หมิงเวยกล่าวลาหยางชู และไปที่สระฉางเล่อคนเดียว
ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่วันสระฉางเล่อก็ได้กลับมารุ่งเรืองเฉกเช่นเมื่อก่อน ผู้คนไหลมาเทมามากขึ้นเรื่อยๆ หมิงเวยมองไปยังถนนสายยาวภายใต้ดวงอาทิตย์แล้วถอนหายใจ เหล่าคนที่สูญหายอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล แต่กลับไม่สามารถอยู่ใกล้ชิดแสงอาทิตย์ได้
ขณะที่นางกำลังเดินอยู่นั้นก็สังเกตเห็นคนผู้หนึ่งเป็นเด็กสาวในชุดสีน้ำเงิน สวมหมวกคลุมใบหน้านางเดินถือภาพคอยถามผู้คนที่เดินผ่านมา
ผ้าโปร่งสีดำจากหมวกช่วยปกปิดรูปลักษณ์ของอีกฝ่าย แต่มันก็ไร้ประโยชน์สำหรับหมิงเวย เพื่อนร่วมชั้นห้องเดียวกันนางจำชี่ของพวกนางได้
เหวินหรู คุณหนูสี่แห่งตระกูลเหวิน
แปลก ตระกูลเหวินไม่ได้บอกว่าคุณหนูสี่หายตัวไปหรอกหรือ อีกฝ่ายเดินถามอยู่ตลอดทาง หมิงเวยเองก็เดินตามไป เมื่อถามไปจนสุดถนนฉางเล่อ เหวินหรูก็เก็บภาพในมือและนั่งลงข้างแปลงดอกไม้ด้วยความรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก
จนกระทั่งฟ้ามืดนางก็ยังไม่ขยับไปไหน
ในตอนค่ำ ความครึกครื้นที่สระฉางเล่อแตกต่างจากเมื่อตอนกลางวัน มีร้านแผงลอยเล็กๆ จำนวนมากออกมาตั้งขายอาหารว่างอร่อยๆ ตั้งแต่หัวถนนไปจนถึงสุดสายของถนนให้ผู้ที่เดินผ่านมาได้ลิ้มลอง เมื่อเทียบกับเมื่อตอนกลางวันจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินผ่านมามีมากขึ้น
ความนิยมของสังคมในยุคสมัยนี้เปิดกว้างไม่ห้ามออกจากบ้านตอนกลางคืน ในเวลานี้ เจ้าหน้าที่เลิกงาน นักเรียนเลิกเรียน ประชาชนเลิกงาน สามารถออกมาเดินหาของอร่อยๆ ทานได้ หมิงเวยรู้สึกหิวเล็กน้อยจึงซื้อปิ่งร้านข้างทางมาทาน เจ้าของร้านเห็นนางหน้าตาดีจึงหั่นเนื้อให้เยอะเป็นพิเศษจนแม่ค้าผู้เป็นภรรยาลอบมองอยู่หลายครั้ง
นางกินอาหารอยู่ใกล้ๆ ร้านแผงลอยจนรู้สึกเบื่อ และในที่สุดเหวินหรูก็ขยับกาย นางลุกขึ้นยืนและเดินช้าๆ ไปพร้อมกับการไหลของผู้คนเมื่อผ่านถนนฉางเล่อนางก็เลือกเลี้ยวเข้าถนนสายเล็กๆ ที่อยู่ห่างออกไป
หมิงเวยเลิกคิ้ว เพราะนางเห็นว่ามีบุรุษสองสามคนเดินตามเหวินหรูเข้าไปในตรอก บางทีเหวินหรูคงรู้ตัวเพราะนางเดินเร็วขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อเห็นว่าห่างไกลจากถนนสายหลักเหล่าอันธพาลก็ไม่คิดหลบซ่อนตัวอีกต่อไป พวกเขาไล่ตามนางไปอย่างรวดเร็ว
“น้องสาว เดินคนเดียวกลางค่ำกลางคืนไม่กลัวหรือให้พี่ชายเดินเป็นเพื่อนน้องดีหรือไม่!”
เหวินหรูกรีดร้องแล้ววิ่งหนี แต่นางเป็นเพียงเด็กสาวตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะไปหนีบุรุษพวกนี้พ้นได้อย่างไรไม่กี่อึดใจนางก็ถูกต้อนเข้ากำแพง ตามองพวกเขาที่เดินเข้ามาใกล้
“พวกเจ้าจะทำอะไร” เหวินหรูถึงภายนอกดูเข้มแข็ง แต่ภายในจิตใจขี้ขลาดตาขาว นางตะโกนเสียงดัง “ที่นี่เมืองหลวงนะพวกเจ้ากล้าที่จะกระทำผิดงั้นหรือ”
อันธพาลที่อยู่ซ้ายมือหัวเราะ “น้องสาวพูดอะไรน่ะ พวกเรากล้ายืนหยัดเพื่อสิ่งที่ถูกต้องเห็นเจ้าอยู่ตัวคนเดียวก็กลัวจะเป็นอันตรายเลยคิดที่จะมาอยู่เป็นเพื่อนเจ้าไง”
“ใช่ๆ! เหตุใดน้องสาวไม่รู้สึกถึงน้ำใจของพวกเราเลย”
“เห็นน้ำใจของพวกข้าขนาดนี้แล้วน้องสาวช่วยถอดหมวกให้พวกเราชมไม่ได้หรือ” เมื่อเห็นว่าวงล้อมเล็กลงเรื่อยๆ แผ่นหลังของเหวินหรูสัมผัสกำแพงทำให้ไม่สามารถถอยหนีได้
นางเคยเรียนหมัดมวยมาผิวเผินจึงรวบรวมความกล้าวิ่งฝ่าวงล้อม แต่ก็ถูกพวกเขาต้อนกลับเข้าที่เดิมไปอย่างง่ายดาย บุรุษพวกนี้ไม่ใช่คุณหนูอ่อนแอที่ถูกนางกลั่นแกล้งเป็นประจำ
“ออกไปนะ! ออกไป!”
เสียงตะโกนของนางจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ คนที่อยู่หน้าสุดยกหมวกคลุมใบหน้าของนางออกไปแสงจากดวงจันทร์ทำให้พวกเขาเห็นใบหน้าของนางชัดเจน
“หวา น้องสาวงดงามจริงๆ วันนี้พวกเราโชคดีมาก!”
เมื่อเห็นบุรุษตรงหน้าเดินเข้ามาหาและกดนางไว้กับกำแพง เหวินหรูรู้สึกโชคไม่ดี นางร้องไห้ออกมา “ข้าเป็นคุณหนูจากตระกูลเฉิงเอินโหวนะ ไท่จื่อเป็นลูกพี่ลูกน้องของข้า หากพวกเจ้ากล้าแตะต้องข้าพวกเจ้าต้องถูกประหารด้วยพันมีดหมื่นแล่ห้าม้าแยกร่าง!”
อันธพาลทั้งสองกลับไม่เชื่อพวกเขาหัวเราะเสียงดัง “คิดว่าพวกเราไม่เคยผ่านโลกมาหรือ คุณหนูจากจวนโหวมีบ่าวมากมายล้อมรอบจะมาแต่งตัวเช่นนี้และเดินบนถนนคนเดียวได้อย่างไร”
“ลูกพี่ลูกน้องของไท่จื่องั้นหรือ คืนนี้พวกเราลองมาลิ้มรสการเป็นน้องเขยของไท่จื่อกันดีกว่า!” เหวินหรูร้องไห้ด้วยความกระวนกระวายใจ
เดิมทีนางเตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว แต่เมื่อได้สัมผัสถึงความโดดเดี่ยวและไร้สิ้นหนทางถึงได้รู้ว่ามันน่ากลัวมากเพียงใด
“ออกไปนะ พวกเจ้าออกไปนะ!” เหวินหรูรู้สึกหมดหวังเมื่อรู้สึกถึงมืออันน่าขยะแขยงคู่นั้นสัมผัสตัวนาง
นางเริ่มรู้สึกเสียใจว่าทำไมตนเองถึงใจร้อนเช่นนี้ ตอนที่เสียงกรีดร้องของบุรุษดังขึ้นนางยังคงจมอยู่ในอารมณ์ของตนเอง ไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองเป็นอิสระจนกระทั่งข้อมือหลุดจากการควบคุม
“เป็นอย่างไรบ้าง” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น เหวินหรูเงยหน้าขึ้นแล้วเห็นใบหน้าที่งดงามของคนผู้หนึ่ง
หมิงเวยเลิกคิ้วแล้วยื่นมือออกไปโบกต่อหน้านางจากนั้นพูดกับตนเอง “ตกใจจนโง่ไปแล้วหรือ ทำอย่างไรดี ช่างเถอะ ไม่สนแล้วแค่ช่วยคนได้ก็ถือว่าทำดีที่สุดแล้ว”
เมื่อนางหมุนตัวเดินจากไปเหวินรูก็ร้องไห้ออกมาแล้วคว้าแขนนาง “หมิง หมิงเวย!” ที่แท้ก็เป็นแค่เด็กสาวตัวเล็กๆ คนหนึ่ง
หมิงเวยปล่อยให้นางร้องไห้สักพักและพูดว่า “เอาล่ะ เช็ดน้ำตาซะพวกเรารีบออกไปหาเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนกัน” เหวินหรูที่เพิ่งถูกหมิงเวยช่วยชีวิตไว้ไม่กล้าดื้อแพ่ง นางค่อยๆ หยุดร้องไห้
นางมองอันธพาลสองคนที่นอนอยู่บนพื้นหลังจากนั้นไม่นานสติของนางก็กลับมา “เจ้า เจ้าจัดการพวกเขาหรือ”
“ไม่ได้งั้นหรือ”
เหวินหรูตกตะลึง “แต่เจ้ามาจากตระกูลขุนนางฝ่ายพลเรือน”
“มาจากขุนนางฝ่ายพลเรือนแล้วเรียนต่อสู้ไม่ได้หรือ” หมิงเวยเดินนำนางออกจากตรอก เมื่อเห็นกลุ่มเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนช่วงค่ำอยู่ไม่ไกลจึงร้องเรียก
เจ้าหน้าที่รีบเข้าไปมัดตัวคนร้ายแล้วพูดว่า “รบกวนแม่นางทั้งสองไปเป็นพยานที่ศาลด้วยขอรับ”
เหวินหรูหดตัวซ่อนตัวอยู่ข้างหลังหมิงเวยแล้วกระซิบ “ข้า ข้าให้คนที่จวนรู้ไม่ได้”
หมิงเวยตอบ “รบกวนพวกท่านแล้ว ท่านลุงของข้าได้รับตำแหน่งซือเยว่ที่กั๋วจื่อเจียน แซ่จี้ อาศัยอยู่ที่ซอยหยางเจี่ยววันรุ่งขึ้นข้าจะให้พ่อบ้านไปเป็นพยานที่ศาลได้หรือไม่” เจ้าหน้าที่เลิกคิ้ว หากเป็นคุณหนูตระกูลขุนนางสู้ให้คนในครอบครัวไปปรากฏตัวที่ศาลไม่ดีกว่าหรือ
หมิงเวยตอบ “ข้ารู้จักกับใต้เท้าเกาโปรดช่วยผ่อนผันให้ด้วยเถิด”
เกาฮ่วนเป็นเจ้านายของพวกเขาเมื่อได้ยินเช่นนั้นพวกเขาก็ตอบตกลงแล้วเรียกเจ้าหน้าที่สองนายออกมา “ฟ้ามืดแล้ว คุณหนูทั้งสองอยู่ข้างนอกไม่ปลอดภัย ส่งพวกนางกลับเรือนด้วย”
หมิงเวยขอบคุณพวกเขาด้วยรอยยิ้มจากนั้นก็พาเหวินหรูกลับไปที่จวนตระกูลจี้ การออกไปข้างนอกวันนี้หมิงเวยบอกทุกคนไว้แล้วว่าจะกลับดึก
เมื่อเห็นว่ามีเจ้าหน้าที่เดินทางมาส่งทุกคนในตระกูลจี้จึงไม่ถามอะไรมาก ทำแค่เพียงขอบคุณเจ้าหน้าที่ทั้งสอง ส่วนเหวินหรูหมิงเวยบอกเพียงว่าเป็นเพื่อนร่วมชั้นที่สถานศึกษาวันนี้ดึกมากแล้วจึงชวนนางมาค้างคืนด้วยกัน
นายท่านจี้และจี้ฮูหยินใจกว้างและไม่ถามอะไรมาก แต่จี้หลิงเป็นคนละเอียดรอบคอบ เขาเรียกหมิงเวยเข้ามาสอบถาม
หมิงเวยตอบไปว่า “เหตุผลเรื่องนี้ค่อนข้างซับซ้อนพี่ใหญ่เชื่อข้าเถอะ น้องจัดการเรื่องนี้ได้เจ้าค่ะ”
จี้หลิงตอบ “ทำไมพี่จะไม่เชื่อน้อง แต่เพื่อนของน้องเป็นคุณหนูตระกูลขุนนาง เหตุใดจู่ๆ ถึงได้มาอาศัยอยู่ที่เรือนผู้อื่นกันหากมีปัญหาอะไรน้องให้พี่ช่วยได้นะ”
หมิงเวยยิ้ม “น้องรู้ว่าพี่ใหญ่ดูแลน้องเป็นอย่างดี แต่เหตุผลในเรื่องนี้น้องยังไม่ชัดเจน ให้น้องสอบถามนางให้เข้าใจเสียก่อนแล้วน้องจะบอกพี่ใหญ่นะเจ้าคะ”
เมื่อพูดกับจี้หลิงจนเข้าใจเสร็จเรียบร้อยหมิงเวยก็พาเหวินหรูเข้ามาในห้องของตนเองแล้วถามออกไป “ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่จวนเฉิงเอินโหวไม่ได้บอกว่าเจ้าหายตัวไปหรอกหรือ” เมื่อได้ยินคำถามนี้เหวินหรูก็ร้องไห้ออกมาเสียงดัง