หลังรับประทานอาหารเช้าเสร็จนายท่านจี้ก็เดินทางไปสอนที่กั๋วจื่อเจียน
จี้หลิงเองก็ยังศึกษาอยู่ที่กั๋วจื่อเจียน แต่เขาจากบ้านไปหลายเดือนมีหลายเรื่องที่ต้องจัดการจึงไม่ได้ไปขอวันสิ้นสุดการลาไว้
ฮูหยินจี้กวักมือเรียกบุตรชายคนเล็ก “น้องเพิ่งเดินทางมาเมืองหลวง เจ้าพานางออกไปเดินเล่นเสียหน่อยเถอะ”
จี้เสียวอู่ชี้จมูกตนเอง “ลูกหรือ ลูกต้องไปเข้าเรียนขอรับ!”
ฮูหยินจี้มองเขาอย่างดูถูก “ลูกจริงจังกับการเรียนด้วยหรือ ไม่ใช่ว่าโดดเรียนหรือไม่ก็หลับในห้องเรียนหรืออย่างไร วันนี้ไม่ต้องเข้าเรียนพาน้องของลูกออกไปเดินเล่นซะ!”
“….”
จี้เสียวอู่น้ำท่วมปากแล้วมองหมิงเวยอย่างหดหู่ใจ เขาเห็นนางดูสงบเสงี่ยม ซ้ำยังยิ้มให้เขาพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “รบกวนพี่ห้าแล้ว”
นางไม่เพียงพูดปดอีกทั้งยังแสดงละครเก่งด้วย!
น่ากลัวจริงๆ! ไม่ใช่ว่าน้องหญิงของเขาคนนี้เกิดมาโง่เขลาหรอกหรือ ทำไมพอหายดีแล้วถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้
“ยืนงงอะไรอยู่” ฮูหยินจี้โยนกระเป๋าเงินให้ “รีบไปเช่ารถที่ร้านรถม้าซะ อย่าทำให้น้องต้องเหนื่อยไม่อย่างนั้นแม่จะถลกหนังลูก!”
ไม่รอให้จี้เสียวอู่เปิดปากหมิงเวยก็พูดออกไปว่า “ท่านป้า ไม่จำเป็นต้องเช่ารถหรอกเจ้าค่ะ หลานพาคนขับรถม้ามาด้วย”
“อ้อ!” จี้ฮูหยินนึกขึ้นมาได้ “ดีเลย คนขับรถจากบ้านของหลานค่อยวางใจหน่อย เสียวอู่ งงอะไรอยู่อีกไปเตรียมตัวสิ!” จี้เสียวอู่ทำหน้าเสียใจแล้วเดินออกไป
เขามองออกเลยว่าใครในบ้านหลังนี้สถานะสูงส่งกว่าเขา! เมื่อก่อนเป็นท่านพ่อท่านแม่ พี่ชายพี่สะใภ้แล้วก็จูเอ๋อร์ แต่ตอนนี้มีน้องหญิงเพิ่มมาอีกหนึ่ง!
หูยังได้ยินหมิงเวยพูดกับฮูหยินจี้ว่า “คดีนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาคดี เกรงว่าคนจากศาลจะส่งคนมาเรียกตัวหลานคงเดินเล่นได้พักเดียวแล้วกลับมาเจ้าค่ะ” จี้เสียวอู่เข็ดเขี้ยวเคี้ยวฟันและรีบออกไปข้างนอกเพื่อไปตามคนขับรถ
………….
ผ่านไปครึ่งชั่วยามหมิงเวยนั่งอยู่ในรถม้าและกำลังมุ่งหน้าไปที่ตลาด
“หอมมากเจ้าค่ะ!” ตัวฝูสูดหายใจเข้าลึกๆ หมิงเวยมองทิวทัศน์ภายนอกทางหน้าต่าง
หูปิ่งสดใหม่จากเตาวางเรียงซ้อนกันบนโต๊ะพร้อมส่งกลิ่นไหม้ของงาและกลิ่นข้าวสาลีคั่วที่มีความเข้มข้นเป็นพิเศษมาแต่ไกล
จี้เสียวอู่นั่งอยู่ข้างคนขับรถเขาสะบัดแส้ในมือไปมาแล้วแนะนำอย่างเกียจคร้าน “หูปิ่งจากตระกูลหยูอร่อยที่สุดในหยุนจิงแล้ว ฮ่องเต้องค์ก่อนได้มาลิ้มลองครั้งหนึ่งจากนั้นก็ส่งคนมาซื้ออยู่บ่อยๆ”
หมิงเวยฟังเสร็จก็ถามกลับไป “อย่างนั้นหรอกหรือเจ้าคะ”
จี้เสียวอู่แปลกใจ “ทำไมหรือ เจ้าอยากฟังว่าอะไร กินแล้วจะได้เป็นเซียนอย่างนั้นหรือ”
หมิงเวยตอบ “ในเมื่อเป็นร้านที่ทำอร่อยที่สุด พี่ห้าจะไม่พูดอะไรหน่อยเลยหรือ”
ผ่านไปไม่นานเขาก็กลับมาพร้อมกับหูปิ่งหนึ่งกล่อง เขากัดไปหนึ่งคำแล้วโยนอีกชิ้นให้คนขับรถม้าส่วนที่เหลือส่งเข้าไปด้านในรถ ผ่านร้านหูปิ่งไปก็เห็นหม้อน้ำมันขนาดใหญ่วางอยู่หน้าร้าน
เต้าหู้สีขาวหิมะทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสวางอย่างเรียบร้อยถูกคีบขึ้นมาด้วยตะเกียบยาวแล้ววางลงไปในหม้อน้ำมัน เต้าหูกลายเป็นสีทองอย่างรวดเร็ว ตักใส่ชามสีขาว โรยต้นหอมจากนั้นปรุงด้วยน้ำราดรสเผ็ด
“เต้าหู้ทอดตระกูลเสิ่น พวกเขาเปิดร้านมาร้อยปีแล้วตั้งแต่ราชวงศ์ก่อน พวกเขาขายเต้าหู้ทอดในหยุนจิงจนตอนนี้ก็ยังขายอยู่” หมิงเวยเพิ่งทานหูปิ่งเสร็จก็มองเขาต่อ
จี้เสียวอู่ถูกนางมองอยู่สักพักก็สบถเสียงเบาเขาปัดเศษหูปิ่งออกจากตัวแล้วลงไปซื้อเต้าหู้ทอด แล้วหมิงเวยกับตัวฝูก็ได้มาคนละหนึ่งชาม
เดินไม่ถึงสองก้าวก็เห็นคนต่อแถวเป็นแนวยาว
“พี่ห้า นั่นเขาต่อแถวอะไรกันหรือเจ้าคะ”
“น้ำแกงบ๊วยเค็มอู๋จี้ ใสดั่งอำพัน มีรสสัมผัสเปรี้ยวหวาน…”
เมื่อพูดไปได้ครึ่งทางก็เห็นท่าทางของนาง จี้เสียวอู่ได้แต่ยอมรับชะตากรรมไปเข้าแถวซื้อน้ำแกงบ๊วยเค็ม ผ่านไปสักพักเขาก็กลับมาพร้อมน้ำแกงบ๊วยเค็มสองชาม หมิงเวยรับมาหนึ่งชามและยื่นมือออกไปอีกครั้ง
จี้เสียวอู่เพิ่งยกชามขึ้นมองมือของนาง “ทำไมข้าเองก็จะดื่ม!”
“แต่ตัวฝูยังไม่ได้ดื่มเลยนะเจ้าคะ!”
จี้เสียวอู่ถลึงตาจ้องนาง “นางเป็นแค่สาวใช้ มีสิทธิ์อะไรมาแย่งข้ากัน”
คนอื่นๆ ในครอบครัวที่ถูกจัดอันดับอยู่หน้าเขาก็ช่างไปเถอะ แต่ตอนนี้แม้แต่ตำแหน่งสาวใช้ยังอยู่เหนือเขาด้วยหรือ
หมิงเวยมองเขาแล้วยิ้ม
จี้เสียวอู่ถูกนางยิ้มให้นึกภาพตนเองแย่งน้ำแกงบ๊วยเค็มกับสาวใช้แล้วรู้สึกค่อนข้างขายหน้าจึงจำใจมอบน้ำแกงชามนี้ให้แล้วไปต่อแถวซื้อใหม่อีกรอบ
เมื่อดื่มน้ำแกงบ๊วยเค็มเสร็จก็เห็นว่ามีร้านขายเนื้อแกะ หมิงเวยยังไม่ทันได้เปิดปาก จี้เสียวอู่ก็ชิงพูดขึ้นมาว่า “เจ้ายังจะกินต่ออีกหรือ ข้าวเช้าก็เพิ่งทานไป เมื่อครู่ก็กินทานตลอดทางท้องของเจ้ายังไม่เต็มอีกหรือไร” หมิงเวยยังคงมองเขาแล้วยิ้มให้
จี้เสียวอู่ยืนหยัดได้เพียงครู่เดียวก็เดินไปที่ร้านขายเนื้อแกะ เดินไปกินไปตลอดทางแล้วจี้เสียวอู่ก็สะอึก ส่วนอีกสองคนไม่เห็นเป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย
เขาสงสัย “เจ้าสองคนยังไม่อิ่มอีกหรือ”
ตัวฝูตอบอย่างตรงไปตรงมา “ทำไมต้องอิ่มด้วยเจ้าคะ พอทานเข้าไปเมื่อพลังโคจรอาหารที่ทานไปก็ย่อยหมดแล้ว”
จี้เสียวอู่เบิกตากว้าง “อะไรนะ เมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ พูดอีกรอบสิ!”
ตัวฝูพูดอีกรอบ “ทำไมต้องอิ่มด้วย”
“ไม่ใช่ ข้าหมายถึงประโยคอื่น”
“เมื่อพลังโคจรอาหารที่ทานไปก็ย่อยหมดแล้ว”
“ใช่ๆๆ!” จี้เสียวอู่รู้สึกตื่นเต้น “เจ้าเป็นแค่สาวใช้ขี้เหร่ เหตุใดถึงมีพลังได้กัน”
ตัวฝูกำลังจะตอบ แต่หมิงเวยเอ่ยขึ้นก่อนว่า “ตัวฝู”
“ว่าอย่างไรเจ้าคะคุณหนู”
“หากมีคนไร้มารยาทมาสนทนากับเจ้า เจ้าต้องทำอย่างไร”
ตัวฝูครุ่นคิด “ไม่สนใจเขาเจ้าค่ะ”
หมิงเวยพยักหน้า “ใช่” และแล้วตัวฝูก็หุบปากลง
จี้เสียวอู่โกรธ “ทำไมข้าจะไม่รู้มารยาท เดินเป็นเพื่อนพวกเจ้านานขนาดนี้ ถามอะไรไปก็ไม่ตอบ!”
หมิงเวยถามเขา “สาวใช้ขี้เหร่ นี่เรียกว่ามีมารยาทงั้นหรือเจ้าคะ”
“เอ่อ…” เขาพึมพำ “ก็แค่สาวใช้คนหนึ่งไม่จำเป็นต้องใส่ใจเลย!”
หมิงเวยหันไปพูดกับคนขับรถ “ไปถนนเส้นนั้น”
“เดี๋ยวสิ!” จี้เสียวอู่รีบพูด “เอาล่ะๆๆ ข้าผิดเอง” พูดแล้วก็ยกมือขอโทษตัวฝู
“ขอโทษ ข้าผิดไปแล้ว” ตัวฝูมองคุณหนูของตน เห็นนางพยักหน้าให้จึงตอบกลับไปว่า “ใช่เจ้าค่ะ บ่าวมีพลัง”
จี้เสียวอู่รีบถาม “เป็นพลังใช้หลบซ่อนหรือเปล่า สามารถเดินทางพันลี้ภายในหนึ่งวันได้หรือไม่”
หมิงเวยหัวเราะ “พลังที่ท่านพูดถึงไม่มีอยู่จริงหรอกเจ้าค่ะ พลังของตัวฝูมีไว้เพื่อปราบภูติผีปีศาจ!”
“ขับไล่ภูติผีปีศาจ!” ดวงตาของจี้เสียวอู่เป็นประกาย “เป็นเคล็ดวิชาใช่หรือไม่ ข้าได้ยินว่าผู้เป็นเคล็ดวิชามีน้อย แต่คนในเสวียนตูกวันสามารถทำได้ แต่ตาของพวกเขางอกอยู่บนหัว[1] ไม่สนใจใคร ข้าเคยไปคุกเข่าอยู่หน้าเสวียนตูกวันอยู่หลายวันหลายคืน แต่สุดท้าย…”
เมื่อรู้ตัวว่าตัวเองพูดพล่ามออกไปจี้เสียวอู่ก็รีบหยุดพูด
หมิงเวยหรี่ตามองเขา “ท่านเคยไปคุกเข่าอยู่หน้าเสวียนตูกวันด้วยหรือแล้วหลังจากนั้นเป็นอย่างไร”
เมื่อเห็นว่านางไม่มีเจตนาหัวเราะเยาะเขาจี้เสียวอู่จึงพูดต่อไปว่า “อย่าพูดถึงมันเลย พวกเขาไม่สนใจก็คือไม่สนใจ หลังจากนั้นท่านพี่ก็มารับข้ากลับไปในหนังสือไม่ได้เขียนไว้หรอกหรือว่าให้คุกเข่าเป็นเวลาสามวัน ตากฝนได้ยิ่งดี แล้วผู้สูงส่งจะเห็นถึงความจริงใจของเรา”
หมิงเวยคิดในใจมีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่เชื่อ ผู้ที่อยากเรียนเคล็ดวิชา ผู้ที่มีความสามารถมากมาย ผู้ที่ไม่เข้าตาต่อให้คุกเข่าจนตายพวกเขาก็ไม่สนใจอยู่ดี
…………………
[1] ตางอกอยู่บนหัว : เป็นสำนวนเปรียบเปรย ประมาณว่า ตาเธอไปงอกอยู่บนหัวหรือไง ถึงได้มองไม่เห็นคนอื่น