สมาคมคณิกาเลื่องชื่อที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ดูไม่น่ามีเบื้องหลังอะไร
นอกจากหมิงเวยแล้วด้านหลังยังมีองครักษ์ที่ผู้จัดการเชิญมา เจ้าหน้าที่ที่รักษาความสงบเรียบร้อยและยอดฝีมืออิสระที่อยู่ที่สระฉางเล่อพอดีซึ่งคนที่กระโดดขึ้นมาบนเรือสำราญนั้นมีทั้งหมดแปดเก้าคน
ช่างเป็นเรื่องบังเอิญที่เจ้าหน้าที่ผู้นั้นเป็นคนที่พวกเขาคุ้นเคยเขาเป็นหนึ่งในองครักษ์ที่คุ้มกันเจี่ยงเหวินเฟิงยามไปเยือนตงหนิงนามเกาฮ่วน
เมื่อเห็นหยางชู เกาฮ่วนก็เข้ามาคารวะเขา “คารวะ คุณชายสาม”
หยางชูพยักหน้า “ครั้งนี้ท่านได้เลื่อนตำแหน่งใช่หรือไม่”
เกาฮ่วนยิ้ม “ตอนนี้ข้าน้อยทำงานอยู่ที่สำนักหลวงแล้วบังเอิญมาทำธุระแถวนี้ขอรับ” พูดจบสายตาของเขาเลื่อนไปมองหมิงเวยที่สวมหน้ากาก อีกฝ่ายเข้าใจได้ในทันที
องครักษ์เหล่านี้ที่เคยไปตงหนิงรู้ดีว่าคุณหนูเจ็ดผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป เนื่องจากนางเป็นสตรีในห้องหออีกทั้งมีใบหน้าเช่นนั้นจึงไม่ควรเปิดเผยตัวในสถานการณ์เช่นนี้
เกาฮ่วนถามหยางชู แต่ที่จริงแล้วเขาถามหมิงเวย “คุณชาย เป็นอสูรน้ำจริงๆ หรือขอรับ สามารถช่วยชีวิตคนได้หรือไม่” หมิงเวยลืมตาขึ้นแล้วมองไปที่ผิวน้ำที่มืดมิดเพื่อมองหาที่ตั้งของอสูรน้ำ
องครักษ์ของสมาคมคณิกาเลื่องชื่อเห็นเกาฮ่วนก็เดินเข้ามาทักทาย เดิมทีต้องการถามความเห็นจากอีกฝ่าย แต่ทันใดนั้นเขาก็เห็นคนสุดท้ายที่กระโดดขึ้นมาบนเรือ เสื้อผ้าที่สวมใส่เป็นชุดกระโปรงลายตารางสีน้ำเงินเข้มอ่อนคล้ายชุดผ้าตัดปะลายตารางนาข้าว ช่างงดงามเกินจริง ดวงตาขององครักษ์เป็นประกายเขาเดินตรงไปทำความเคารพ “ไม่ทราบว่าท่านเป็นนักพรตจากเสวียนตูกวันหรือไม่”
คนผู้นี้ดูอายุประมาณยี่สิบต้นๆ ดูอ่อนเยาว์หล่อเหลา คิ้วชี้ตรงทำให้ดูมีความเย่อหยิ่ง “ใช่”
องครักษ์ดีใจมาก “มีเซียนให้ความช่วยเหลือโชคดีสามชาติจริงๆ ไม่ทราบว่าท่านมีนามว่าอะไรหรือ”
“ข้ามีนามว่าจวินโม่หลี”
“ท่านนักพรตจวิน เรื่องช่วยคนเป็นเรื่องเร่งด่วนไม่ทราบว่าต้องช่วยอย่างไรหรือ”
เมื่อเขาพูดจบก็ได้ยินเสียง ‘จ๋อม’ องครักษ์ตกใจ “มีคนถูกจับตัวไปอีกหรือ”
“ไม่ใช่ขอรับ” ผู้ใต้บังคับบัญชาตอบ “เป็นคุณชายที่แบกกู่ฉินท่านหนึ่งกระโดดลงไปช่วยขอรับ”
องครักษ์ตกใจจากนั้นก็โกรธ “คนผู้นั้นเหตุใดถึงได้บ้าบิ่นเช่นนี้ นั่นอสูรน้ำนะ หากไม่มีนักพรตชี้แนะเกิดเรื่องขึ้นมาจะทำอย่างไร”
นักขับร้องหญิงที่ซ่อนตัวอยู่หลังกลองใหญ่พูดเสียงสั่น “ท่านฝาน นั่น นั่นคุณชายหนิง!”
ท่านฝานผงะ “คุณชายหนิงไหนกัน”
ผู้ใต้บังคับบัญชารีบตอบ “ท่านฝาน ท่านจำไม่ได้หรือ คุณชายหนิงที่ก่อนหน้านี้ได้สร้างความประหลาดใจให้กับผู้ชมในจุ้ยเก๋อโหลวอย่างไรเล่า” ท่านฝานพลันนึกขึ้นมาได้
เป็นคุณชายหนิงท่านนั้น!
ครั้งก่อนเขามาที่จุ้ยเก๋อโหลว และเถ้าแก่ได้บอกว่าคุณชายท่านนี้ภายหลังได้รับเชิญจากจวนโป๋วหลิงโหว หากเป็นคนผู้นี้ละก็จะให้เขาเป็นอะไรไปไม่ได้เด็ดขาด
เขารีบไปขอคำแนะนำจากจวินโม่หลี “นักพรตจวิน ท่านว่า…”
จวินโม่หลีพูด “ให้ข้าดูอสูรน้ำ…”
ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบเสียง ‘จ๋อม’ ก็ดังขึ้นอีกครั้ง
ท่านฝานเป็นกังวล “คราวนี้ผู้ใดอีกล่ะ”
ผู้ใต้บังคับบัญชาตอบอย่างระมัดระวัง “เป็น เป็นใต้เท้าเกาขอรับ…”
เกาฮ่วนเดิมทีเป็นราชองครักษ์ เกิดในครอบครัวชนชั้นสูงตอนนี้ย้ายไปทำงานที่สำนักหลวงในตำแหน่งระดับสูง ดูแลในเรื่องคดีอาญาไม่ต้องพูดถึงท่านฝาน แม้แต่เถ้าแก่ของสมาคมคณิกาเลื่องชื่อยังต้องรบกวนให้อีกฝ่ายช่วยดูแล
ท่านฝานกลืนน้ำลายอีกครั้งและมองไปที่จวินโม่หลี “ท่านนักพรต…”
จวินโม่หลีมีสีหน้าไม่พอใจ เดิมทีเขาคิดว่าหากตนเองออกโรงทุกคนจะเชื่อฟังเขา ผู้ใดจะรู้ว่าจะถูกเพิกเฉยไม่สนใจเช่นนี้
แต่เขาไม่สามารถโกรธจนเดินหนีออกไปได้ เช่นนั้นไม่เพียงแต่ดูจิตใจคับแคบ แต่ยังทำให้ผู้อื่นคิดว่าเสวียนตูกวันเอาแต่มองคนตายไปโดยไม่ช่วยเหลืออะไร เขาจึงข่มความโกรธของตนเองไว้แล้วกล่าวว่า
“ให้ข้าเบิกเนตรสวรรค์ดูตำแหน่งของอสูรน้ำก่อน ไม่ใช่นึกจะโดดก็โดดลงไปเหมือนคนไร้หัวคิดเช่นนั้น นอกจากจะช่วยคนไม่ได้แล้วยังกลายเป็นอาหารอสูรร้ายโดยไม่ตั้งใจอีก”
“ที่ท่านกล่าวมาก็ถูกขอรับ” ท่านฝานเกรงว่าเขาจะโกรธจึงแสดงความนอบน้อบมากขึ้น “ควรช่วยผู้คนอย่างไรท่านบอกมาได้เลยขอรับ”
จวินโม่หลีปล่อยร่างกายให้ผ่อนคลาย เขางอนิ้วปล่อยพลังออกมาจากนั้นก็แตะไปที่หน้าผากตนเอง เขาเบิกเนตรสวรรค์และจ้องมองไปที่ผิวน้ำเพื่อมองหาตำแหน่งของอสูรน้ำ แต่เขากลับไม่รู้ว่าหมิงเวยหาตำแหน่งของอสูรน้ำเจอก่อนแล้ว
เมื่อนางหาอสูรน้ำพบก็เห็นว่าหนิงซิวกระโดดลงน้ำไปอย่างไม่ลังเลเป้าหมายคือตำแหน่งของอสูรน้ำ หมิงเวยจึงตระหนักได้ทันทีว่าหนิงซิวไม่เพียงแต่มีเคล็ดวิชาติดตัว แต่ยังเชี่ยวชาญมากอีกด้วย
ไม่แปลกใจเลยว่าก่อนหน้านี้ที่สถานศึกษา เหตุใดนางถึงรู้สึกคุ้นเคยกับหนิงซิว เสวียนเหมินที่เป็นถึงยอดฝีมือถึงจะเก็บซ่อนทักษะของตนเองเอาไว้ แต่ก็ยังมีกลิ่นอายประเภทเดียวกันรั่วไหลออกมาไม่มากก็น้อย
“แม่นางหมิง” เกาฮ่วนเห็นว่ามีคนกระโดดลงไปเขาก็อดใจร้อนไม่ได้
หมิงเวยหยิบยันต์จำนวนหนึ่งออกมา “ท่านก็ลงไปด้วยเถอะ กลืนใบนี้ลงไปมันจะช่วยปกป้องท่านจากสิ่งชั่วร้าย ใบนี้จะช่วยกระตุ้นศักยภาพและทำให้ประสาทสัมผัสทั้งห้าของท่านคมชัดขึ้น ส่วนใบนี้เก็บไว้ให้ดีหากมีอะไรผิดปกติข้าจะสามารถพูดกับท่านผ่านสิ่งนี้ได้” เกาฮ่วนรับไปทีละใบ
นางบอกตำแหน่งของอสูรน้ำและกำชับว่า “ระวังตัวด้วยหากเห็นท่าไม่ดี อย่าคิดดันทุรัง” เกาฮ่วนรับคำ จากนั้นเขาคำนับให้นางแล้วกระโดดลงน้ำไปอีกคน
หยางชูถามนาง “ข้าต้องลงไปด้วยหรือไม่”
หมิงเวยส่ายหน้า “ตอนนี้ไม่จำเป็นเจ้าค่ะ หนิงซิวเป็นยอดฝีมืออีกทั้งยังมีเกาฮ่วนช่วยเขา ขัดขวางไม่ให้อสูรหนีได้ก็พอแล้ว”
หยางชูได้ยินนางเรียกชื่อจึงถามออกไป “ท่านรู้จักคนผู้นั้นหรือ”
“เขาเป็นอาจารย์สอนวิชาหลักดนตรีที่สถานศึกษาที่ข้าเรียนอยู่” นางมองหยางชูอย่างแปลกใจ “ข้าได้ยินว่าเขามีความสัมพันธ์กับจวนโป๋วหลิงโหว เลยอยากถามท่านอยู่เหมือนกันว่าเขามีที่มาที่ไปอย่างไร”
หยางชูส่ายหน้า “ข้าไม่เคยพบเขา เกิดอะไรขึ้น เขากับจวนโป๋วหลิงโหวมีความสัมพันธ์อะไรกันหรือ”
“ได้ยินว่าเขามาที่เมืองหลวงเมื่อปีก่อนเจ้าค่ะ เป็นนักดนตรีที่มีชื่อเสียงในเจ๋อกุ้ยโหลว จากนั้นจวนโป๋วหลิงโหวก็มาเชิญตัวเขาไป หลังจากนั้นก็มาเป็นอาจารย์สอนกู่ฉินที่สถานศึกษาหมิงเฉิง”
หยางชูคิด “เรื่องนี้น่าจะเกิดขึ้นหลังจากที่ข้าออกจากเมืองหลวง เขาคงเป็นคนที่ไม่ท่านปู่ก็ท่านย่าเชิญตัวมา”
หมิงเวยส่ายหน้า “ข้าเองก็ไม่รู้เจ้าค่ะ”
ในขณะที่ทั้งสองคุยกันจวินโม่หลีเองก็ค้นพบตำแหน่งของอสูรน้ำแล้ว และกำลังนำทางท่านฝานและคนอื่นๆ ลงไปในน้ำ
ในตอนนั้นเองก็มีเสียง ‘ตู้ม’ ดังขึ้นจากนั้นก็มีสิ่งของสิ่งหนึ่งถูกโยนขึ้นมาตกลงบนเรือสำราญ เป็นนักเต้นระบำที่ถูกดึงลงน้ำไปนั่นเอง
“เสี่ยวม่าน!” นักขับร้องหญิงคนนั้นตะโกนขึ้น
หมิงเวยก้าวไปหาและก้มตัวฟังเสียงหัวใจตรงหน้าอกแล้วพูดว่า “ไม่เป็นอะไรแล้วนางยังมีชีวิตอยู่” จากนั้นก็ปลดคอเสื้อของอีกฝ่ายและกอดหน้าอกกับเอวให้ศีรษะคว่ำลงเพื่อเทน้ำออกมา ท่ามกลางผู้คนที่เข้ามาช่วยเหลือมีหนึ่งคนที่เป็นหญิงซึ่งนางก็ได้เข้ามาให้ความช่วยเหลือด้วย
จวินโม่หลีที่เดิมทีต้องการแสดงทักษะความสามารถของตนเอง ไม่คิดว่ายังไม่ทันได้ออกโรง ผู้เคราะห์ร้ายก็ได้รับความช่วยเหลือแล้ว สีหน้าของเขาแข็งทื่อ แต่เขาก็ได้สติอย่างรวดเร็วแล้วพูดออกไปว่า “แม้จะช่วยเหลือคนได้แล้ว แต่ก็ไม่อาจปล่อยอสูรตนนั้นไปได้ไม่เช่นนั้นต้องเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกเป็นแน่”
ท่านฝานรีบพูดออกไป “ที่ท่านนักพรตพูดมาก็ถูกขอรับ”
จวินโม่หลีมีสีหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อยเขาสั่งการออกไป “ลงน้ำกันเถอะ”
เสียง ‘จ๋อม’ ดังขึ้นหลายครั้งเป็นท่านฝานและผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา แล้วยังมีชาวยุทธภพคนหนึ่งกระโดดลงตามไปด้วย
จวินโม่หลีทำตัวให้เป็นที่สนใจ เขาจงใจทำตัวโดดเด่นด้วยการสะบัดแขนเสื้อและกระโดดลงน้ำไป แต่เขานั้นกลับไม่ตกลงไปในน้ำเขาเขย่งเท้าเล็กน้อยราวกับว่ายืนอยู่บนผิวน้ำ วิชาตัวเบาเช่นนี้ทำให้นักเต้นระบำบนเรือสำราญร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น
หญิงสาวผู้กล้าที่เข้ามาช่วยคนกับหมิงเวยถอนหายใจ “ตัวเบามาก! เสวียนตูกวันนี่สมคำร่ำลือจริงๆ”
………………