ตัวฝูตื่นขึ้นมาเพราะเสียงตะโกนนางร้องออกมาด้วยความเคยชิน “คุณหนู”
หมิงเวยที่กลับมาจากข้างนอกถอดเสื้อคลุม “หืม”
“คุณหนูไปไหนมาหรือเจ้าคะ”
“ข้าตื่นกลางดึกน่ะ” หมิงเวยพูดโดยที่สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลงแล้วเดินกลับไปนอนที่เตียง
ตัวฝูร้องอ้อแล้วกลับไปนอนต่อได้ยินเสียงข้างนอกเหมือนมีคนคุยกันจึงถามออกไป “ด้านนอกเกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ”
หมิงเวยตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ “พี่ห้าคงกลับมาแล้วล่ะมั้งข้าได้ยินคนร้องเรียกเสียวอู่”
“อย่างนั้นหรือเจ้าคะ!” ตัวฝูคิดอยู่พักหนึ่งและอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “คุณหนู จี้เสียวอู่ดูเหมือนจะค่อนข้าง…นั่นแหละเจ้าค่ะ ดึกขนาดนี้แล้วทำไมถึงเพิ่งกลับมากัน”
หมิงเวยหัวเราะไร้เสียง “ไม่สนใจกฎเกณฑ์งั้นหรือ การที่คนหนุ่มสาวไม่สนใจวินัยกฎเกณฑ์เป็นเรื่องปกติ”
ตัวฝูไม่เข้าใจความคิดของนางเลยสักนิดจึงถามว่า “คุณหนูคิดอย่างไรหรือเจ้าคะ การแต่งงานครั้งนี้คุณหนูจะให้มีต่อไปหรือไม่เจ้าคะ”
สองนายบ่าวผ่านอุปสรรคกันมามาก แม้แต่ที่มาของตนตัวฝูก็รู้เป็นอย่างดี หมิงเวยจึงไม่คิดปิดบังนาง “แน่นอนว่าข้าไม่ต้องการแต่งงาน แต่ท่านลุงไม่ปฏิเสธเรื่องนี้ก่อน ข้าจะขอถอนหมั้นก่อนได้อย่างไร ดูไปก่อนเถิดไม่แน่พี่ห้าเองก็ไม่ได้ต้องการแต่งงานเหมือนกัน”
ตัวฝูบอกด้วยความจริงใจ “คุณหนูเป็นเช่นนี้ดีแล้วเจ้าค่ะ แต่เหตุใดจี้เสียวอู่จะไม่ต้องการแต่งงานกัน ก่อนหน้านี้เขาก่อเรื่องไปทั้งยังไม่เคยพบหน้าคุณหนูเลยด้วยซ้ำ”
หมิงเวยยิ้ม “เรื่องการแต่งงานพูดไปก็ซับซ้อน ขอแค่อีกฝ่ายไม่ตกลงก็พอแล้ว ดูจากพี่ห้าแล้วเขาคงไม่อยากแต่งงานเหมือนกัน”
ตัวฝูไม่คิดพูดอะไรอีกนางหลับตาลง “นอนกันเถอะเจ้าค่ะ พวกเราเพิ่งมาถึงเมืองหลวง พรุ่งนี้ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องทำ!”
…………
หยางชูและเจี่ยงเหวินเฟิงที่เดินทางกลับหยุนจิงพร้อมกับนางตอนนี้ก็ยังไม่ได้นอน ภายในพระราชวังหยุนจิง ณ ท้องพระโรงสำหรับว่าราชการยังคงสว่างไสวในกลางดึก
ฮ่องแต้แห่งแคว้นฉีเหนือ ผู้มีพระสมัญญานามเหวินตี้ผู้นั้นกำลังนั่งบนแท่นประทับ ตามองเอกสาร ในขณะเดียวกันก็ฟังคำรายงานของเจี่ยงเหวินเฟิงเกี่ยวกับผลลัพธ์ของการเดินทางในครั้งนี้
ฮ่องเต้ปีนี้มีพระชนมพรรษาสี่สิบหกชันษา ซึ่งตรงกับช่วงเวลาที่อำนาจของฮ่องเต้อยู่ในจุดสูงสุด เขาเป็นบุตรชายคนเล็กที่เกิดจากภรรยาเอกของไท่จู่ซึ่งเกิดในปีที่ไท่จู่ได้ขึ้นครองบัลลังก์
เมื่อเทียบกับพี่ชายทั้งสามคนของเขาแล้ว เขาไม่เคยพบเห็นความวุ่นวายมาก่อนเป็นคนที่เกิดมาพร้อมกับสันติสุข ด้วยเหตุนี้แม้ว่าเขาจะเป็นที่ชื่นชอบ แต่เขาก็สูญเสียความใกล้ชิดกับบิดาของตนเองไป
เขามีพี่ชายอีกตั้งสามคน ผู้ใดจะคิดเล่าว่าเขาจะเป็นคนที่ได้นั่งบัลลังก์ในที่สุด แม้จะได้พบคนที่แข็งแกร่ง แต่ก็ไม่แข็งแกร่งพอที่จะมีชีวิตรอดได้
“เอาล่ะ” เมื่อฟังเสร็จฮ่องเต้ก็ยกมือขึ้น เจี่ยงเหวินเฟิงหยุดรายงาน รอคำสั่งจากฝ่าบาท
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วและกล่าวด้วยความเบื่อหน่ายเล็กน้อย “เนื่องจากหลักฐานได้ข้อสรุปแล้วให้เขียนฎีกาถวายมาก็พอแล้วล่ะ”
เจี่ยงเหวินเฟิงตอบรับ “พะย่ะค่ะ”
“ตอนนี้ก็ดึกแล้ว เจี่ยงชิง[1]เดินทางมาเหนื่อยๆ กลับไปพักผ่อนสักหน่อยเถอะ วันรุ่งขึ้นค่อยมาจัดการก็ไม่สาย”
เจี่ยงเหวินเฟิงค้อมตัวทำความเคารพ “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่เป็นห่วง กระหม่อมทูลลาพะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้โบกมือสั่งการขันทีว่านต้าเป่าที่อยู่ข้างกาย “เจ้าไปส่งเจี่ยงชิงที”
เจี่ยงเหวินเฟิงเดินตามว่านต้าเป่าออกจากท้องพระโรง พอดีกันกับที่นางกำนัลสองสามคนเดินเรียงแถวถือกล่องอาหารมาทางนี้
เมื่อเห็นพวกเขาขันทีที่เดินนำยิ้มกล่าวทักทาย “คารวะว่านกงกง ใต้เท้าเจี่ยง”
ว่านต้าเป่าเผยรอยยิ้ม “ชุยกงกง สนมเผยมีธุระงั้นหรือ”
เจี่ยงเหวินเฟิงมักเดินอยู่ในพระราชวังจึงจำได้ว่าคนผู้นี้คือชุยชุ่นคนสนิทของเผยกุ้ยเฟย ดึกดื่นเช่นนี้คงนำอาหารมื้อดึกมาถวายฮ่องเต้กระมัง
ชุยชุ่นตอบว่า “เหนียงเหนียงเป็นห่วงฝ่าบาทจึงรับสั่งให้ข้าน้อยทำพระกระยาหารมื้อดึกมาถวายขอรับ”
ว่านต้าเป่ายิ้ม “ฝ่าบาทอยู่กับคุณชายสามทางด้านนู้น ท่านเรียกนางกำนัลนำไปถวายได้”
ชุยชุ่นกล่าวขอบคุณและถามว่า “ใต้เท้าเจี่ยงกำลังจะออกจากวังหรือขอรับ”เจี่ยงเหวินเฟิงพยักหน้า
ชุยชุ่นพูดว่า “ใต้เท้าทำงานหนักคงเหนื่อย อาหารมื้อดึกเหนียงเหนียงเตรียมไว้หลายสำรับทีเดียว เนื่องจากใต้เท้ากำลังเดินทางกลับ เช่นนั้นนำกลับไปทานด้วยดีหรือไม่ขอรับ เช่นนี้จะได้ไม่ผิดต่อความปรารถนาดีของเหนียงเหนียง”
เจี่ยงเหวินเฟิงยิ้มแล้วกล่าวขอบคุณ “หากจะปฏิเสธก็เป็นการไม่แสดงความเคารพ เช่นนั้นรบกวนกงกงช่วยขอบพระทัยพระสนมแทนข้าน้อยด้วย”
ทั้งสองฝ่ายพูดคุยอีกไม่กี่คำก็แยกกัน เจี่ยงเหวินเฟิงนำกล่องอาหารเข้าไปในรถม้าของตนที่จอดรออยู่ที่ประตูวัง เขาหิวมากจริงๆ จึงเปิดกล่องอาหาร ช่างเป็นของว่างที่แสนพิถีพิถัน สัมผัสนุ่มนวลรสชาติเป็นเลิศ เจี่ยงเหวินเฟิงนึกถึงสนมเผยที่เตรียมของว่างเหล่านี้ก็ถอนหายใจไม่หยุด
………
อีกด้านหนึ่ง ชุยชุ่นนำของว่างแบบเดียวกันมาวางไว้บนโต๊ะทรงงานและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เหนียงเหนียงตรัสว่าฝ่าบาทเป็นกังวลเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของบ้านเมือง ต้องลืมเสวยพระกระยาหารเป็นแน่จึงสั่งให้นางกำนัลนำของว่างมาถวายพะย่ะค่ะ”
ใบหน้าที่ตึงเครียดของฮ่องเต้คลายลง รอยยิ้มที่ไม่สามารถเข้าใจได้ปรากฏบนใบหน้าของเขา “สนมเผยคิดรอบคอบเสียจริง เจ้ากลับไปบอกนางให้นางนอนก่อนได้เลย ไม่ต้องรอข้า”
“พะย่ะค่ะ” ชุยชุ่นนำบะหมี่น้ำใสชามเล็กมาวางตรงหน้าหยางชู “เหนียงเหนียงตรัสว่า คุณชายสามจากเมืองหลวงไปเป็นเดือนคงอยากทานบะหมี่อิ๋นซือของวังหลวงเป็นแน่จึงสั่งให้พ่อครัวเตรียมไว้ให้ ให้รีบทานเสียตั้งแต่ตอนที่ยังร้อนแล้วกลับไปพักผ่อนเถิด ทุกคนกลับมาแล้วไม่ว่าจะมีเรื่องมากมายแค่ไหนก็ไม่ต้องเร่งรีบ”
ฮ่องเต้ได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ “นางตั้งใจเตรียมอาหารมื้อดึกให้จูเอ๋อร์เป็นพิเศษเลย ของเจิ้นคือถือโอกาสทำไปด้วยเลยใช่หรือไม่”
ชุยชุ่นได้ยินเช่นนั้นก็ไม่รู้สึกตื่นตระหนกแต่อย่างใด เขายิ้มและตอบกลับไปว่า “จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไรกันพะย่ะค่ะ เหนียงเหนียงต้องนึกถึงฝ่าบาทก่อนอยู่แล้วพะย่ะค่ะ”
หยางชูตอบกลับเสียงราบเรียบไปว่า “ฝากขอบพระทัยเหนียงเหนียงแทนข้าด้วย วันนี้ข้ายุ่งมากจึงไม่มีเวลาไว้ว่างเมื่อไรข้าจะไปเข้าเฝ้าคารวะ”
ชุยชุ่นตอบรับแล้วรอพวกเขาทานเสร็จ จากนั้นจึงเก็บถ้วยชามและถอนตัวออกมา ฮ่องเต้โบกมือสั่งให้คนอื่นออกไป
เมื่อท้องพระโรงเหลือเพียงสองคน ฮ่องเต้จึงบอกกับหยางชูว่า “เจ้าว่าเจิ้นทำได้ไม่ดีหรือ ยังใจกว้างกับพวกเขาไม่พองั้นหรือ เหตุใดคนหนึ่งเป็นเช่นนั้น อีกคนก็เป็นเช่นนั้นตามไปอีก เจิ้นไม่ได้อยากโดดเดี่ยวเดียวดายที่ตัดขาดวงศาคณาญาติทั้งหกหรอกนะ!”
หยางชูมองดูความโศกเศร้าของฮ่องเต้และพูดเบาๆ “ไม่ใช่เพราะฝ่าบาททำได้ไม่ดี ไม่ใช่เพราะไม่ใจกว้างมากพอหรอกพะย่ะค่ะ แต่จิตใจของผู้คนนั้นไม่อาจคาดเดาและเปลี่ยนแปลงง่าย ไม่ว่าฝ่าบาทจะดีกับพวกเขาแค่ไหน แต่พวกเขามีหนามทิ่มแทงอยู่ในจิตใจ ไม่มีวันเชื่อใครอยู่แล้วพะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ยิ้มอย่างขมขื่น “หลิ่วหยางตายแล้ว ฉีตงมาตายอีกคน ชื่อเสียงของเจิ้นในฐานะที่ฆ่าล้างเครือญาติคงไม่มีวันลบได้ พี่น้องสี่คน สามคนไร้ทายาทสืบสกุลจะเขียนลงในประวัติศาสตร์อย่างไรดี”
หยางชูเงียบไม่พูดอะไร
ฮ่องเต้เองก็ไม่ได้ต้องการคำตอบจากเขา ผ่านไปสักพักจึงพูดต่อว่า “ในเมื่อเขามีจิตใจเช่นนี้ คงไม่สามารถให้เขามีชีวิตอยู่ได้อีกต่อไป เจิ้นไม่อยากทำอะไรเกินพอดี บุรุษบังคับให้ฆ่าตัวตายซะ ส่วนสมาชิกครอบครัวที่เป็นสตรี…ให้พวกนางมีชีวิตอยู่ต่อไปได้!” หยางชูเงยหน้าขึ้น
ฮ่องเต้เหมือนจะพึมพำกับตัวเอง “เจิ้นคิดถึงเรื่องนั้นเมื่อสิบปีก่อนอยู่หลายครั้ง ตอนนั้นมันมากเกินไป…”
“ฝ่าบาท…”
ฮ่องเต้หัวเราะให้เขา “เด็กคนนั้นที่อยู่ข้างกายเจ้า เจิ้นไม่รู้ที่มาของนางเป็นเวลาหลายปีที่เจ้าระวังตัวต่อไปไม่ต้องทำเช่นนั้นแล้ว เจิ้นรู้แล้ว แต่เจ้าต้องควบคุมนางให้ดี เจิ้นไม่ต้องการมีศัตรูเพิ่มขึ้นอีก”
หยางชูยับยั้งความตื่นเต้นในใจ เขานั่งลงหมอบคารวะ “ขอบพระทัยในความเมตตาของฝ่าบาท”
ฮ่องเต้ช่วยพยุงเขาขึ้น “เจ้านี่นะ! ทำตัวไม่เกรงกลัวใครต่อหน้าผู้อื่น เหตุใดถึงได้มาระมัดระวังตัวมากเกินไปต่อหน้าเจิ้นด้วย เจิ้นเป็นฮ่องเต้ แต่เจิ้นก็เป็นพี่น้องของย่าเจ้าด้วย!”
………………………
[1] ชิง : ตำแหน่งขุนนางสมัยโบราณ