ยามโหย่ว[1] เป็นเวลาที่กองทหารรักษาพระองค์ต้องเปลี่ยนกะ
คนกลุ่มหนึ่งกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ในห้องแต่งตัว พลางพูดคุยกันว่าจะไปหาอะไรทำฆ่าเวลาดี
บรรพบุรุษของพวกเขาเหล่านี้ส่วนใหญ่ติดตามฮ่องเต้องค์ก่อนบุกแย่งชิงแผ่นดิน ครอบครัวของพวกเขาส่วนใหญ่มีตำแหน่งเป็นขุนนางชั้นสูง ตนเองนั้นก็มีตำแหน่งเป็นคุณชาย ไม่จำเป็นต้องเลี้ยงดูครอบครัวใช้ชีวิตของตนเองได้อย่างสบายๆ
ทุกวันหลังจากเปลี่ยนกะ พวกเขาจะเดินทางไปตลาดกลางคืนเพื่อหาอะไรดื่มกิน เรียกหญิงสาวมาเต้นรำร้องเพลงใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
ในขณะที่พูดคุยกันนั้นตี๋ฝานก็เดินเข้ามา
“คืนนี้จะไปที่ไหนหรือ” เขาปลดเสื้อเกราะแสร้งทำเป็นถามอย่างไม่ใส่ใจ
หนึ่งในนั้นตอบว่า “พวกเขายังไม่ตัดสินใจขอรับ พี่ใหญ่ท่านบอกว่าหอเสียงสวรรค์นั้นดี หอหมิงเสียเองก็ดีเช่นกัน”
หอเสียงสวรรค์และหอหมิงเสียเป็นสถานที่ฟังเพลง โดยเฉพาะอย่างหลังมีนักเต้นระบำที่เก่งที่สุดในเมืองหลวงอยู่ด้วย
ตี๋ฝานยิ้ม “สาวงามในหอเสียงสวรรค์คุ้นเคยกับการวางมาด หอหมิงเสียน่าจะดีกว่า”
เขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้ใต้บังคับบัญชาจึงเป็นที่รักใคร่ของทุกคน มีคนตอบกลับมาโดยทันทีว่า “ใช่ๆๆ! หอเสียงสวรรค์มีแต่พวกบัณฑิตอวดเบ่งทำเป็นด่าคนนี้ แต่แท้จริงด่าคนนั้นบอกว่าพวกเราไม่มีความเป็นผู้ดี”
ไม่ว่าจะเป็นราชวงศ์ไหน ขุนนางฝ่ายบู๊ฝ่ายบุ๋นมักไม่ลงรอยกัน สิ่งที่พวกเขาเหล่าขุนนางทหารเกลียดที่สุดก็คือบัณฑิตที่อวดรู้พูดจาประชดประชัน
“ในเมื่อพี่ใหญ่พูดเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะไปหอหมิงเสีย!”
ตี๋ฝานเหลือบมองแล้วพูดว่า “เหล่าฉางกับเชิ่งชีล่ะ ไปเรียกมาเร็ว! ช่วงนี้มีเรื่องมากมายวันนี้ข้าจะพาทุกคนไปผ่อนคลาย”
เหล่าทหารรักษาพระองค์ภายในห้องส่งเสียงโห่ร้อง “พี่ใหญ่เลี้ยงพวกเราหรือ ใครจะไม่ไปกัน เร็วๆๆ รีบไปเรียกเหล่าฉางกับเชิ่งชีกลับมาพวกเขาเพิ่งออกไปได้ไม่นาน” แล้วคนกลุ่มหนึ่งก็ออกไปเรียกเพื่อนกลับมาและเดินกอดคอกันไปที่หอหมิงเสีย
ตี๋ฝานนับจำนวนคนเมื่อเห็นว่าไม่ตกหล่นแม้แต่คนเดียวก็เดินตามไปช้าๆแล้วพวกเขาก็มาถึงหอหมิงเสีย แสงไฟสว่างไสว ถึงเวลาหอเปิดพอดี พวกเขาเพลิดเพลินกับการแสดงเต้นรำร้องเพลงไป ชิมอาหารรสเลิศไป จากนั้นก็คุยโม้โอ้อวด เล่นทายนับนิ้วเป็นเช่นนี้ไปจนถึงยามอู้[2]
ตี๋ฝานดื่มไปเล็กน้อยและไม่ยอมให้พวกเขาดื่มมากเกินไป เมื่อเห็นว่าจวนใกล้ถึงเวลาแล้วคนสนิทของเขาก็รีบเข้ามาหา
“พี่ใหญ่!” คนผู้นั้นตะโกนขึ้นเสียงดังอย่างไม่คิดปิดบังซึ่งทหารกองรักษาพระองค์ที่อยู่แถวนั้นล้วนได้ยินและมองมาทางนี้
ตี๋ฝานมองอีกฝ่ายที่เหนื่อยจนหอบเหงื่อท่วมตัวแล้วรู้สึกพอใจ แต่ก็แสร้งทำเป็นประหลาดใจ “หลี่ต้าหมิง เจ้ามาทำอะไรที่นี่เมื่อครู่คิดจะเรียกเจ้าให้มาดื่มด้วยแต่กลับไม่เห็นเจ้าเลย” หลี่ต้าหมิงที่แม้แต่เหงื่อยังไม่ได้เช็ด เขาเดินไปหาตี๋ฝานอย่างรวดเร็วและกระซิบข้างหู
เหล่าทหารรักษาพระองค์เห็นว่าสีหน้าของตี๋ฝานครึ้มลงและเขาก็ตะโกนขึ้นมาว่า “ไม่ต้องดื่มแล้ว ตามข้ามา!”
หัวหน้ากองทหารคนอื่นๆ ที่นั่งร่วมโต๊ะโน้มตัวเข้ามาหาก่อนถาม “พี่ใหญ่ เกิดอะไรขึ้น จู่ๆ ก็…”
ตี๋ฝานตอบ “หลี่ต้าหมิงกับพี่น้องคนอื่นออกไปเดินเล่นแล้วถูกคนรังแก”
“อะไรนะ” ทุกคนตะโกนขึ้น “กล้ากลั่นแกล้งพวกเรางั้นหรือ เบื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วสินะ!”
ตี๋ฝานยื่นมือห้ามไว้ก่อนแล้วพูดเสียงนิ่ง “คนพวกนี้อย่างไรพวกเราต้องหาตัวให้พบอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นภายภาคหน้าพวกเราจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน แต่พวกเราคือทหารรักษาพระองค์ หากก่อเรื่องเข้าคนที่เสียหน้าก็คือฝ่าบาท ยับยั้งชั่งใจไว้ก่อน เราต้องอย่าให้ผู้อื่นรับรู้”
“ที่พี่ใหญ่พูดมาก็ถูก”
ตี๋ฝานโบกมือ “ไป!” แล้วพวกเขาก็เดินออกไปอย่างกระฉับกระเฉง เตรียมพร้อมที่จะต่อสู้ ตี๋ฝานนำทุกคนกลับไปที่ห้องแต่งตัวเพื่อเปลี่ยนเป็นชุดเกราะโดยที่ยังสวมชุดปกติไว้อยู่แล้วยังพกอาวุธไปด้วย จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่หลี่ต้าหมิงเกิดเรื่อง
ในบรรยากาศเช่นนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ อีกทั้งกองทหารรักษาพระองค์ที่อยู่ใกล้ๆ ก็ถูกเรียกตัวกลับมาซึ่งมารวมตัวกันถึงร้อยคน
และเมื่อเดินทางมาถึงจุดหมายพวกเขาถึงได้รู้สึกว่าบางอย่างไม่ถูกต้อง ไม่พบคนก่อเรื่อง แต่กลับพบเจ้าหน้าที่มากมาย
เจี่ยงเหวินเฟิงเห็นตี๋ฝานที่มารายงานก็พยักหน้า “เริ่มกันเถอะ”
จนถึงตอนนี้เหล่าทหารรักษาพระองค์ถึงได้รู้ว่าตนมีภารกิจอื่น
ตี๋ฝานเรียกพวกเขาออกมาแล้วพูดว่า “วันนี้โกหกพี่น้องทั้งหลายเป็นความผิดของข้าตี๋ฝาน แต่เนื่องจากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเบื้องบนเป็นเรื่องที่สำคัญมากจะผิดพลาดไม่ได้ เหล่าพี่น้องเดินทางไปปฏิบัติการกับข้าในครั้งนี้ หากหลังเสร็จภารกิจได้ตบรางวัล ข้าจะไม่รับแม้แต่แดงเดียวเพื่อเป็นการชดเชยให้พี่น้องทั้งหลาย!”
เหล่าทหารรักษาพระองค์มองหน้ากันเมื่อเห็นอีกฝ่ายพูดด้วยความจริงใจเช่นนี้พวกเขาก็โกรธไม่ลง
หัวหน้ากองทหารที่สนิทกับเขาพูดขึ้นเสียงดัง “พี่ใหญ่ทำตามคำสั่ง พวกเราพี่น้องจะไม่เห็นใจได้อย่างไร ต้องการให้พวกเราทำอะไรท่านพูดมาได้เลย!”
เมื่อมีคนนำคนในกองก็ส่งเสียงตามมา
“ใช่! แม้แต่รางวัลก็ยังแจกจ่ายให้พวกเรา ไม่มีปัญหา!”
“ต้องการให้ทำอะไรพี่ใหญ่บอกมาได้เลย!” บรรยากาศเช่นนี้ทำให้เกิดความรู้สึกบางอย่างซึ่งพูดออกมาไม่ได้
ตี๋ฝานยิ้ม “ได้! ขอบคุณพี่น้องทั้งหลาย! ทุกคนตามข้ามา!”
………..
รถม้าคันหนึ่งจอดในที่ที่เงียบสงบ
หมิงเวยถือแผนที่ในมือแล้วชี้ “จับคนเฝ้าทางเข้าเหล่านี้ทีละคนก็สามารถกวาดเรียบจนไม่เหลือ”
หยางชูมองกลุ่มเจ้าหน้าที่และกองทหารรักษาพระองค์ที่แยกตัวออกไปแล้วจากนั้นจึงสั่งการอาสวน “พวกเราก็ไปกันเถอะ!”
อาสวนที่กำลังขับรถม้าอยู่ด้านนอกรับคำแล้วรถม้าก็เคลื่อนที่ไปข้างหน้า
คืนนี้ดูท่าจะไม่สงบ จี้เสียวอู่ดื่มสุราอย่างกระสับกระส่าย เขาฟังหัวหน้าเซียงพูดประจบฉีผิง
เขาเงยหน้าขึ้นมองเด็กสาวที่นั่งอยู่ คนหนึ่งคือกุ้ยเหนียงที่รินสุราให้พวกเขาเป็นครั้งคราวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ส่วนอีกสองคนนั้นช่างดูแตกต่างกับนางอย่างชัดเจน อย่าพูดถึงปรนนิบัติเลยแค่นั่งก็สั่นแล้ว
เขาไม่เคยเจอเหวินอิ๋ง แต่เขาจำเว่ยเสี่ยวอันได้ เว่ยเสี่ยวอันถูกจับแต่งตัวใหม่จากนั้นก็ถูกส่งตัวมาที่นี่เมื่อเห็นหน้าเขานางก็เบิกตากว้าง
เทศกาลซีซีคืนนั้นพวกเขาเคยพบกัน แต่จี้เสียวอู่แสดงละครได้อย่างเป็นธรรมชาติมาก เขาทำเหมือนไม่รู้จักนางมาก่อน
เว่ยเสี่ยวอันไม่แน่ใจว่าตนเองดูผิดไปหรือเปล่าจึงมองอีกฝ่ายอีกครั้ง การกระทำของนางทำให้ฉีผิงสังเกตเห็นได้
เขาเลิกคิ้วก่อนถาม “เหตุใดเจ้าต้องมองคุณชายกัวบ่อยๆ ด้วย”
เว่ยเสี่ยวอันเปิดปาก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
กุ้ยเหนียงเห็นสถานการณ์ไม่ดีจึงยิ้มก่อนเอ่ย “หัวหน้าฉี ดังที่กล่าวกันไว้ว่า สาวน้อยชื่นชอบหนุ่มรูปงามคิดว่าน้องสาวคนนี้คงเห็นคุณชายกัวหน้าตาหล่อเหลา เลยอดมองหลายครั้งไม่ได้เจ้าค่ะ”
ฉีผิงหัวเราะ “หากพูดเช่นนี้การร่วมดื่มสุรากับพี่กัวช่างเป็นเรื่องน่าเศร้าเสียจริง กุ้ยเหนียงเจ้าเองก็ชอบเขาไม่ได้ชอบข้าใช่หรือไม่”
กุ้ยเหนียงเม้มปากแล้วยิ้มหวาน “หัวหน้าฉีพูดอะไรน่ะเจ้าคะ คุณชายกัวสง่างามและอ่อนโยน หัวหน้าฉีกล้าหาญโดดเด่น หากมีคนชอบคนงามก็ต้องมีคนชอบชายชาตรีเช่นหัวหน้าฉีอยู่แล้วเจ้าค่ะ”
“พูดได้ดี!” ฉีผิงชมนาง
กุ้ยเหนียงยิ้มและรินสุราให้เขา แต่แขนเสื้อของนางดันปัดไปโดนถ้วยสุราจนหกรดใส่เว่ยเสี่ยวอันเข้า
“อา! ข้าขอโทษน้องสาวด้วย” กุ้ยเหนียงรีบดึงนางขึ้น “หัวหน้าฉี เสื้อผ้าของน้องสาวเปียกหมดแล้ว กุ้ยเหนียงพานางไปเปลี่ยนเสื้อผ้าได้หรือไม่ รบกวนท่านทั้งหลายไว้กุ้ยเหนียงกลับมาจะดื่มสุรารับโทษแทนเจ้าค่ะ”
ฉีผิงอารมณ์ดีจึงตอบตกลง “ได้ๆๆ กุ้ยเหนียงเอ่ยปากขอ ข้าจะไม่ตอบตกลงได้อย่างไร!”
กุ้ยเหนียงกล่าวขออภัยจากนั้นก็พาเว่ยเสี่ยวอันเข้าไปในห้อง เว่ยเสี่ยวอันก้มหน้าเช็ดกระโปรงที่เปียกชื้น แต่จู่ๆ กุ้ยเหนียงกลับคว้ามือของนางที่โผล่พ้นแขนเสื้อเอาไว้
“น้องสาวใจเย็นก่อน” นางพูดเสียงเบาและพูดทีละคำ ในมือของเว่ยเสี่ยวอันมีปิ่นปักผมอันน้อยซ่อนอยู่ในฝ่ามือ
…………
[1] ยามโหย่ว : 17.00 – 18.59 น.
[2] ยามอู้ : 3.00 – 5.00 น.