พวกเขาเดินตลอดช่วงสาย ทั้งสามคนก็ซื้อของจากตลาดถุงเล็กถุงใหญ่กลับจวนไป ในตอนที่พวกเขากลับมาถึงจวน ฮูหยินจี้กำลังนำผ้ามาวางเห็นบุตรชายคนเล็กกลับมาพร้อมหลานสาว หน้าเหม็นๆ ที่อีกฝ่ายทำก่อนหน้านี้กลายเป็นเสียงพูดคุยเสียงหัวเราะ
ช่างเถอะ แต่อีกฝ่ายที่บุตรชายคุยไปหัวเราะไปนั้นเหตุใดถึงเป็นสาวใช้ที่อยู่ข้างกายหลานสาวของนางเล่า
ฮูหยินจี้ไม่คิดว่าบุตรชายคนเล็กของตนจะสนใจในตัวสาวใช้นางนั้น สองนายบ่าว คนหนึ่งงดงามอีกคนขี้เหร่เป็นความต่างที่ชัดเจนมาก ขนาดสาวงามที่เป็นคู่หมั้นเขายังไม่ชอบไม่สนใจนับประสาอะไรกับสาวใช้กัน
ช่างแปลกเสียจริง ตนจะไปรู้ความคิดของจี้เสียวอู่ได้อย่างไรกัน
เมื่อรู้ว่าตัวฝูรู้เคล็ดวิชาเขาคิดว่านางเป็นสาวผู้นำพาโชคชะตาในใต้หล้านี้ เป็นสาวใช้ในนาม แต่จริงๆ แล้วนางคือวีรสตรี! จากประสบการณ์เมื่อคืน เขายังค้นพบคำอธิบายที่สมเหตุสมผล
ในเมื่อตัวฝูรู้เคล็ดวิชาจึงไม่น่าแปลกใจที่จะสอนคุณหนูของตนเอง! หากเขาต้องการศึกษาแน่นอนว่าต้องเข้าหาคนที่เก่งกาจที่สุด อีกอย่างเขาไม่ชอบลูกพี่ลูกน้องของเขาคนนี้มาก เจอกันครั้งแรกก็เล่นงานเขาเช่นนั้นต่อหน้าท่านพ่อท่านแม่กลับทำตัวใสซื่อบริสุทธิ์
เพราะฉะนั้นต้องเป็นเจ้าเท่านั้น ตัวฝู!
ตัวฝูนั้นไม่ได้รับรู้ถึงความคิดที่บิดเบี้ยวในใจของเขา เมื่อเห็นท่าทางของคุณหนู ดูเหมือนจะไม่ใส่ใจที่นางจะพูดถึงเรื่องเหล่านี้กับจี้เสียวอู่ หรือก็คือตนเป็นแค่สาวใช้คนหนึ่ง คุณชายมาพูดคุยกับนางจะไม่สนใจได้อย่างไร
ดังนั้นเมื่อจี้เสียวอู่ถามหนึ่งคำถาม นางก็ตอบกลับไปตามตรง
ฮูหยินจี้โบกมือเรียกหมิงเวย “เสี่ยวชี หลานชอบสีอะไร ป้าจะตัดชุดให้หลาน”
นี่เป็นน้ำใจจากผู้อาวุโสหมิงเวยจึงเลือกด้วยความกระตือรือร้น “สีนี้สวยดีเจ้าค่ะ เนื้อผ้าดีเลยทีเดียว”
“ถ้าอย่างนั้นตัดมาสองชุดก็แล้วกัน หลานลองดูแบบก่อนพี่สะใภ้ใหญ่ของหลานบอกว่าเด็กสาวในเมืองหลวงนิยมแบบนี้ หลานชอบหรือไม่”
“ดีเจ้าค่ะ ท่านป้าช่วยหลานเลือกหน่อยนะเจ้าคะ”
ฮูหยินจี้ปรบมือ “เอาล่ะ งั้นเอาอันนี้ละกัน”
แม่นมจากตระกูลจี้ยิ้มตาหยีมองหมิงเวย “คุณหนูเกิดมางดงามใส่อะไรก็งามเจ้าค่ะ”
จนกระทั่งตอนเที่ยงทุกคนมารับประทานมื้อเที่ยงกัน นายท่านจี้ทานมื้อเที่ยงที่โรงเรียนเขาจึงไม่ได้กลับมาทานที่จวน จี้หลิงมีธุระที่ต้องออกไปจัดการข้างนอก
หมิงเวยนั่งทานข้าวโดยไม่มองทางอื่นแต่อย่างใด เป็นจี้เสียวอู่ที่ทานมาตลอดช่วงสาย ตอนนี้เมื่อเห็นอาหารเขากลับไม่รู้สึกอยากอาหารเลย
แต่ถ้าบอกว่าไม่กินล่ะก็คงโดนดุเป็นแน่เขาจึงนั่งลงและทานไปสองสามคำ
ฮูหยินจี้เห็นเขาสำลักอาหารแล้วกลอกตาก็โกรธ “เสียวอู่! ลูกกินยาพิษเข้าไปหรืออย่างไรเหตุใดถึงทำท่าทางเช่นนั้น”
จี้เสียวอู่ตอบตามความจริง “เมื่อเช้าลูกออกไปกับน้องหญิง ทานอาหารไปหลายอย่าง…”
ฮูหยินจี้กล่าวอย่างโกรธเคือง “แม่ให้ลูกออกไปเดินเล่นเป็นเพื่อนน้อง แต่ลูกกลับเอาแต่กินอย่างนั้นหรือ”
จี้เสียวอู่สับสน “ลูกไม่ได้เห็นแก่กินนะขอรับ! เป็นน้องหญิงที่อยากทานต่างหาก”
“เจ้ายังจะโกหกอีก!” ฮูหยินจี้โกรธจัด “หากน้องอยากทานจริงตอนนี้จะยังทานไหวอยู่อีกหรือ”
จี้เสียวอู่หันหน้าไปมองเมื่อเห็นหมิงเวยรับประทานอาหารอย่างเรียบร้อยเขาก็รู้สึกเป็นใบ้ไปชั่วขณะ
หมิงเวยเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มเอ่ยกับมารดาของเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ท่านป้าอย่าโกรธเลยเจ้าค่ะ ท่านพี่อยู่เป็นเพื่อนหลานตลอดเวลา! ที่ตลาดมีของอร่อยมากมาย ไม่แปลกใจที่ท่านพี่จะทนไม่ไหว” จี้เสียวอู่ตกตะลึง
คำพูดนี้ฟังดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่แอบเหมือนยอมรับกลายๆ ว่าเขาเห็นแก่กินไม่สนใจนาง!
“เจ้าไม่อยากทานก็ไปให้พ้นหน้าซะ ตอนเย็นพ่อของเจ้ากลับมาค่อยมาจัดการกับเจ้า!” ฮูหยินจี้โบกมือไล่เขาอย่างกับไล่แมลงวัน แล้วชามข้าวตรงหน้าเขาก็ถูกพี่สะใภ้แย่งไป
พี่สะใภ้ยิ้มให้เขา “น้องห้าในเมื่อเจ้ายังอิ่มอยู่ก็ไปเล่นกับจูเอ๋อร์เถอะ!”
“……” เขารู้สึกว่าชีวิตช่างมืดมนไร้ทางสว่าง
เมื่อจี้หลิงกลับมาก็เห็นน้องชายของตนเล่นขี่ม้ากับจูเอ๋อร์ด้วยสีหน้าซึมกระทือ เขาสงสัยว่าทำไมวันนี้น้องชายถึงเป็นเด็กดีขนาดนี้ไม่แอบออกไปเล่นข้างนอกแล้วหรือ
จี้หลิงไปรายงานมารดาของตน “จวนข้างเคียงไม่ปล่อยเช่าขอรับ เจ้าของจวนต้องการขายให้ที่อื่นจึงไม่ค่อยอยากปล่อยเช่านัก”
ฮูหยินจี้พูด “ลูกไปบอกเจ้าของจวนว่า ค่าเช่าแพงนิดหน่อยไม่มีปัญหา เพราะถ้าเช่าไม่ได้คงไม่ทันแน่”
จี้หลิงพยักหน้าแล้วตอบกลับไป “ถ้าอย่างนั้นวันรุ่งขึ้นลูกจะไปคุยกับเขาอีกทีขอรับ” จวนตระกูลจี้ไม่ได้ใหญ่มาก ห้องของหมิงเวยที่หันหน้าไปทางด้านนั้นรวมทั้งหูของนางที่เป็นเลิศจึงได้ยินทุกอย่างชัดเจน เมื่อนำมาใคร่ครวญดูก็รู้ว่ามีปัญหาเกิดขึ้น
“ตัวฝู เจ้าไปเรียกท่านพี่มาที” ตัวฝูรับคำแล้วออกไปเรียกจี้หลิงก่อนที่เขาจะเข้าห้องไป
“น้องหญิงมีเรื่องอะไรหรือ” หมิงเวยเดินไปที่หน้าต่างแล้วพูดกับเขา “ท่านพี่ต้องการเช่าจวนข้างๆ หรือเจ้าคะ จะเอาไปทำอะไรหรือ”
จี้หลิงกับนางร่วมเดินทางด้วยกันมาจึงรู้ว่านางเป็นคนใจกว้าง เขาจึงบอกนางไปตรงๆ “คนของน้องยังมาไม่ถึงไม่ใช่หรือ จวนของเราเล็กนักคงให้อยู่ด้วยไม่ไหว ท่านแม่จึงอยากเช่าจวนข้างๆ เพื่อขยายพื้นที่”
หมิงเวยหมุนตัวกลับเข้าไปหยิบกล่องนางเปิดกล่องขึ้นแล้วหยิบตั๋วเงินออกมา
“เมื่อครู่น้องได้ยินหมดแล้วเจ้าค่ะ ท่านพี่นำตั๋วเงินนี้ไปซื้อเถอะ”
“นี่…” จี้หลิงรู้สึกว่าไม่เหมาะสม
หมิงเวยพูดว่า “ท่านพี่ซื้อให้น้องเถิด ถึงท่านอาสี่จะให้ทรัพย์สินแก่น้องมามากมาย แต่เมื่ออยู่ที่หยุนจิงแล้วน้องเสมือนคนไร้รากฐาน ภายภาคหน้าทรัพย์สินเหล่านี้จะต้องได้รับการดูแลจำเป็นต้องมีคนเพิ่มมากขึ้น ไม่มีจวนเป็นของตนเองคงไม่ได้เจ้าค่ะ”
จี้หลิงคิดตามก็พบว่าที่นางพูดมามีเหตุผลเขาจึงรับตั๋วเงินไว้ “ได้ พี่จะไปพูดกับท่านแม่ให้เอง”
ฮูหยินจี้ได้ยินอย่างนั้นก็รีบพูดขึ้นมาว่า “ถ้าอย่างนั้นลูกก็จัดการซื้อจวนให้น้องเถอะที่นางพูดมาก็มีเหตุผล ในเมื่อมาอยู่ถึงเมืองหลวงแล้วจะไม่มีเรือนของตนเองได้อย่างไร”
ดังนั้นจี้หลิงจึงออกไปจัดการเรื่องให้ เมื่อเดินผ่านน้องห้าเขาก็อดส่ายหน้าไม่ได้ น้องห้าของเขาคนนี้ดูเป็นเด็กไม่รู้จักโต เฮ้อ…เขาอยากจะถอนหมั้นแทนน้องหญิงจริงๆ น้องหญิงมีความสามารถเพียงนี้ควรพูดเรื่องแต่งงานดีหรือไม่
แล้วใบหน้าของหยางชูก็ปรากฏขึ้นในความทรงจำของจี้หลิง ตัวเขาถึงกับสั่นเทิ้ม
ไม่ได้ๆ คนอย่างเขาต่อให้ชาติตระกูลสูงส่งก็ไม่ได้!
แล้วยังมีชื่อเสียงเรื่องดวงกินภรรยาอีกหมั้นกับใครคนนั้นเกิดเรื่องไม่ว่าอย่างไรเขาไม่ยอมให้เกิดขึ้นเด็ดขาด!
……….
จี้หลิงกลับมาอีกครั้งเขาได้ทำสัญญากับเจ้าของจวนข้างเคียงเรียบร้อยแล้ว ตกลงกันว่าวันรุ่งขึ้นจะไปที่ส่วนราชการเพื่อทำการโอนสิทธิ์ จวนนี้ปล่อยให้ครอบครัวอื่นเช่ามาหลายปีสภาพแวดล้อมจึงไม่ค่อยดีนัก
หมิงเวยเจรจากับฮูหยินจี้ไปว่า “ท่านป้าเจ้าคะ หลานอยู่กับพวกท่านที่นี่ เรามาเชื่อมสองจวนเข้าด้วยกันดีหรือไม่เจ้าคะให้บ่าวอาศัยอยู่ที่จวนนู้น หากเป็นแบบนั้น ซ่อมแซมลานด้านนอกอีกสักหน่อยพี่ห้าจะได้ย้ายเข้ามาได้ พวกเราจะได้อยู่อาศัยกันได้กว้างขึ้น ท่านลุงกับท่านพี่จะได้สร้างห้องหนังสือขึ้นมาได้”
เดิมทีฮูหยินจี้ก็วางแผนไว้อย่างนั้นนางจึงเห็นด้วยอย่างยิ่ง “แบบนี้ดีเลย ป้าเองก็ไม่อยากให้หลานย้ายไปอยู่ที่จวนนู้นเท่าไรนัก” ดังนั้นจึงไปปรึกษาจี้หลิงว่าจะซ่อมแซมจวนอย่างไรดี
เมื่อนายท่านจี้กลับมาเรื่องนี้ก็ได้วางแผนเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว
นายท่านจี้ตกใจไปชั่วขณะเขารู้สึกละอายใจ “ลุงใช้ไม่ได้จริงๆ ต้องให้หลานควักเงินออกมาซื้อจวนเอง…”
หมิงเวยยังไม่ทันเปิดปาก ฮูหยินจี้ก็ชิงพูดไปก่อนว่า “ท่านจะคิดเล็กคิดน้อยเรื่องนี้ทำไม เสี่ยวชีเป็นสตรีมีจวนอยู่ข้างเคียงก็เป็นเรื่องที่ดี ถึงเราจะมีเงินซื้อก็มิสู้ให้นางซื้อด้วยตนเองจะดีกว่าหรือ”
………………