เมื่อเห็นคนกระโดดออกมาจากอุโมงค์ใต้สะพาน หยางชูก็หยิบร่มหนังฉลามขึ้นมา หมิงเวยเห็นว่าหนึ่งในคนพวกนั้น คนที่อยู่ในมือของเขามีความเป็นไปได้สูงว่าเป็นเหวินอิ๋ง
ถึงนางจะไม่ชอบเหวินอิ๋งเพียงใด แต่ในเวลานี้ไม่ช่วยก็คงไม่ได้ นางเรียกงูขาวออกมาและส่งสัญญาณให้มันออกไปช่วยคน
ผู้ใดจะรู้ว่าในขณะที่งูขาวอาศัยจังหวะที่หยางชูกำลังหยุดคนพวกนั้นรัดตัวเหวินอิ๋งไว้ จู่ๆ ก็มีคนกระโดดเข้ามาและพุ่งเข้าหางูขาว อีกฝ่ายตั้งใจโจมตีเพียงครั้งเดียวไม่ให้หลงเหลืออะไร หยางชูสังเกตเห็นได้ แขนของเขาสั่น ตัวกระบี่หลุดออกจากด้ามร่มเขาหันกลับไปโจมตี
ร่มหนังปลาฉลามเป็นอาวุธพิเศษซึ่งด้ามจับนั้นเป็นฝักกระบี่ หยางชูเคยใช้มันซ่อนกระบี่โอรสสวรรค์ไว้ เมื่อกลับมายังเมืองหลวงกระบี่โอรสสวรรค์ก็ถูกส่งคืนฮ่องเต้ และกระบี่ที่ซ่อนไว้ในร่มก็เปลี่ยนเป็นกระบี่ที่เขาใช้เป็นประจำแทน
ไอกระบี่ดุจสายรุ้งทรงพลังมีอานุภาพโจมตีใส่จวินโม่หลีอย่างไม่ลังเล
เป้าหมายของจวินโม่หลีคืองูขาว เขาจึงไม่คาดคิดว่าหยางชูจะหันกลับมาป้องกันได้รวดเร็วเพียงนี้ เมื่อเขารู้สึกถึงไอกระบี่จึงรีบยกมือเพื่อสกัดกั้นได้ทันเวลา
“เคร้ง” เสียงปะทะของคมกระบี่ดังขี้น จวินโม่หลีรู้สึกว่ามือของตนชาไปหมด ทั่วทั้งร่างถูกโจมตีอย่างรุนแรงจนไม่สามารถทรงตัวต่อได้และเขาก็ร่วงหล่นลงไป
“ศิษย์น้อง!” เขาได้ยินเสียงร้องของศิษย์พี่ของตนซึ่งอีกฝ่ายใช้วิชาตัวเบาบินมารับตัวจวินโม่หลี ยอดฝีมือของหวงเฉิงซือที่ซุ่มโจมตีอยู่ที่นี่รีบเข้ามาแทนที่ ขวางทางพวกเขาไว้
งูขาวอาศัยจังหวะนี้รีบคว้าตัวเหวินอิ๋งหลบไป ด้วยความที่มันเห็นกับตาว่าเหวินอิ๋งให้ร้ายเว่ยเสี่ยวอันจึงรู้สึกไม่ดีกับนางเท่าใดนัก มันจงใจตวัดหางใส่จนเหวินอิ๋งร้องออกมาด้วยความเจ็บแล้วล้มลงกับพื้น
หยางชูลงสู่พื้นตามมาเขาเห็นศิษย์พี่ของจวินโม่หลีก็โจมตีด้วยพลังกระบี่ใส่พวกเขาไปอย่างไม่ลังเล อีกฝ่ายที่ถูกโจมตีกลางคันจะไปโต้ตอบทันได้อย่างไร
จวินโม่หลีได้รับบาดเจ็บ เดิมทีเขาอารมณ์ไม่ดีอยู่ก่อนแล้ว แต่พอเห็นหยางชูเขายิ่งทนไม่ไหวพูดออกไปด้วยความโกรธเกรี้ยว “คิดว่าข้าแพ้เจ้ากระบวนท่านี้แล้วจะสู้เจ้าไม่ได้งั้นหรือ” พูดจบเขาก็ยกกระบี่ขึ้นโต้กลับ
“ศิษย์น้อง!”
คนผู้นั้นถอนหายใจอยากจะตำหนิอีกฝ่ายที่สะเพร่าเกินไป แต่ในเมื่อลงมือไปแล้ว ตนในฐานะศิษย์พี่ไม่สามารถมองดูอยู่เฉยๆ ได้จึงสะบัดแขนเสื้อและตรงไปหาหยางชู
ศิษย์น้องของเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนผู้นี้หากเขาไม่ยื่นมือเข้าไปช่วยศิษย์น้องของตนอาจเป็นอันตรายได้ แต่ในตอนนั้นเองก็มีเสียงขลุ่ยดังขึ้น
เสียงขลุ่ยดังขึ้นแผ่วเบา ช่างดูสงบและไพเราะ แต่กลับแฝงไปด้วยกลิ่นอายสังหารซึ่งพุ่งมายังตน คลื่นเสียงที่ไล่ตามมา จู่ๆ ก็ระเบิดขึ้นข้างกายเขา
อีกฝ่ายยังมียอดฝีมืออีกคน!
เมื่อตระหนักถึงสิ่งนี้เขาจึงหันศีรษะกวาดตามองออกไป และเห็นเด็กสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่บนรถม้า ใบหน้าของนางมีผ้าคลุมปิดกั้นไว้อยู่จึงมองเห็นใบหน้าไม่ชัดเจน แต่เสียงขลุ่ยที่นางเป่านั้นมีเป้าหมายชัดเจนมาก
ทันใดนั้นเขาก็ตัดสินใจที่จะจัดการกับเด็กสาวนางนี้ก่อน เขาจึงหันหลังกลับและพุ่งทะยานออกไป เด็กสาวนางนั้นหยุดเป่าขลุ่ยแล้วกระโดดขึ้นไปบนหลังคารถม้าแทน
เมื่อเขาไล่ตามไป นางก็กระโดดหนีไป
ระหว่างนั้นก็มีเสียงขลุ่ยดังขึ้นเป็นระยะๆ เนื่องจากถูกเสียงขลุ่ยรบกวนจวินโม่หลีจึงพลาดท่าให้แก่หยางชูจนเกือบจะล้มลง
เดิมทีเขาต้องการที่จะไปสกัดกั้นเพื่อช่วยศิษย์น้องของตน ผู้ใดจะรู้ว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งถึงเพียงนี้จึงอดไม่ได้ที่จะโกรธ เขาเลิกแขนเสื้อขึ้นจากนั้นยันต์ศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากก็พุ่งออกมาจากแขนเสื้อ
หมิงเวยพลิกตัวกระโดดหลบยันต์ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ อย่างไรอีกฝ่ายก็มียันต์ศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากไม่นานนางต้องเพลี่ยงพล้ำเป็นแน่
คนผู้นั้นเลิกคิ้วเขาไม่ได้รู้สึกดีใจ แต่แปลกใจมากกว่า
ทักษะการใช้คลื่นเสียงของเด็กสาวนางนี้ทรงพลังมาก จังหวะการก้าวเท้าที่เฉลียวฉลาดจนสามารถเรียกว่ายอดฝีมือชั้นหนึ่งได้ เพียงแต่กำลังภายในของนางไม่เพียงพอจึงทำให้ความสามารถทางร่างกายของนางไม่ค่อยดีนัก เคลื่อนไหวไม่กี่กระบวนท่าเรี่ยวแรงก็เริ่มถดถอยแล้ว
แปลกจริงๆ นางได้รับบาดเจ็บ แต่พละกำลังไม่ได้รับความเสียหายมากหรอกหรือ เขาใช้เวลาไม่นานก็ตัดสินใจว่าจับกุมอีกฝ่ายก่อนแล้วค่อยสอบถามดีกว่า หากสงสัยอะไรค่อยถามให้ชัดเจนหลังจับตัวได้แล้วกัน
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหลบหลีกเขาเป็นซะส่วนใหญ่ ยันต์ก็เหลือแค่สองแผ่นคงหลบไม่พ้นอีกแล้ว ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียง ‘ติง’ คลื่นเสียงระเบิดขึ้นปะทะกับยันต์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองแผ่นจนร่วงหล่นลงมา
เสียงกู่ฉินงั้นหรือ ดวงตาของเขาฉายแววสงสัยเขาหยุดการโจมตีลง
หากคิดจะสู้ต่อคงเป็นการกระทำที่ไม่ฉลาดเอาเสียเลย อีกฝ่ายมีสามคนซึ่งแต่ละคนฝีมือไม่ด้อยไปกว่าศิษย์น้องเลยสักนิด
อย่างไรก็ตามเขารู้สึกคุ้นเคยกับคลื่นเสียงนี้ เขาหยุดการโจมตีแล้วหันหน้าไปอีกทาง “พี่หนิง เป็นท่านหรอกหรือ”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายหยุดเคลื่อนไหวหมิงเวยจึงหยุดตาม นางหายใจหอบเล็กน้อยแล้วหันหน้าไปมองคนที่โจมตีตนชัดๆ
ศิษย์พี่ของจวินโม่หลีงั้นหรือ ทำไมศิษย์พี่ศิษย์น้องคู่นี้ถึงมาอยู่ที่นี่ได้
การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนนางไม่มีเวลาได้ทำความเข้าใจสิ่งใด จากนั้นก็มีร่างๆ หนึ่งกระโจนออกมาจากความมืด ใบหน้าแสนเย็นชา เสื้อผ้าพลิ้วไหวไปตามสายลมเป็นหนิงซิวที่ยืนถือกู่ฉินอยู่
“พี่เสวียนเฟยไม่เจอกันนานนะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“เป็นท่านจริงๆ ด้วย” บุรุษที่ถูกอีกฝ่ายเรียกว่าเสวียนเฟยยิ้ม “ผ่านไปไม่กี่ปี ไม่คิดว่าจะได้พบกับท่านในเมืองหลวง”
หนิงซิวแก้ไขคำพูดอีกฝ่าย “แค่ปีครึ่งไม่ใช่ไม่กี่ปี”
“….”
สีหน้าของเสวียนเฟยเหมือนทำอะไรไม่ถูก “ท่านยังคงอารมณ์ร้อนไม่เปลี่ยนเลยนะ เหตุใดวันนี้ท่านถึงได้ลงมือกันท่านกับแม่นางคนนั้นมีความสัมพันธ์อย่างไรหรือ”
หนิงซิวตอบ “ข้าไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับนาง แต่คนที่ศิษย์น้องของท่านต่อสู้ด้วยอยู่เป็นศิษย์น้องของข้า”
เสวียนเฟยตกใจเขาหันไปมองหยางชูกับจวินโม่หลีที่กำลังประมือกัน “ศิษย์น้องของท่านงั้นหรือ”
“ใช่”
“แต่วรยุทธ์ของเขาไม่เหมือนกับท่านเลยนะ!”
สีหน้าของหนิงซิวยังคงไม่เปลี่ยนแปลง “ท่านอาจารย์มีพลังฝีมือสูงล้ำไม่มีสิ่งใดไม่ถนัด พวกเราร่ำเรียนทักษะที่แตกต่างกันได้อย่างชำนาญและแม่นยำ ข้าเรียนกู่ฉิน ส่วนเขาเรียนกระบี่”
“อย่างนี้นี่เอง…” เสวียนเฟยไม่คิดโต้แย้งอะไร เขาแค่พูดต่อไปว่า “ในเมื่อเป็นคนคุ้นเคยกันก็ไม่จำเป็นต้องต่อสู้ให้รู้แพ้ชนะ”
แต่หนิงซิวกลับตอบว่า “จะต่อสู้กันก็ไม่เป็นไร”
“….” เสวียนเฟยอยากจะตีอีกฝ่ายเขาพูดเช่นนี้ไม่ใช่เพราะว่าศิษย์น้องของเขาดูเหนือกว่าหรอกหรือ ฝีมือศิษย์น้องของตนค่อนข้างหละหลวมเกินไปจริงๆ หลายปีที่ไม่ได้พบกันฝีมือของเขาดูพัฒนาขึ้นไปไม่เท่าไร กลับไปต้องฝึกฝนให้ดีกว่านี้
ในใจคิดเช่นนั้น แต่ใบหน้ากลับดูนิ่งสงบเขายิ้มแล้วกล่าวว่า “ท่านกับข้าได้พบกันก็อย่าทำลายมิตรภาพกันเลยดีกว่า” แล้วเขาก็ตะโกนออกไป “ศิษย์น้อง พอได้แล้ว!”
การเคลื่อนไหวเงียบๆ ของพวกเขาทางด้านนั้น หยางชูและจวินโม่หลีสังเกตเห็นตั้งนานแล้วเพียงแต่ทั้งสองคนเป็นหนุ่มเลือดร้อนไม่ยอมหยุดมือก่อน
พอผ่านไปสักพักเสวียนเฟยตะโกนขึ้นถึงจวินโม่หลีจะไม่พอใจ แต่เขาก็ต้องถอนหายใจและหยุดมือลงจากนั้นก็กระโดดลงสู่พื้นดิน ซึ่งหยางชูก็ตามลงมาด้วยเช่นกัน
หนิงซิวมองพวกเขาศิษย์พี่ศิษย์น้องจากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “พี่เสวียนเฟย ปกติท่านเป็นคนไม่ชอบก่อปัญหาเหตุใดวันนี้ถึงได้ลงมือกับศิษย์น้องของข้าได้”
เสวียนเฟยยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ตามนิสัยของเขาแล้วต่อให้พบสิ่งใดผิดปกติแต่เขาก็ไม่ลงมือตามใจชอบ ผู้ใดใช้ให้ศิษย์น้องของตนเองวู่วามเช่นนี้เล่า
“พี่หนิงโปรดยกโทษให้ด้วย ศิษย์น้องของข้าแค่เห็นคนเรียกวิญญาณงูโจมตีมนุษย์ธรรมดาจึงเป็นกังวล” สายตาของเขามองไปที่หมิงเวย
“พวกเราเสวียนเหมินหากไม่มีความจำเป็นก็ไม่ควรใช้เคล็ดวิชากับมนุษย์ธรรมดา ข้อห้ามนี้แม่นางคงทราบดี”
………