หลังจากอาศัยอยู่ในถ้ำเป็นเวลาสองวันในที่สุดจี้เสียวอู่ก็ได้ออกไปเดินเล่นรอบๆ เขาเคยชินกับเสียงร้องไห้ที่ดังขึ้นเป็นครั้งคราว
เมื่อตอนมาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ เพียงแค่ได้ยินเสียงร้องตัวฝูก็รีบพุ่งออกไปจัดการทันที วรยุทธ์ของนางแข็งแกร่งและยังเกี่ยวข้องกับเบื้องบน คนพวกนั้นจึงไม่กล้าที่จะไม่เชื่อฟัง หลังจากนั้นก็ไม่มีผู้ใดกล้ามาทำเรื่องเลวๆ แถวนี้อีก
พวกเขาเปลี่ยนสถานที่ทำร้ายร่างกายคนไปในที่ที่ไกลออกไปหรือไม่ จี้เสียวอู่ไม่รู้แล้วก็ไม่กล้าสำรวจด้วย เขาเดินเล่นรอบๆ เมื่อเดินไปได้สักพักก็ถูกคนขวางไว้
“คุณชายกัว ทางด้านนั้นไม่มีอะไรน่าดูเลยกลับกันเถอะขอรับ!” คนที่มาขวางเขาเป็นขอทานวัยกลางคนหน้าตาอัปลักษณ์อีกฝ่ายยิ้มจนเห็นฟันสีเหลือง
จี้เสียวอู่เลิกคิ้วด้วยความรังเกียจแล้วถามออกไป “หัวหน้าฉีล่ะ”
ขอทานวัยกลางคนตอบ “หลายวันมานี้ข้างนอกมีเรื่องวุ่นวายมาก หัวหน้าฉีจึงต้องวิ่งไปจัดการรอบๆ หากคุณชายกัวรู้สึกเบื่อหน่ายล่ะก็ข้าน้อยจะเรียกเด็กสาวสองคนมาร้องเพลงให้ท่านฟังดีหรือไม่ขอรับ”
จี้เสียวอู่โบกมือ “ช่างเถอะ” เขาเดินกลับไปได้เพียงสองก้าวแล้วจึงพูดว่า “หากหัวหน้าฉีกลับมาแล้วเจ้าบอกเขาด้วยว่าข้าอยากพบ”
“ได้ขอรับ!” จี้เสียวอู่เดินโซเซกลับเข้าไปด้านใน ไม่นานก็มีควันพวยพุ่งออกมาจากถ้ำที่เขาอยู่ งูขาวตัวน้อยก็ออกไปสำรวจพื้นที่อีกครั้ง
……………
กุญแจด้านนอกถูกปลดออกหญิงสาวร่างกายแข็งแกร่งสองคนเดินถือถังไม้เข้ามาแล้วตะโกนด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “ทานข้าว!”
หญิงสาวที่ถูกขังอยู่ที่นี่ทุกคนลุกขึ้นมาหยิบอาหาร เว่ยเสี่ยวอันเองก็เดินออกไป อาหารเป็นหมั่นโถวธัญพืชซึ่งเว่ยเสี่ยวอันเองก็ชินเสียแล้ว ถูกขังอยู่ที่นี่ไม่ต่างอะไรกับสัตว์เลี้ยง เผลอๆ อาจจะแย่กว่าสัตว์เลี้ยงด้วยซ้ำเพราะจำนวนหมั่นโถวมีไม่มากพอพวกนางจึงต้องแย่งมันมา เว่ยเสี่ยวอันคว้าหมั่นโถวมาสองชิ้นอย่างยากลำบากแล้วเดินกลับไปที่มุมห้อง
“เฮ้!” นางผลักคนที่นอนอยู่บนพื้น “ทานอะไรสักหน่อยเถอะ”
คนผู้นี้ก็เหมือนกับนาง ตัวสกปรก หน้าตาไม่เรียบร้อย ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง เมื่อได้ยินเสียงจึงขยับตัวอย่างช้าๆ และลุกขึ้นอย่างยากลำบาก
เว่ยเสี่ยวอันแบ่งหมั่นโถวให้แล้วก็ได้ยินเสียงกระซิบจากอีกฝ่าย “ขอบคุณ”
เสียงนี้เป็นเสียงของเหวินอิ๋ง เว่ยเสี่ยวอันเข้ามาในนี้ถึงได้รู้ว่าเหวินอิ๋งเองก็ถูกจับมาด้วย
เมื่อครั้นที่ทั้งสองอยู่ที่สถานศึกษาต่างคนต่างไม่ถูกชะตากันเท่าไรนัก เว่ยเสี่ยวอันเองก็ถูกพี่น้องตระกูลเหวินกลั่นแกล้งอยู่หลายครั้ง แต่เมื่อเข้ามาอยู่ที่นี่ พวกนางก็ไร้ญาติขาดมิตรจึงได้มาใกล้ชิดกัน
ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้การมีคนรู้จักถือเป็นความสบายทางจิตใจอย่างมาก
พวกนางเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ดีไม่เคยอยู่ในสถานที่เช่นนี้มาก่อนยิ่งไม่ต้องพูดถึงการที่ต้องมาทานหมั่นโถวธัญพืชชวนฝืดคอพวกนี้เลย แต่เพื่อให้มีชีวิตรอดต่อไปพวกนางทำได้แต่ต้องทนเอาไว้
ไม่กี่วันก่อนเหวินอิ๋งล้มป่วยเว่ยเสี่ยวอันจึงต้องดูแลนาง แย่งหมั่นโถวมาแบ่งให้นาง เรียกให้นางดื่มน้ำเป็นครั้งคราว อาการของนางจึงค่อยๆ ดีขึ้น เหวินอิ๋งสุภาพกับนางไม่น้อย
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้เว่ยเสี่ยวอันก็รู้สึกตลก เมื่อก่อนที่สถานศึกษาเหวินอิ๋งไม่เคยไว้หน้านางมาก่อนไม่นึกเลยว่าตอนนี้จะได้ยินนางเอ่ยขอบคุณตน
ทั้งสองคนทานหมั่นโถวกันเงียบๆ จิบน้ำคนละนิดแล้วเว่ยเสี่ยวอันก็ถามอีกฝ่ายเสียงเบา “ดีขึ้นบ้างหรือไม่”
เหวินอิ๋งแตะหน้าผากตนเอง “ไม่ร้อนแล้ว แต่ยังไม่มีแรง”
“หลังจากป่วยก็เป็นเช่นนี้แหละ น่าเสียดายที่ไม่มีอาหารดีๆ ทาน ไม่อย่างนั้นก็คงดีขึ้นกว่านี้”
เมื่อพูดถึงอาหารดีๆ ทั้งคู่ก็กลืนน้ำลาย ตอนอยู่ที่จวนได้ทานอาหารเลิศรสจนเบื่อ ผู้ใดจะคิดว่าตอนนี้แม้แต่ซาลาเปาเนื้อก็ยังไม่ได้ทาน ทั้งสองคนไม่พูดอะไรออกมา เว่ยเสี่ยวอันหยิบฟางข้าวมากองบนพื้น
ผ่านไปสักพักเหวินอิ๋งก็ถามขึ้นมาว่า “พวกเราอยู่ที่นี่มากี่วันแล้ว”
“เจ็ดแปดวัน หรือสิบวันได้” เว่ยเสี่ยวอันเองก็ไม่แน่ใจ นางเองก็จำไม่ค่อยได้ เมื่อถูกขังอยู่ที่นี่นางก็แยกกลางวันกลางคืนไม่ค่อยออก
“นานเพียงนี้แล้วทำไมพวกเขาถึงยังหาไม่เจออีก…” เพราะเหวินอิ๋งล้มป่วยมาจิตใจเลยเปราะบางแค่ได้คิดน้ำตาก็ไหลออกมา เว่ยเสี่ยวอันเองก็ถูกสะกิดแผลที่ใจเหมือนกัน
“พวกเขาคงไม่ต้องการคนที่เสียชื่อเสียงอย่างข้าไม่สนใจข้าแล้ว…” เหวินอิ๋งยิ่งคิดยิ่งรู้สึกเสียใจมากขึ้น
“ไม่จริงหรอก” เว่ยเสี่ยวอันปลอบ “พวกเขาเป็นบิดามารดาของเจ้านะ จะไม่สนใจเจ้าได้อย่างไร”
“แต่ว่า…”
“การค้นหาคนจำเป็นต้องใช้เวลา” เว่ยเสี่ยวอันเหลือบมองไปรอบๆ เมื่อไม่มีใครให้ความสนใจพวกนางจึงพูดเสียงเบา “ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าสังเกตเห็นหรือไม่”
“อะไรหรือ”
“สองวันมานี้ดูเหมือนคนจะมากขึ้น”
เหวินอิ๋งไม่เข้าใจ “แล้วอย่างไรหรือ”
เว่ยเสี่ยวอันลดเสียงลงจนแทบจะกระซิบ “ต้องเป็นเพราะเจ้าหน้าที่พบรังของพวกเขาเป็นแน่ พวกเราทำได้เพียงแค่รอถึงจะสามารถขอความช่วยเหลือจากทหารได้”
เหวินอิ๋งได้ฟังก็เริ่มมีความหวังในใจ “พวกเราต้องยืนหยัดต่อไป”
“ใช่แล้ว” เว่ยเสี่ยวอันมองนาง จากนั้นก็หยิบคราบดินบนพื้นมาป้ายหน้าอีกฝ่าย “เจ้ายังสกปรกไม่พอ…” เหวินอิ๋งปล่อยให้นางป้ายหน้าตนให้สกปรกยิ่งกว่าเดิม
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมามีคนเข้ามาหาเป็นครั้งคราวราวกับเข้ามาเลือกสัตว์เลี้ยงไม่ปาน พวกเขาเลือกพาเด็กสาวหน้าตางดงามออกไปจากนั้นก็ไม่กลับมาอีกเลย
พวกนางไม่กล้าคิดว่าคนพวกนั้นต้องพบเจอกับอะไรจึงทำได้เพียงให้ตนเองไม่โดดเด่นมากไปก็พอ แต่ดูเหมือนโชคของพวกนางในวันนี้จะไม่ดีพอเพราะไม่นานประตูก็ถูกเปิดออก
ตอนนี้ไม่ใช่เวลาอาหาร หญิงสาวในห้องจึงตัวสั่นด้วยความตกใจหมายความว่ามีคนเข้ามาเลือกหญิงสาว แน่นอนว่านอกจากหญิงสาวร่างกายแข็งแรงทั้งสองคนแล้วยังมีบุรุษอีกหลายคนด้วย
เหวินอิ๋งมองแล้วหันไปทางอื่นด้วยความรังเกียจ
บุรุษผู้นี้รูปร่างอ้วนท้วมไม่น่ามองเลยสักนิด รอยยิ้มกริ่มบนใบหน้าอีกฝ่ายช่างน่าขยะแขยงเสียจริง
“หัวหน้าเซียง ข้าน้อยช่วยท่านเลือกเองเจ้าค่ะ” หญิงแกร่งกล่าวอย่างเอาอกเอาใจ
“ไม่จำเป็น” ชายคนนั้นก้าวเข้ามาในห้องแล้วถูมือ “เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าข้าชอบแบบไหน ให้ข้าเลือกเองน่าสนุกกว่า”
“เจ้าค่ะๆๆ” หญิงแกร่งคนนั้นหัวเราะแล้วเดินเข้ามาจับใบหน้าของหญิงสาวทีละคน “คนนี้ท่านชอบหรือไม่เจ้าคะ”
“คนนี้ หรือว่าคนนี้”
หัวหน้าเซียงส่ายหน้าอย่างไม่ชอบใจ “ไม่มีที่งามกว่านี้แล้วหรือ”
หญิงแกร่งยังคงยิ้ม “พวกนางเหล่านี้ถูกส่งมานานกว่าสิบวันแล้ว หญิงสาวที่พองดงามถูกพาไปหลายคนแล้วเจ้าค่ะ…”
หัวหน้าเซียงไม่พอใจเขาบ่นออกมา “หากไม่ใช่เพราะว่าตอนนี้ไม่สามารถขึ้นไปได้ ข้าคงไม่ต้องมาเลือกหญิงอัปลักษณ์พวกนี้หรอก แต่ยังดีที่พวกนางยังไม่แปดเปื้อน”
“เจ้าค่ะๆๆ” เมื่อเห็นพวกเขาเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เว่ยเสี่ยวอันกับเหวินอิ๋งยิ่งขดตัวให้เล็กลงด้วยความตื่นตระหนก
อย่ามองมาที่พวกนางเลย อย่ามอง…
น่าเสียดายที่วันนี้โชคไม่เข้าข้าง เหวินอิ๋งถูกหญิงแกร่งเชยคางขึ้นอย่างหยาบคาย “หัวหน้าเซียง คนนี้เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
ใบหน้าของเหวินอิ๋งสกปรกมาก นางจึงยื่นมือออกไปเช็ด คราบฝุ่นถูกเช็ดออกไปเผยให้เห็นใบหน้าที่นุ่มนวลและบอบบาง
เดิมทีเหวินอิ๋งงดงามอยู่แล้วในบรรดาพี่น้องนางงดงามมากที่สุด ดวงตาของหัวหน้าเซียงเป็นประกาย เขายื่นมือออกไปสำรวจ “ไม่เลวๆ จับอาบน้ำให้สะอาดสักหน่อยก็พาไปพบคนได้แล้ว” เหวินอิ๋งได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ
หากนางเสียตัวแม้ว่าถูกช่วยไว้ได้ แต่ในอนาคตคง…
เมื่อเห็นว่าตนเองจะถูกลากออกไปก็รีบคว้าตัวเว่ยเสี่ยวอันที่อยู่ข้างกายตน “นายท่าน นาง นางงามกว่าข้าอีกเจ้าค่ะ!”
…………