“ตึงๆๆ” เสียงขวานด้ามยาวทุบหินดังขึ้นเป็นการเริ่มต้นการแสดงของสมาคมคณิกาเลื่องชื่อ เรือดอกไม้จำนวนมากลอยอยู่ในสระฉางเล่อ โคมไฟขนาดใหญ่ทุกดวงถูกดับลงเหลือเพียงแสงเทียนเล็กน้อยที่วนรอบเรือใหญ่อย่างช้าๆ
เมื่อมองไกลออกไปราวกับว่าเวทีหลุดเขาไปในทางช้างเผือก สาวงามวัยแรกแย้มสิบนาง แต่ละคนถือเครื่องดนตรีไว้ในมือและนั่งอยู่ตรงกลางเวทีบนเรือสำราญ
สาวงามในชุดขนนกขับให้ดูสง่างามราวกับเทพธิดา เมื่อเสียงดนตรีบรรเลงขึ้น ทุกคนได้พบกับบรรยากาศงานเลี้ยงอันยิ่งใหญ่ แล้วสระฉางเล่อที่มีเสียงดังกึกก้องก็เงียบลง ไม่ใช่แค่ร้านอาหารเท่านั้น แต่เหล่าแม่ค้าพ่อค้าที่ขายอาหารทานเล่นริมทะเลสาบก็เงียบลงเช่นกันมีเพียงเสียงดนตรีที่ดังก้องในสายลมยามค่ำคืน
จนกระทั่งจบเพลงมีเสียงปรบมือดังจากทั่วทุกหนแห่ง เรือดอกไม้เหล่านั้นสว่างขึ้นอีกครั้งและมุ่งหน้าไปยังชายฝั่ง
เมื่อเรือดอกไม้เคลื่อนที่เข้ามาใกล้ทุกคนก็โยนเงินทองของมีค่า กระเป๋าเงิน ผลไม้มากมายลงไปมีจำนวนคนไม่น้อยที่โยนพลาด เหล่าผู้ทำงานหาเงินก็พุ่งดำลงไปในน้ำ
เพราะดื่มสุราไปสองแก้วจึงรู้สึกร้อนเล็กน้อย หมิงเวยจึงไปยืนตากลมอยู่ที่ริมหน้าต่างไม่คิดว่าจะได้ยินเสียงพูดคุยจากห้องข้างๆ “เหมือนเมื่อครู่คุณชายสามตระกูลหยางจะไม่ได้ตกรางวัลนะ น่าแปลกใจจริงคนทั้งเมืองหลวงต่างรู้กันว่าท่านเป็นแนวหน้าในเรื่องรักๆ ใคร่ๆ การออกเดินทางไปกับเจี่ยงเหวินเฟิงในครั้งนี้ทำให้นิสัยของท่านเปลี่ยนไปเลยงั้นหรือ”
จากนั้นก็ได้ยินเสียงหยางชูตอบตามความจริงเพียงครึ่งเดียว “ก่อนหน้านี้ข้าถูกฝ่าบาทเรียกตัวไปตักเตือน ฝ่าบาทตรัสว่าข้าเล่นอะไรไม่เข้าท่า หากทำตัวเช่นนี้ต่อไปข้าคงแต่งภรรยาไม่ได้เพื่อที่จะไม่ต้องเป็นโสดก็ควรเลิกนิสัยนี้ได้แล้ว”
ได้ยินเขาพูดเช่นนั้นทุกคนก็หัวเราะออกมานางได้ยินไท่จื่อพูดว่า “คิดเช่นนั้นก็ถูกแล้วเป็นเรื่องปกติที่จะออกมาผ่อนคลายเป็นครั้งคราว แต่ไม่ควรหลงระเริงไปกับมัน”
หยางชูยิ้มแล้วตอบกลับไปว่า “ที่พระองค์ตรัสมาถูกแล้วพะย่ะค่ะ”
หมิงเวยไม่คิดว่าจะบังเอิญขนาดนี้ที่เขามาอยู่ห้องข้างๆ นางครุ่นคิดอยู่นานแล้วหันไปพูดกับเว่ยเสี่ยวอันเพียงไม่กี่คำจากนั้นก็เดินออกจากที่นั่งชั้นพิเศษไป
นางเรียกคนส่งอาหารคนหนึ่งและยื่นนกหวีดไปให้ “รบกวนช่วยนำสิ่งนี้ไปให้คุณชายแซ่หยางหน่อย บอกไปว่ามีคนรอเขาอยู่ด้านนอก”
อีกฝ่ายมองใบหน้าของนางอย่างนึกอิจฉา แต่ก็ตอบกลับไปว่า “คุณหนูโปรดรอสักครู่”
ผ่านไปไม่นานเสียงหัวเราะดังขึ้นในห้องชั้นพิเศษและหยางชูก็เดินออกมา
เมื่อเห็นหมิงเวย เขาก็หมุนตัวขึ้นไปชั้นบน “ตามข้ามา” หมิงเวยตามเขาขึ้นไปชั้นสองและพบว่าที่นี่ไม่มีแขกมีเพียงคนที่ทำหน้าที่เฝ้ายาม
“ที่นี่เป็นกิจการของหวงเฉิงซืองั้นหรือ” นางนึกถึงร้านอาหารในตงหนิง
“อืม” หยางชูพานางเข้าไปในห้องๆ หนึ่งที่มีลักษณะเหมือนห้องพิเศษด้านล่าง แต่ไม่มีของประดับตกแต่งที่หรูหรา
เขาเปิดหน้าต่างสายลมยามค่ำคืนก็พัดเข้ามาพร้อมกับความชื้นจากทะเลสาบ
“ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่ได้” เขานำนกหวีดส่งคืนนางไป
หมิงเวยรับนกหวีดมาแล้วตอบ “ข้าออกมาเดินเล่นกับเพื่อนร่วมชั้น พวกเราอยู่ห้องข้างๆ ท่านเจ้าค่ะ”
“….” หยางชูพูด “ข้านึกว่าท่านเกิดเรื่องขึ้นซะอีก”
“หากมีเรื่องด่วนละก็คนที่มาหาท่านคงเป็นองครักษ์เงา ไม่ใช่ตัวข้า” นางจะไปรู้เบาะแสของเขาได้อย่างไร
“หากไม่มีเรื่องอะไร แม้ว่าท่านจะพบเจอข้า ก็ไม่ควรเรียกข้าออกมาเช่นนี้ ท่านคงมีเรื่องอยากคุยกับข้าใช่หรือไม่” หมิงเวยมองเขา
“ทำไมหรือ” หยางชูแปลกใจ
“คำพูดนี้ข้าควรเป็นฝ่ายถามท่าน ตั้งแต่ข้าเข้าเรียนท่านไม่เคยมาหาข้าเลยแม้แต่ครั้งเดียว”
หยางชูยิ่งรู้สึกอึดอัดแต่แสร้งทำเป็นเมินเฉย “เหตุใดข้าต้องไปหาท่านด้วย ท่านเป็นอะไรกับข้างั้นหรือ”
เดิมทีหมิงเวยแค่ถามไปอย่างนั้น แต่ไม่คิดว่าเขาจะมีปฏิกิริยากลับมารุนแรงเช่นนี้ นางขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ยิ้มออกมา “ท่านคงไม่ได้…”
หยางชูรีบพูดตัดบทนาง “มีเรื่องจะพูดก็รีบพูดมา ข้าต้องกลับไป หากถูกคนพบเห็นว่าพวกเราอยู่ด้วยกันชื่อเสียงของท่านคงไม่เหลือแล้ว”
ร้อนตัวแล้ว!
หมิงเวยรู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย เมื่อมองหยางชูก็เห็นว่าใบหน้าของอีกฝ่ายแดงระเรื่อจึงพูดออกไปว่า “ของที่ท่านให้คนส่งมาให้ข้าได้รับแล้วเจ้าค่ะประสิทธิภาพไม่เลวเลย หลายวันมานี้พลังของข้าพัฒนาขึ้นมาก แม้จะถูกโจมตีแต่คงไม่ถึงกลับไม่มีพลังโต้กลับ”
หยางชูพยักหน้าอย่างเคร่งเครียด “พูดจบแล้วใช่หรือไม่ ถ้าอย่างนั้นข้ากลับล่ะ”
“เดี๋ยวเจ้าค่ะ!” ทันทีที่ดึงแขนเสื้อของอีกฝ่ายก็ถูกสะบัดออกอย่างรวดเร็ว
หมิงเวยยิ่งแน่ใจว่าเขามีปัญหาจริงๆ คงไม่ใช่สิ่งที่นางคาดเดาไว้ใช่หรือไม่
“ท่านจะรีบไปไหนกัน ข้ายังมีเรื่องที่ต้องถามท่าน”
“เรื่องอะไร”
หมิงเวยมีเรื่องอยากถามมากมาย
เรื่องแรก เมื่อนางมาถึงเมืองหลวงแล้วก็อยากถามเรื่องเสวียนตูกวัน จากประวัติศาสตร์เดิมนั้นเสวียนตูกวันมีบทบาทสำคัญมาก ตามแผนเดิมของนางควรเริ่มต้นจากเสวียนตูกวัน
เรื่องที่สองแน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องของไท่จื่อ ในยุคสมัยของนาง เอกสารทางประวัติศาสตร์สูญหายไปมากไท่จื่อผู้นี้เป็นคนอย่างไรนางจำเป็นต้องทำความเข้าใจจากคนรอบตัวนาง
ในขณะที่กำลังพิจารณาว่าจะเริ่มถามจากตรงไหน จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องตามด้วยเสียง ‘จ๋อม’ เหมือนมีอะไรตกลงไปในน้ำ
ทั้งสองคนหันกลับไปมองแล้วเห็นว่าบนเรือสำราญ ณ ใจกลางทะเลสาบ เหล่านักดนตรีนักเต้นระบำวิ่งหนีด้วยความตื่นตระหนกมีคนตะโกนขึ้นมาว่า
“อสูรน้ำ มีอสูรน้ำ!”
สิ้นเสียงนั้นพวกเขาก็เห็นเงาโผล่ขึ้นมาจากน้ำ จากนั้นก็คว้าตัวนักเต้นระบำคนหนึ่งที่วิ่งหนีไม่ทันแล้วกระโดดกลับลงน้ำไป
สีหน้าของหมิงเวยเปลี่ยนไป “อสูรร้าย!”
นางดึงผ้ามาคลุมศีรษะและใบหน้าอย่างรวดเร็ว แต่กลับมีคนบินออกจากหน้าต่างชั้นล่างไป แขนเสื้อพลิ้วไหว ร่างกายราวกับเมฆลอยลม
หมิงเวยไม่จำเป็นต้องมองใบหน้าก็รู้ตัวตนของอีกฝ่ายดี
หนิงซิว!
“นั่นคืออสูรร้ายหรือ” หยางชูถามนาง
หมิงเวยพยักหน้า “ต้องไปช่วยคน” พูดจบนางก็กระโดดไปที่หน้าต่างแล้วออกแรงพุ่งไปที่ใจกลางบนเรือสำราญ หยางชูก็รีบตามไปทันที
ที่นั่งพิเศษชั้นล่างจี้เสียวอู่ได้ยินคนตะโกนขึ้นว่าอสูรร้ายก็ตกใจ เขารีบชะโงกไปที่หน้าต่างเพื่อมองดูเมื่อเห็นเงาที่พุ่งขึ้นจากน้ำด้วยตาตนเองเขาตะโกนออกมา “ตัวฝูๆ!”
ไม่ต้องให้เขาเรียกตัวฝูก็เดินมาแล้วสีหน้าของนางเปลี่ยนไปทันที “อสูรร้าย! ”
“เป็นอสูรร้ายจริงๆ หรือ แล้วพวกเราจะทำอย่างไรดี เห็นคนตายจะไม่ช่วยได้อย่างไร” พูดจบเสียงอุทานก็ดังขึ้นข้างหู
พวกเขาชะโงกหน้าไปดูเห็นหลายคนกระโดดออกจากร้านอาหารและชายฝั่ง ใช้วิชาตัวเบามุ่งหน้าไปยังเรือสำราญ
แล้วดวงตาอันเฉียบคมของจี้เสียวอู่ก็สังเกตเห็นร่างที่คุ้นเคยเขาอ้าปากเตรียมพูดแต่ตัวฝูกับดึงเขาเข้ามาแล้วกระซิบ “นั่นคุณหนู อย่าตะโกนออกมานะเจ้าคะ!” จี้เสียวอู่มึนงง
ตัวฝูคิดว่าอีกฝ่ายไม่เข้าใจสถานการณ์จึงบอกไปว่า “ไป! พวกเราไปขอยืมเรือเพื่อไปรับคุณหนูเถอะเจ้าค่ะ”
จี้เสียวอู่วิ่งออกจากร้านอาหารพร้อมกับนางแล้วรีบไปยังร้านเช่าเรือ จากนั้นก็พูดกับเจ้าของเรือเพื่อขอเช่า
จนกระทั่งเขาขึ้นเรือลำเล็กก็นึกออกว่าตนเองจะพูดอะไร “ตัวฝู ทำไมเจ้าไม่บินไปล่ะ”
ตัวฝูพายเรือไปพลางตอบไปว่า “ข้าเพิ่งเริ่มเรียนวรยุทธ์ยังไม่แข็งแกร่งพอเจ้าค่ะ”
จี้เสียวอู่มองไปยังเรือสำราญแล้วถามออกไปอย่างยากลำบาก “เจ้าไม่เป็นสักอย่างแล้วเหตุใดนางถึงบินได้กัน”
ตัวฝูมองเขาด้วยความแปลกใจ “คุณหนูต้องเป็นอยู่แล้ว!” นางครุ่นคิดอยู่สักพักแล้วหยิบของบางอย่างส่งให้เขา
“กริชเล่มนี้คุณหนูร่ายพลังไว้แล้วหากพบเจออสูรร้ายขึ้นมาท่านต้องใช้สิ่งนี้ป้องกันตัวนะเจ้าคะ”
จี้เสียวอู่งุนงงเล็กน้อยตัวฝูเหาะไม่ได้ แต่หมิงเวยเหาะได้ ดูเหมือนเรื่องนี้จะแตกต่างจากที่เขาคิดไว้เสียอีก!
……………