นี้เป็นลูกพี่ลูกน้องของเจ้างั้นหรือ”
“ไม่ได้บอกว่าจะไปดูนางหรอกหรือ เหตุใดถึงรับนางกลับมาด้วยล่ะ หรือว่าจะจัดพิธีแต่งงานกับเสียวอู่แล้ว”
“นางเกิดมางดงามจริงๆ เสียวอู่วาสนาดีมาก!”
จี้หลิงเดินไปพลางตอบกลับไปว่า “ใช่ขอรับ นางเป็นลูกพี่ลูกน้องของข้าเอง”
“ท่านอาเสียแล้ว น้องหญิงไม่มีผู้ใดดูแลเลยรับกลับมาด้วยขอรับ”
“เรื่องของเสียวอู่ค่อยว่ากันทีหลังขอรับ”
หมิงเวยยืนอยู่ด้านหลังจี้หลิง หากใครมองมาทางนี้นางก็ส่งรอยยิ้มกว้างไปให้ ซึ่งก็ได้รับความโปรดปรานจากหญิงสาวเหล่านี้ในไม่ช้า
ก่อนหน้านี้ได้ยินจากตระกูลจี้ว่าลูกพี่ลูกน้องหญิงของเขาเป็นคุณหนูจากตระกูลชั้นสูงไม่คิดเลยว่านางจะไม่ถือตัวเช่นนี้
ทั้งสามมาถึงประตูเรือนตระกูลจี้อย่างรวดเร็ว จี้หลิงให้เด็กรับใช้กลับมาก่อนหน้านี้ ตอนนี้ตระกูลจี้ได้รับข่าวแล้วเมื่อพวกเขามาถึงประตูก็เปิดออกพอดี
“ท่านพ่อ!” มีเสียงเล็กๆ ดังขึ้นตามด้วยร่างเล็กๆ ราวกับตุ๊กตาอายุไม่เกินสองสามขวบวิ่งออกมา
จี้หลิงก้าวไปข้างหน้าและอุ้มเด็กน้อยขึ้นมาด้วยมือข้างหนึ่ง ใบหน้าเคร่งขรึมเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “จูเอ๋อร์อยู่ที่นี่เป็นเด็กดีหรือไม่ คิดถึงพ่อหรือเปล่า”
“คิดถึง!” เด็กน้อยกอดเขา “จูเอ๋อร์คิดถึงท่านพ่อ ร้องไห้ทุกวันเลย!”
“จริงหรือ ไหนให้พ่อดูหน่อยตาบวมจากการร้องไห้หรือเปล่า”
ในขณะที่สองพ่อลูกหวานใส่กันก็มีอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น “พี่ใหญ่พอได้แล้ว! น้องหญิงอยู่ที่นี่ด้วยนะ รีบพานางเข้ามาเถิด!”
หมิงเวยได้ยินเสียงใสกังวาน เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นสตรีอายุประมาณยี่สิบปี ใบหน้ากลมคิ้วสวย ร่างเล็ก มีดวงตากลมสดใส
เมื่อเห็นนางมองมาทางนี้อีกฝ่ายจึงยิ้มให้ “นี่คงเป็นลูกพี่ลูกน้องจากตระกูลหมิงสินะ เดินทางมาที่นี่คงลำบากมากรีบเข้ามาก่อนเถิด”
จี้หลิงเพิ่งนึกขึ้นได้จึงอุ้มบุตรสาวไปไว้ด้านข้างแล้วยิ้ม “น้องหญิง นี่พี่สะใภ้ใหญ่ของน้อง”
หมิงเวยได้ยินจากแม่นมถงว่าพี่ใหญ่แต่งงานกับน้องสาวของเพื่อนร่วมชั้นเรียน ครอบครัวฝ่ายหญิงแซ่ต่ง นางย่อกายคารวะอีกฝ่าย “คารวะพี่สะใภ้ใหญ่”
“ไม่ต้องมากพิธีหรอก” นางประคองหมิงเวยให้ลุกขึ้น “มานั่งตรงนี้ก่อนเถิด”
หมิงเวยตอบรับด้วยรอยยิ้ม
เรือนตระกูลจี้ไม่ใหญ่มากนักมีเพียงสองเรือน ในเรือนนี้นอกจากนายท่านจี้ จี้หลิงและภรรยาของเขาแล้ว ยังมีคุณชายห้าอีกคนหนึ่ง บ่าวรับใช้มีน้อยมาก นอกจากเด็กรับใช้ของจี้หลิงแล้วหมิงเวยเห็นแค่เพียงคู่สามีภรรยาวัยกลางคนและสาวใช้หนึ่งคนเท่านั้น เรือนนี้เล็กมากจึงรับคนได้ไม่เยอะ
จี้หลิงถามขณะเดินเข้ามา “ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ”
พี่สะใภ้ตอบกลับ “ท่านพ่อยังไม่กลับจากโรงเรียนเจ้าค่ะ ส่วนท่านแม่พอได้ยินว่าพวกท่านจะมาถึงวันนี้จึงพาแม่นมออกไปซื้ออาหาร”
…………………