หมิงเฉิงสงสัยถึงแม้เขาจะมีสหายคนสนิทในเมืองหลวง แต่พวกเขาก็ไม่รู้ว่าตนออกจากคุกเมื่อไร…
“นายของท่านคือผู้ใดงั้นหรือ”
เมื่อเห็นว่าสีหน้าของอีกฝ่ายไร้ความยินดี คนผู้นั้นจึงหยุดชะงักแล้วตอบไปว่า “นายของข้าน้อยแซ่จี้ขอรับ”
หมิงเฉิงงงวยคนของตระกูลจี้งั้นหรือ เขาไม่เห็นจำได้เลย!
ทันใดนั้นฮูหยินสี่ก็นึกขึ้นมาได้ นางดึงหมิงเฉิงเข้ามาแล้วกระซิบบอก “ตระกูลของท่านป้าสาม”
ครอบครัวของท่านป้าสามงั้นหรือ หมายความว่า…แววตาของหมิงเฉิงมีความสับสน
หมิงคุนถามตรงๆ ไปว่า “พี่เจ็ดให้คนมารับพวกเราหรือ”
หมิงเฉิงเห็นอีกฝ่ายไม่กล่าวปฏิเสธอะไร ก็คงจะเป็นอย่างนั้น เมื่อนึกถึงเรื่องราวที่ตงหนิง เขาก็ก้าวขาไม่ออก
เมื่อคิดจะเอ่ยคำปฏิเสธออกไปอีกฝ่ายก็พูดขึ้นมาว่า “คุณชายสี่ไม่ต้องละอายใจขอรับ นายของข้าน้อยบอกว่ากรรมเกิดจากเหตุ มีเหตุจึงมีผลตามมา พี่น้องควรยื่นมือช่วยเหลือ นี่เป็นความปรารถนาดีที่ต้องตอบแทน เมื่อจบเรื่องนี้ก็ไม่มีอะไรต้องข้องเกี่ยวกันแล้ว”
หมิงเฉิงก้มหน้ามองน้องชายและน้องสาวที่ร่างกายอ่อนแอแล้วกัดฟันพูดไปว่า “ขอบพระคุณมากขอรับ”
แล้วทั้งสี่คนก็ขึ้นรถม้าเดินทางไปได้ครึ่งชั่วยามรถม้าก็หยุดลง “เชิญคุณชายขอรับ” หมิงเฉิงพาครอบครัวของตนลงจากรถม้า สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นเรือนหลังเล็กหลังหนึ่ง
คนผู้นั้นเปิดประตูและพาพวกเขาเข้าไปด้านในพร้อมกับยื่นโฉนดแผ่นหนึ่งให้พวกเขา “เรือนหลังนี้นายของข้าน้อยได้จ่ายค่าเช่าให้เป็นเวลาสามเดือน นอกจากนี้ในครัวยังมีข้าวสารอาหารแห้งให้ซึ่งพอทานได้สองเดือนแล้วเงินก้อนนี้ พวกท่านเพิ่งออกมาจากที่นั่นควรไปร้านยาเพื่อดูอาการจะดีกว่า ออกจากซอยนี้ไปจะเป็นถนนสายหลักผิงอันคงทำมาหากินได้ไม่ยาก” หมิงเฉิงไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะคิดอย่างรอบคอบถึงเพียงนี้เขาก้มศีรษะขอบคุณ
อีกฝ่ายยิ้มและพูดว่า “ผู้มีจิตใจดีย่อมได้รับสิ่งที่ดี ข้าน้อยขอตัวขอรับ”
เมื่อคนผู้นั้นจากไปหมิงเฉิงถอนหายใจในใจแล้วคิดจะเรียกน้องสาวน้องชายให้ไปอาบน้ำล้างตัว แต่ไม่คิดว่าเมื่อหันกลับไปจะเห็นใบหน้าอาบน้ำตาของหมิงเซียง
“อาเซียง เป็นอะไรไปเจ็บตรงไหนงั้นหรือ”
หมิงเซียงเช็ดน้ำตาบนใบหน้าแล้วส่ายหัว “น้องไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ เพียงแต่…ไม่คิดว่าพี่เจ็ด…”
คืนนั้นแม้นางจะไม่อยู่ในเหตุการณ์ แต่เมื่ออยู่ในคุกกับญาติผู้หญิงคนอื่นๆ ฮูหยินหกกลายเป็นบ้า ตะโกนด่าเช้าเย็นนางจึงรู้เรื่องราวทุกอย่าง
หมิงคุนถามว่า “พี่สี่ หลังจากนี้พวกเราจะไม่ได้พบพี่เจ็ดแล้วงั้นหรือ” หมิงเฉิงอ้าปากไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้
ฮูหยินสี่พูดเสียงเบา “ไม่ได้พบกันน่ะดีแล้ว นางอยู่ตระกูลจี้ถึงจะพูดไม่ได้ว่าร่ำรวยอะไร แต่นางก็เป็นคุณหนูตระกูลขุนนาง…เพราะฉะนั้นลืมกันและกันเสียเถอะ!”
แล้วทั้งสี่ก็ไปอาบน้ำอาบท่า ทำอาหารทาน จากนั้นก็พักผ่อนโดยไม่พูดถึงเรื่องนี้กันอีก
เช้าวันต่อมาหมิงเฉิงเดินทางไปรับบิดา เมื่อเขาไปถึงศาลว่าการ เจ้าหน้าที่กลับบอกว่านายท่านสี่ออกไปแล้ว และทิ้งจดหมายฉบับหนึ่งไว้ให้เขา
จดหมายฉบับนี้เป็นกระดาษฟางที่ยับยู่ยี่ที่มีร่องรอยเปียกชื้น ตัวอักษรหวัดๆ บนกระดาษถูกเขียนด้วยดินสอถ่าน
อาเฉิงลูกพ่อ พ่อไม่มีหน้าไปพบพวกเจ้าจึงตัดสินใจเดินทางต่อไปข้างหน้า
วันนั้นในห้องเซ่นไหว้ผู้ตาย ลูกคงรู้แล้วว่าพ่อนั้นขี้ขลาดเพียงใด ที่เสี่ยวชีพูดมานั้นถูกแล้ว พ่อไม่มีคุณสมบัติที่จะทำสิ่งใดหลังจากนี้ ไม่สมควรอยู่ร่วมกับพวกเจ้าเป็นครอบครัวที่มีความสุข
ตลอดสามสิบปีที่ผ่านมาพ่อใช้ชีวิตด้วยความสับสน แต่จากวันนี้ไปพ่อจะชดใช้ความผิดด้วยชีวิตที่เหลือนี้ ลูกดูแลท่านแม่กับน้องๆ ให้ดีแล้วพ่อจะหาเงินและเสบียงส่งไปให้พวกเจ้า
พ่อ
หมิงเฉิงน้ำตาไหล แต่รู้ว่านี่เป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแล้ว หลังท่านป้าสามเสียไป บิดาใช้ชีวิตบนความรู้สึกผิดอยู่ทุกวัน เขาไม่สามารถกลับมาอยู่กับครอบครัวอย่างสบายอกสบายใจได้ การทำเช่นนี้คือการไถ่บาปและเพื่อความสบายใจ
ในฐานะลูกเขาทำได้เพียงภาวนาให้บิดาของตนปลอดภัยในสถานที่ที่เขาไม่รู้จัก
……….
ค่ำคืนไม่กี่วันถัดมาหมิงเวยมาพบหยางชูบนหลังคา
“คนที่ควรถูกตัดหัวก็ตัดไปแล้ว คนที่ควรเนรเทศก็เนรเทศไปแล้ว คดีนี้ได้จบลงไปแล้ว” หยางชูพูด “ส่วนคนตระกูลหลีผู้นั้นถูกตัดสินให้เนรเทศ แต่ข้าเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว เขามีชีวิตอยู่ไม่ถึงจุดหมายปลายทางแน่นอน”
หมิงเวยลืมตาและพยักหน้าให้เขา “ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ”
หยางชูปัดเสื้อผ้าของตนและนั่งลงบนหลังคา “หลายวันมานี้ทุกครั้งที่พบกันท่านเอาแต่พูดคำนี้กับข้า ข้าฟังจนเบื่อแล้วไม่เปลี่ยนเป็นคำอื่นบ้างเลยหรือ”
หมิงเวยยิ้ม “แล้วท่านอยากให้ข้าขอบคุณท่านแบบไหนหรือเจ้าคะ”
เหมือนหยางชูต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อสบตาเข้ากับดวงตาอันสุกสกาวใต้แสงจันทร์ คำพูดทั้งหมดล้วนติดอยู่ในลำคอ
เขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อยจึงพยายามเปลี่ยนเรื่อง “สมาชิกตระกูลหมิงที่เป็นหญิง ครอบครัวของพวกนางได้มารับกลับไปแล้ว แต่ด้วยสถานะเช่นนั้นคงใช้ชีวิตลำบากในภายภาคหน้า ส่วนครอบครัวของฮูหยินสี่ไม่เหลือแล้ว ตอนนี้นางใช้ชีวิตอยู่กับลูกๆ ทั้งสามคน”
หมิงเวยพยักหน้าเรื่องนี้นางทราบมาก่อนแล้ว คนของเขาที่ตนยืมไปได้กลับมารายงานหลังจัดการเรื่องเสร็จแล้ว
“นายท่านสี่ไม่ได้กลับมา ข้าให้คนไปสืบดูเขาไปทำมาหากินนอกเมืองหลวงแล้ว อีกทั้งทำงานค่อนข้างหนักเอาการ แต่ดูจากสภาพเขาแล้วดูเหมือนเขาจะสบายดีนะ”
หยุนจิงเป็นเมืองใหญ่ และชานเมืองก็มีความเจริญรุ่งเรืองมากกว่าเมืองธรรมดา ถือเป็นสถานที่ที่ดีในการหาเลี้ยงชีพ
เขาพูดต่อว่า “ส่วนพี่สี่ของท่าน หากไปเป็นผู้ช่วยทำบัญชีล่ะก็คงลำบากนิดหน่อย แต่ก็เพียงพอที่จะเลี้ยงดูครอบครัว”
หมิงเวยถอนหายใจ “เรื่องนี้ข้ารู้แล้วท่านไม่จำเป็นต้องพูดอีกรอบหรอก”
“….”
“ท่านมาหาข้ากลางดึกเช่นนี้ก็เพื่อพูดเรื่องนี้หรือเจ้าคะ”
หยางชูก้มหน้าลงเขานั่งเงียบๆ ไม่พูดอะไร เห็นเขาเป็นเช่นนี้แล้วหมิงเวยก็ใจอ่อน อาจเป็นเพราะเขาอารมณ์ไม่ค่อยดีจึงมาหานางเพื่อหาเพื่อนคุยใช่หรือไม่ ตั้งแต่กลับมาที่เมืองหลวงดูเหมือนเขาจะอารมณ์ไม่ดีบ่อยขึ้น
“ท่านไม่อยากพูดเรื่องอื่นถ้าอย่างนั้นฟังข้าเป่าขลุ่ยดีหรือไม่” หยางชูพยักหน้าเงียบๆ
หมิงเวยจึงหยิบขลุ่ยออกมาและนำไปแตะที่ริมฝีปาก เสียงขลุ่ยสะอื้นแผ่วเบา คลอเคล้าไปกับสายลมยามค่ำคืน ท่วงทำนองช่างสงบราวกับไร้ความรู้สึก
หยางชูฟังอยู่นานเมื่อเห็นว่าผู้คนกลับห้องพักผ่อนไปนางจึงหยุดเป่า
เขารู้ดีว่าตนเองควรกลับได้แล้ว แต่ร่างกายกลับบอกเขาอย่างซื่อสัตย์ว่าไม่ต้องการกลับไปหลังจากต่อสู้กับตนเองอยู่นานในที่สุดก็ลุกขึ้นยืน
“ข้าไปล่ะ เรื่องที่ท่านให้ข้าไปสอบถามได้เรื่องแล้วถ้ามีข่าวที่แน่ชัดเมื่อไรข้าจะมาแจ้งท่าน”
หมิงเวยพยักหน้า “ได้เจ้าค่ะ”
เขาลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่ในที่สุดเขาก็กระโดดหายเข้าไปในความมืด หมิงเวยกระโดดลงจากหลังคาแล้วมองไปยังคนที่อยู่ภายในเงาของกระถางดอกไม้ “ฟังพอหรือยัง”
จี้เสียวอู่แค่นหัวเราะ “เจ้ายังมีสามัญสำนึกของความเป็นคู่หมั้นอยู่หรือไม่ เหตุใดจึงต้องนัดเจอกันกลางดึกอยู่เสมอด้วย” หมิงเวยหัวเราะออกมาเบาๆ
จี้เสียวอู่ไม่พอใจ “มีอะไรให้น่าหัวเราะกัน! หากเป็นเช่นนี้อีกข้าจะไปบอกท่านพ่อท่านแม่!”
“แล้วทำไมท่านไม่พูดล่ะ” จี้เสียวอู่ชะงัก
หมิงเวยพูดด้วยความจริงใจ “พี่ห้าท่านช่างเป็นคนดีจริงๆ”
ใบหน้าของจี้เสียวอู่เปลี่ยนเป็นสีแดง เขาเหลือบตามองบน “ไร้สาระ!”
พอหันกลับไปและเดินไปได้สองก้าวเขาก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “จริงสิ ท่านแม่บอกว่าพรุ่งนี้ให้พาเจ้าไปสถานศึกษาด้วย อย่าสายล่ะ” จากนั้นก็เดินหายออกไปอย่างรวดเร็ว หมิงเวยมองเขาเดินจากไปแล้วกลับเข้าห้องตนเอง
สถานศึกษา! เด็กสาวในเมืองหลวงล้วนได้เล่าเรียนหนังสือ ปีนี้นางเพิ่งอายุสิบห้า แล้วยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ยังออกเรือนไม่ได้ ท่านลุงท่านป้าจึงอยากให้นางได้เรียนหนังสือ เช่นนั้นก็ดีได้ไปเรียนก็ออกจากจวนได้ มีอิสระมากกว่าเดิม
………………