คู่ชะตาบันดาลรัก – บทที่ 160 หยุนจิง

บทที่ 160 หยุนจิง

เมื่อสามร้อยปีก่อนใต้หล้าตกอยู่ในความวุ่นวาย วีรบุรุษได้ปรากฏตัวขึ้น ไท่จู่จากราชวงศ์ก่อนมีปณิธานที่ยิ่งใหญ่ ยกทัพมารวมดินแดนเข้าด้วยกันทั้งสี่ทิศ เมื่อใต้หล้าได้รวมกันเป็นหนึ่งการละทิ้งแผ่นดินเดิมจึงไม่จำเป็น เพียงแต่เลือกสถานที่ที่อุดมสมบูรณ์และมั่งคั่งเพื่อก่อตั้งเมืองหลวงใหม่นามว่าหยุนจิง

ต่อมาเมื่อแผ่นดินไร้ความสงบสุขอีกครั้งตระกูลเจียงได้เข้ามาแทนที่ หยุนจิงจึงได้กลายเป็นเมืองหลวงของแคว้นฉีเหนือเวลาผ่านมาสามร้อยปีหยุนจิงกลายเป็นเมืองหลวงอันดับหนึ่งในใต้หล้าสมคำร่ำลือจริงๆ

เมื่อตอนหมิงเวยยังเด็กนางอาศัยอยู่ในหยุนจิงกับท่านอาจารย์เป็นระยะเวลาหนึ่ง นางเคยถามท่านอาจารย์ว่าแคว้นฉีกับแคว้นฉู่อยู่เคียงข้างกัน เหตุใดถึงเลือกแคว้นฉีละทิ้งแคว้นฉู่ด้วยเพราะท่านอาจารย์เป็นชาวแคว้นฉีงั้นหรือ

ท่านอาจารย์บอกว่าเรื่องนี้มีหลายเหตุผล แต่เหตุผลที่ชัดเจนที่สุดคือเมืองหลวงของแคว้นฉีเหนืออยู่ที่หยุนจิง ที่ตั้งของเมืองหลวงเกี่ยวข้องกับวิสัยทัศน์ของราชวงศ์

หยุนจิงเป็นปราการเข้มแข็งอันดับหนึ่งทางตอนเหนือฝั่งตะวันตกติดกับเมืองเหอหวง ทางใต้พื้นที่กว้างขวางอุดมสมบูรณ์ ทิศตะวันออกมีแม่น้ำสายยาว เป็นเมืองหลวงที่สามารถมองเห็นใต้หล้าได้มีเพียงเมืองหลวงเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถปลูกฝังจิตใจบารมีไว้ทุกหนทุกแห่งได้

ในตอนนั้นหมิงเวยไม่ได้สนใจเท่าไรนัก นางแค่รู้ว่าหยุนจิงเป็นเมืองที่ดีเมืองหนึ่งมีของอร่อยและสิ่งน่าสนุกมากมาย! แต่ตอนนี้เมื่อนางมองไปยังเมืองหลวงอันยิ่งใหญ่จากระยะไกลนางก็ตระหนักถึงสิ่งที่ท่านอาจารย์พูด

แผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาล นครหลวงอุดมสมบูรณ์

มิเห็นพระราชวัง จะรู้จักโอรสสวรรค์ได้เยี่ยงไร

บนถนนกว้างขวางคึกคัก คนเดินขวักไขว่จนไหล่แทบชนกันตลอดทาง รถม้าบรรทุกสินค้าจำนวนนับไม่ถ้วนเรียงรายเพื่อเข้าสู่ประตูเมืองเมื่อมองจากระยะไกล ยาวคดเคี้ยวมากกว่าสิบลี้

“คนเยอะมากเลยเจ้าค่ะ!” ตัวฝูที่ไม่เคยเห็นคนจำนวนมากขนาดนี้ร้องอุทานออกมา

จี้หลิงที่นั่งอยู่หน้ารถยิ้ม “ที่นี่คือเมืองหลวง คนเยอะไม่ใช่เรื่องแปลกเลย”

ตัวฝูยืดคอมองขบวนที่ดูยาวออกไปไม่สิ้นสุดก็รู้สึกกังวล “คนเยอะมากมายเพียงนี้แล้วเมื่อไรพวกเราจะได้เข้าเมืองหลวงกันล่ะเจ้าคะ”

“ไม่ต้องใจร้อนไปหรอก” จี้หลิงตอบ “ใต้เท้าเจี่ยงต้องพานักโทษเข้าเมืองหลวงจึงไม่จำเป็นต้องผ่านประตูเมืองเหมือนพวกเขารอพวกเขาเจรจากันเสร็จเมื่อไรพวกเราก็เข้าเมืองหลวงได้แล้ว” เป็นดังที่คาดไว้ผ่านไปไม่นานขบวนรถก็เคลื่อนไหว

พวกเขาเคลื่อนที่ผ่านประชาชนที่ลากเข็นเกวียนเหล่านี้เข้าหยุนจิงทางประตูอื่น หมิงเวยมองทิวทัศน์ริมถนนผ่านหน้าต่างรถ เมื่อเทียบกับหยุนจิงที่หรูหราแต่ไร้ชีวิตชีวาที่นางเคยเห็น หยุนจิงในตอนนี้งดงามน้อยกว่า แต่แข็งแกร่งยิ่งกว่า

แบบนี้สิสมกับที่เป็นเมืองหลวง

ขบวนรถเดินทางเข้าเมืองอย่างเงียบๆ อาสวนเดินเข้ามาหา “คุณชายจี้ พวกเราจะพานักโทษเหล่านี้ไปที่ศาลต้าหลี่ท่าน…”

จี้หลิงถาม “พวกเราสามารถไปก่อนได้หรือไม่”

“ได้แน่นอนขอรับ ทางด้านใต้เท้าเจี่ยงได้กล่าวทักทายเรียบร้อยแล้ว พวกท่านทิ้งที่อยู่ไว้แล้วไปได้เลยขอรับ แต่ช่วงนี้แม่นางหมิงโปรดอย่าเพิ่งออกไปไหน ท่านอาจถูกเรียกตัวได้ตลอดเวลาขอรับ”

จี้หลิงหันกลับมาถาม “น้องหญิงว่าอย่างไร”

หมิงเวยตอบ “ตามที่พี่ใหญ่เห็นสมควรเจ้าค่ะ”

แล้วหันไปพูดกับอาสวน “ตอนนี้ไม่สะดวกที่จะกล่าวคำอำลา ท่านบอกพวกเขาแทนข้าที หวังว่าครั้งหน้าคงได้เจอกัน พบกันในโอกาสหน้า”

อาสวนพยักหน้า “ขอรับ แม่นางหมิงเดินทางปลอดภัยนะขอรับ”

รถม้าที่พวกเขานั่งอยู่ถอนตัวออกจากขบวนแล้วเลี้ยวไปยังถนนอีกสาย เดินไปตามถนนใหญ่แล้วเลี้ยวเข้าซอยเล็กเวลาผ่านไปสองเค่อ จี้หลิงก็พูดขึ้นมาว่า

“หยุดรถตรงนี้ก็พอ ซอยเล็กเกินกว่าจะเข้าไปได้แล้ว”

คนขับรถม้าหยุดรถจี้หลิงหันกลับมาเปิดประตูแล้วพูดด้วยความละอายใจเล็กน้อย “น้องหญิง รบกวนน้องต้องลงเดินเสียแล้วในเรือนไม่ค่อยสะดวกสบาย ที่พักอาจแคบไปเสียหน่อย”

หมิงเวยลงจากรถ “พี่ใหญ่พูดอะไรน่ะเจ้าคะ ต่อให้เรือนกว้างขวางมากมาย แต่เตียงก็ไม่เกินสามฉื่อ แน่นอน”

นางเงยหน้าขึ้นมองตรอกแคบๆ ตรงหน้า บ้านเรือนค่อนข้างเก่าแต่ถนนตรอกยังคงเป็นระเบียบเรียบร้อย ตรอกซอยนี้ยาวมากดูเหมือนว่าจะมีครอบครัวอาศัยอยู่ไม่น้อย มีหญิงสาวที่ดูมีประสบการณ์เดินเข้าๆ ออกๆ และมีเด็กหลายคนวิ่งไปมา

ดูจากสภาพแวดล้อมแล้วมีเพียงครอบครัวเล็กๆ เท่านั้นที่อาศัยอยู่ที่นี่ ท่านแม่เคยบอกว่าไม่ง่ายเลยที่ท่านลุงจะอาศัยอยู่ในเมืองหลวงดูท่าจะเป็นเรื่องจริง

จี้หลิงบอกคนขับรถม้าว่า “มีร้านขายรถม้าอยู่ริมถนน เจ้านำรถม้าไปส่งที่นั่นแล้วกลับบ้านไปได้เลย”

คนขับรถม้ารับคำและช่วยขนสัมภาระลง จี้หลิงแบกโถขี้เถ้าไว้บนหลังและเดินนำหมิงเวยกับตัวฝูเข้าไปในตรอก หญิงสาวคนหนึ่งเห็นเขาจึงตะโกนขึ้น “นั่นจี้เกอใช่หรือไม่ กลับมาแล้วหรือ”

จี้หลิงพยักหน้าและตอบกลับไป “ขอรับ ท่านป้าเหมียว”

เมื่อได้ยินเสียงพูดคุยหญิงสาวที่อยู่ใกล้ๆ ก็มองมาทางนี้แล้วยังมีเด็กวิ่งเข้ามาหาเพื่อขอขนม “ลุงจี้ ตอนที่ท่านไปท่านบอกว่าจะนำขนมมาให้พวกเรา”

รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าเคร่งขรึมของจี้หลิงเขาพูดว่า “การเดินทางครั้งนี้รีบนักเลยไม่มีเวลา แต่ขากลับข้าซื้อขนมมาให้แล้วเดี๋ยวจะให้เสียวอู่นำมาแจกให้พวกเจ้า ดีหรือไม่”

ความสนใจของเหล่าหญิงสาวอยู่ที่หมิงเวยและตัวฝู นายบ่าวคู่นี้แปลกจริงๆ คุณหนูเกิดมาได้งดงามขนาดนี้แต่ทำไมถึงมีสาวใช้ได้อัปลักษณ์เช่นนี้เล่า

พวกนางต่างคนต่างพูดว่า “จี้เกอ ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าจะไปหาลูกพี่ลูกน้องหญิง หรือว่าแม่นางผู้นี้เป็นลูกพี่ลูกน้องของเจ้างั้นหรือ”

“ไม่ได้บอกว่าจะไปดูนางหรอกหรือ เหตุใดถึงรับนางกลับมาด้วยล่ะ หรือว่าจะจัดพิธีแต่งงานกับเสียวอู่แล้ว”

“นางเกิดมางดงามจริงๆ เสียวอู่วาสนาดีมาก!”

จี้หลิงเดินไปพลางตอบกลับไปว่า “ใช่ขอรับ นางเป็นลูกพี่ลูกน้องของข้าเอง”

“ท่านอาเสียแล้ว น้องหญิงไม่มีผู้ใดดูแลเลยรับกลับมาด้วยขอรับ”

“เรื่องของเสียวอู่ค่อยว่ากันทีหลังขอรับ”

หมิงเวยยืนอยู่ด้านหลังจี้หลิง หากใครมองมาทางนี้นางก็ส่งรอยยิ้มกว้างไปให้ ซึ่งก็ได้รับความโปรดปรานจากหญิงสาวเหล่านี้ในไม่ช้า

ก่อนหน้านี้ได้ยินจากตระกูลจี้ว่าลูกพี่ลูกน้องหญิงของเขาเป็นคุณหนูจากตระกูลชั้นสูงไม่คิดเลยว่านางจะไม่ถือตัวเช่นนี้

ทั้งสามมาถึงประตูเรือนตระกูลจี้อย่างรวดเร็ว จี้หลิงให้เด็กรับใช้กลับมาก่อนหน้านี้ ตอนนี้ตระกูลจี้ได้รับข่าวแล้วเมื่อพวกเขามาถึงประตูก็เปิดออกพอดี

“ท่านพ่อ!” มีเสียงเล็กๆ ดังขึ้นตามด้วยร่างเล็กๆ ราวกับตุ๊กตาอายุไม่เกินสองสามขวบวิ่งออกมา

จี้หลิงก้าวไปข้างหน้าและอุ้มเด็กน้อยขึ้นมาด้วยมือข้างหนึ่ง ใบหน้าเคร่งขรึมเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “จูเอ๋อร์อยู่ที่นี่เป็นเด็กดีหรือไม่ คิดถึงพ่อหรือเปล่า”

“คิดถึง!” เด็กน้อยกอดเขา “จูเอ๋อร์คิดถึงท่านพ่อ ร้องไห้ทุกวันเลย!”

“จริงหรือ ไหนให้พ่อดูหน่อยตาบวมจากการร้องไห้หรือเปล่า”

ในขณะที่สองพ่อลูกหวานใส่กันก็มีอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น “พี่ใหญ่พอได้แล้ว! น้องหญิงอยู่ที่นี่ด้วยนะ รีบพานางเข้ามาเถิด!”

หมิงเวยได้ยินเสียงใสกังวาน เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นสตรีอายุประมาณยี่สิบปี ใบหน้ากลมคิ้วสวย ร่างเล็ก มีดวงตากลมสดใส

เมื่อเห็นนางมองมาทางนี้อีกฝ่ายจึงยิ้มให้ “นี่คงเป็นลูกพี่ลูกน้องจากตระกูลหมิงสินะ เดินทางมาที่นี่คงลำบากมากรีบเข้ามาก่อนเถิด”

จี้หลิงเพิ่งนึกขึ้นได้จึงอุ้มบุตรสาวไปไว้ด้านข้างแล้วยิ้ม “น้องหญิง นี่พี่สะใภ้ใหญ่ของน้อง”

หมิงเวยได้ยินจากแม่นมถงว่าพี่ใหญ่แต่งงานกับน้องสาวของเพื่อนร่วมชั้นเรียน ครอบครัวฝ่ายหญิงแซ่ต่ง นางย่อกายคารวะอีกฝ่าย “คารวะพี่สะใภ้ใหญ่”

“ไม่ต้องมากพิธีหรอก” นางประคองหมิงเวยให้ลุกขึ้น “มานั่งตรงนี้ก่อนเถิด”

หมิงเวยตอบรับด้วยรอยยิ้ม

เรือนตระกูลจี้ไม่ใหญ่มากนักมีเพียงสองเรือน ในเรือนนี้นอกจากนายท่านจี้ จี้หลิงและภรรยาของเขาแล้ว ยังมีคุณชายห้าอีกคนหนึ่ง บ่าวรับใช้มีน้อยมาก นอกจากเด็กรับใช้ของจี้หลิงแล้วหมิงเวยเห็นแค่เพียงคู่สามีภรรยาวัยกลางคนและสาวใช้หนึ่งคนเท่านั้น เรือนนี้เล็กมากจึงรับคนได้ไม่เยอะ

จี้หลิงถามขณะเดินเข้ามา “ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ”

พี่สะใภ้ตอบกลับ “ท่านพ่อยังไม่กลับจากโรงเรียนเจ้าค่ะ ส่วนท่านแม่พอได้ยินว่าพวกท่านจะมาถึงวันนี้จึงพาแม่นมออกไปซื้ออาหาร”

…………………

คู่ชะตาบันดาลรัก

คู่ชะตาบันดาลรัก

Status: Ongoing

เหตุชะตาถึงฆาตทำให้วิญญาณของ ‘หมิงเวย’ หญิงสาวผู้มีวรยุทธ์เก่งกล้า ย้อนเวลามาอยู่ในร่างของคุณหนูเจ็ดแห่งตระกูลหมิงผู้อ่อนแอ

แต่เรื่องราวกลับไม่ง่ายเมื่อทันทีที่ลืมตา นางกลับพบว่าในสวนอวี๋ฟางที่นางและฮูหยินสามผู้เป็นมารดาอาศัยอยู่นั้นมีสิ่งอัปมงคล!

สองแม่ลูกเชื่อว่าสิ่งนี้อาจเกี่ยวพันกับไสยศาสตร์มืด จึงได้ลงมือสืบความจริงของเรื่องนี้อย่างลับๆ

และยิ่งตามสืบปริศนามากมายที่เกิดขึ้นในจวนและตระกูลหมิงแห่งนี้… กลับยิ่งเจอความลับอันดำมืดที่ซุกซ่อนอยู่

แต่ท่ามกลางความมืดมิดและสิ่งชั่วร้าย โชคชะตากลับลิขิตให้หญิงสาวได้ไขประตูสู่ความจริง… รวมถึงนำไปสู่ความรัก!

นับตั้งแต่ที่ ‘หยางชู’ เหลนของฮ่องเต้จอมเสเพลแฝงกายมายังเมืองที่นางอาศัยอยู่เพื่อภารกิจบางอย่าง

นางและเขาจึงได้ตกลงร่วมกันทำภารกิจไขปริศนา แต่หารู้ไม่ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นอาจเป็นไปเพราะโชคชะตารักบันดาลอยู่เบื้องหลัง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท