“ท่านอย่าเพิ่งใจร้อนไปพวกเรามาวิเคราะห์เรื่องนี้กันก่อนเถิด” หมิงเวยรีบเปลี่ยนเรื่อง
นางรู้สถานการณ์ปัจจุบันดีด้วยความสามารถของตนเองในตอนนี้ หยางชูต้องมองหาปัญหาของตนเป็นแน่จึงทำได้เพียงนอนให้ผู้อื่นเข่นฆ่า หยางชูเหลือบมองนางแต่ไม่พูดอะไร
หมิงเวยนั่งลงข้างเขาราวกับเป็นพี่น้องที่ดี ก่อนอื่นต้องสร้างภาพลวงตาของความใกล้ชิดแล้วจากนั้นก็ปลอบโยนให้อารมณ์ที่กำลังโกรธนี้สงบลงก่อน
“ปีนี้ท่านอายุสิบเก้า ถ้าอย่างนั้นท่านก็เกิดในศักราชหยวนคังที่ยี่สิบแปด ในตอนนั้นคนผู้นั้นคงดำรงตำแหน่งจ้าวอ๋อง”
“ก็เกือบได้รับตำแหน่งชูจวิน[1]แล้ว” หยางชูพูด
“ได้ๆๆ เจ้าค่ะ” หมิงเวยพูดคล้อยตาม “ท่านเกิดหลังจากบิดาเสีย หมายความว่านายท่านหยางรองเสียในปีหยวนคังที่ยี่สิบเจ็ดใช่หรือไม่”
หยางชูพยักหน้า “ท่านย่าบอกว่าในตอนนั้นไท่จื่อกำลังต่อสู้เพื่อชิงบัลลังก์กับองค์ชายรอง เนื่องจากร่างกายของท่านไม่ค่อยดีจึงไปรักษาตัวที่เจียงชาน ตอนที่เกิดเรื่องขึ้นท่านพ่อจึงขี่ม้าเร็วเพื่อเรียกท่านกลับมาที่เมืองหลวง แต่คงเพราะรีบร้อนเกินไปม้าที่ท่านขี่ลื่นตกข้างทาง ตอนนั้นท่านไม่เป็นอะไร แต่หลังจากนั้นมาอาการป่วยของท่านก็กำเริบขึ้นและเป็นอันตรายมาก”
หมิงเวยจดจำให้ขึ้นใจแล้วพูดออกไป “เห็นไหมเจ้าคะ ปัญหาอยู่ที่ตรงนี้ หากบิดาของท่านเสียชีวิตท่ามกลางการก่อกบฏ ในตอนนั้นท่านน่าจะยังอยู่ในครรภ์มารดา คนผู้นั้นเมื่อยังเป็นจ้าวอ๋อง รักในกฎเกณฑ์ไม่มีอำนาจใดๆ”
พี่น้องสามอันดับแรกแข็งแกร่งเกินไป ไท่จื่อ ฉินอ๋อง และจิ้นอ๋องมีอายุใกล้เคียงกัน ซึ่งมากกว่าเขาถึงสิบกว่าปี อีกทั้งต่างมีอำนาจเป็นของตนเองอยู่ก่อนแล้ว จ้าวอ๋องซึ่งมีอายุน้อยที่สุดแทบจะไม่มีตัวตนอยู่เลย
“ท่านคิดว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนั้นเขาจะคิดไม่ซื่อกับสะใภ้ของผู้เป็นพี่สาวหรือ โดยเฉพาะพี่สาวผู้นี้ที่มีอำนาจทางการทหารมีส่วนช่วยในการก่อตั้งอาณาจักร จวนโป๋วหลิงโหวในตอนนี้ได้ถอนตัวออกจากศูนย์กลางอำนาจแล้ว และเท่าที่ข้ารู้พวกเขายังคงมีเกียรติและชื่อเสียงในด้านการทหารอยู่” หยางชูพยักหน้าอย่างช้าๆ
องค์หญิงหมิงเฉิงในตอนนั้นไม่ต้องพูดถึงจ้าวอ๋องเลย ไท่จื่อและองค์ชายทั้งสามคนต่อหน้านางดูเหมือนเป็นน้องชายที่ดี นางที่มีอายุมากที่สุดบุกเข้ายึดอำนาจข้างกายผู้เป็นบิดา ไท่จู่ปฏิบัติต่อบุตรสาวคนนี้ได้ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
แน่นอนว่านางคือองค์หญิงหมิงเฉิง บุตรชายเขาไม่ขาดแคลน แต่ถ้าตามความรู้สึกแล้วเขารักบุตรสาวคนนี้มากที่สุด
“ท่านจะบอกว่าหลังท่านพ่อเสียท่านแม่ได้…”
“ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นเจ้าค่ะ” หมิงเวยปฏิเสธในทันทีหากไม่มีหลักฐานตนไม่สามารถตัดสินแบบนั้นได้จึงหลีกเลี่ยงไม่ให้เขามาคิดบัญชีนางในภายหลัง “ข้าหมายถึงท่านคิดว่าตอนที่บิดาท่านยังไม่ตาย มารดาท่านอยู่กับคนผู้นั้นหรือความเป็นไปได้แทบไม่มีเลย”
ความสับสนปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหยางชูอย่างเห็นได้ชัด “แล้วหลังจากนั้นท่านแม่อยู่กับคนผู้นั้นหรือแล้วเหตุใดข้าถึงเกิดในตระกูลหยาง”
“เอาอย่างนี้เจ้าค่ะ” หมิงเวยวิเคราะห์ให้เขาฟังทีละเรื่อง “ทิ้งความเป็นไปได้นั้นไป มารดาท่านอยู่กับคนผู้นั้นน่าจะเป็นช่วงหลังที่บิดาท่านเสียไป และมีความเป็นไปได้สูงที่ท่านจะเป็นบุตรของนายท่านหยางรองไม่ใช่บุตรที่เกิดจากความสัมพันธ์ชู้สาว…”
“เป็นไปไม่ได้” หยางชูส่ายหน้า “หากเป็นเช่นนั้นจริงเหตุใดท่านย่าถึงพูดแบบนั้นก่อนที่ท่านจะเสียล่ะ”
“มันแปลกที่ตรงนี้เจ้าค่ะ” นางพูด “บังคับให้บุตรชายตนเองถูกสวมหมวกเขียวคนปกติเขาไม่ทำเช่นนั้นกันหรอก ดังนั้นข้าคิดว่ามีความเป็นไปได้อยู่สองอย่าง หนึ่งคือเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องจริง ท่านย่าของท่านอาจทนทุกข์ทรมานจากการสูญเสียบุตรชายมานานนับสิบกว่าปีท่านจึงสับสนก่อนเสียชีวิตถึงได้พูดออกไปเช่นนั้น”
หยางชูส่ายหน้าปฏิเสธเขาไม่เชื่อมันไม่น่าเป็นไปได้ หมิงเวยเองก็ไม่เชื่อ นางเชื่อในทักษะการดูชี่ของตนเองแค่ดูก็รู้แล้วว่าหยางชูนั้นต่างออกไปเพราะเขามีชี่ของมังกรที่แท้จริงแม้จะเบาบางก็ตาม กล่าวได้ว่ามีเพียงราชวงศ์ที่แท้จริงเท่านั้นที่จะมีโชคชะตาเช่นนี้ ต้องเป็นสายเลือดมังกรเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นสายเลือดเจือจางของราชวงศ์สองรุ่นไม่มีทางที่จะแสดงออกเช่นนี้
“ความเป็นไปได้ที่สองคือ มารดาของท่านกับคนผู้นั้นอาจมีอดีตที่ไม่สามารถบอกได้ เกิดความผิดพลาดจนมีท่านขึ้นมา”
หมิงเวยพูดถึงเรื่องนี้แล้วส่ายหน้า “พูดตามตรงข้ารู้สึกว่าท่าทีของท่านย่าของท่านแปลกมาก นางรักและดูแลท่านมาสิบหกปีเหตุใดถึงได้มาพูดเรื่องเช่นนี้ก่อนตาย พูดง่ายๆ อาจจงใจให้ท่านรับไม่ได้”
“เพราะอย่างนั้นข้าเลยต้องการทำให้แน่ใจ” หยางชูพูด “หลังจากนั้นข้าก็จำเหตุการณ์ตอนที่ข้ายังเด็กได้ เมื่อข้าอายุประมาณเจ็ดแปดขวบ ท่านย่าพาข้าไปที่เสวียนตูกวันเพื่อไปพบนักบวชซอมซ่อท่านหนึ่ง เขาเห็นข้าเป็นครั้งแรกก็พูดขึ้นว่าข้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไป”
“เสวียนตูกวันงั้นหรือ เขาเป็นเสวียนชื่อหรือเจ้าคะ”
หยางชูพยักหน้าช้าๆ “จนถึงตอนนี้ข้าก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นผู้ใด ตอนนั้นท่านย่าทิ้งข้าไว้กับเขาแล้วจากไป นักบวชซอมซ่อผู้นั้นถามข้าว่าอยากไหว้เขาเป็นอาจารย์หรือไม่ ข้าไม่อยากเป็นเสวียนชื่อจึงปฏิเสธไปซึ่งเขาก็ไม่บังคับข้า พอสอนข้าไปได้สักพักเขาก็จากไป”
“เขาสอนอะไรท่านหรือ” หมิงเวยรู้สึกสนใจมาก
หยางชูเลิกคิ้วก่อนกล่าว “เดิมทีเขาอยากสอนเคล็ดวิชาให้ข้า แต่เขาบอกว่าตามกฎแล้วไม่สามารถถ่ายทอดได้ หากอยากเรียนรู้จริงๆ ต้องยกเขาเป็นอาจารย์และเข้าเรียนที่นี่ ในเมื่อข้าไม่ยกเขาเป็นอาจารย์เขาเลยสอนวิชากระบี่ให้ชุดหนึ่ง ข้าอยู่กับเขาอยู่ประมาณสองสามเดือนได้ ตอนที่เขาจากไปท่านย่าก็มารับข้า…”
เขาตกอยู่ในห้วงความคิดผ่านไปสักพักก็พูดขึ้นว่า “ท่านย่าพูดคุยกับเขาในห้องและให้ข้าออกไปเล่น แต่ข้าแอบฟังพวกเขาอยู่นอกหน้าต่าง นักบวชผู้นั้นพูดว่าเดิมทีเขาอยากพาข้าไปด้วย พาออกไปจากโลกโลกีย์นี้ แต่น่าเสียดายที่ข้ากับเขาไร้วาสนาการเป็นลูกศิษย์กับอาจารย์…”
“แล้วท่านย่าของท่านว่าอย่างไรเจ้าคะ”
หยางชูส่ายหน้า “ท่านย่าไม่พูดอะไร ท่านแค่ขอบคุณเขาอย่างจริงใจแล้วถามเขาว่ามีโอกาสที่จะได้เจอเขาอีกหรือไม่ เขาบอกว่าน่าจะไม่ได้เจอกันแล้ว ท่านย่าถามอีกว่า ชะตากรรมของข้ามีวิธีแก้หรือไม่ แต่นักบวชกลับบอกว่าหากอยากมีชีวิตยืนยาวทางที่ดีที่สุดคือไม่ต้องแก้ไขอยู่คนเดียวไปจนแก่เฒ่าไม่มีอะไรไม่ดี อีกทั้งเขาจะได้รับอิสระมากมายเสียอีก”
หมิงเวยได้ยินก็เข้าใจขึ้นมา “เขาหมายถึงดวงกินภรรยาของท่านน่ะหรือ”
หยางชูพยักหน้า “แต่ท่านย่าก็ยังเพิกเฉย หลังจากนั้นก็จัดงานหมั้นให้ข้า แต่ผลลัพธ์…” เขาถอนหายใจ “มีเด็กผู้หญิงเสียชีวิตไปสามคนความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของท่านย่าไม่มั่นคงมานานแล้ว”
หมิงเวยส่ายหน้า “ผิดแล้วเจ้าค่ะ”
“เจ้าว่าอะไรนะ”
“พวกนางไม่ได้เสียชีวิตเพราะหมั้นหมายกับท่าน แต่เป็นเพราะโชคชะตาของพวกนางไม่ดีถึงได้มาหมั้นหมายกับท่าน” หมิงเวยอธิบายให้เขาฟัง “ที่เรียกชะตาข่มครอบครัวนั้น อันที่จริงก็ไม่ได้ลึกลับขนาดนั้นหรอกเจ้าค่ะ ต้องมีโชคชะตาก่อนถึงจะมีข่มครอบครัวได้ อย่างเช่นสามีภรรยาคู่หนึ่งมีโชคชะตาไม่ดี เด็กที่เกิดมาก็จะมีชะตาข่มครอบครัว และถึงแม้จะไม่มีบุตรพวกเขาก็โชคร้ายอยู่ดี”
“เป็นเช่นนั้นหรอกหรือ” หยางชูคิดแล้วถามนางไปว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าต้องตามหาคนที่มีโชคชะตาที่ดีงั้นหรือถึงจะแก้ไขได้”
หมิงเวยยิ้ม “ศาสตร์แห่งดวงดาวไม่ใช่ว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลง ข้าไม่ค่อยได้ทำนายโชคชะตา ท่านรู้หรือไม่เพราะเหตุใด เพราะทุกสิ่งที่มนุษย์กระทำล้วนมีผลต่อศาสตร์แห่งดวงดาว อย่างเช่นผู้ที่มีโชคชะตาไม่ดีหากเป็นคนขยันอยู่ตลอดเวลา ชะตากรรมของเขาก็มีแนวโน้มที่จะพลิกผันได้ ในทำนองเดียวกันผู้ที่มีโชคลาภหากหาเหาใส่หัวอยู่ตลอดแล้วผู้ใดจะไปหยุดเขาได้ คนเดียวที่สามารถตัดสินชะตากรรมได้คือตัวเราเอง”
“สิ่งที่เรียกว่าดวงกินภรรยานั้นถึงหาผู้ที่มีโชคชะตาที่ดีก็ไม่อาจแก้ไขได้เพราะท่านไม่สามารถรับประกันได้ว่าชะตากรรมของนางจะเปลี่ยนไปหรือไม่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทั้งชีวิตนี้ท่านจะไม่สามารถแต่งงานได้เรื่องที่ท่านทำจะส่งผลต่อชะตากรรมของท่านด้วย”
“ถ้าเป็นเช่นนั้นนักบวชท่านนั้นเหตุใดถึงพูดว่าไม่สามารถแก้ไขได้เล่า”
หมิงเวยแตะคาง “จากสัญชาตญาณของข้า คำพูดของเขาอาจไม่ได้มาจากมุมมองของโชคชะตา บางทีเขาต้องการหลอกล่อให้ท่านกลายเป็นนักบวชก็เป็นได้”
………………
[1] ชูจวิน : ว่าที่กษัตริย์