การหลีกเลี่ยงไม่สามารถแก้ปัญหาได้
เมื่อเห็นอีกฝ่ายหัวเสียหนิงซิวจึงตอบไปว่า “องค์หญิงตรัสว่าท่านไม่เหมาะกับเมืองหลวง…”
หยางชูพูดอย่างไม่เกรงใจ “ข้าเกิดและโตที่นี่จะไม่เหมาะได้อย่างไรจะให้ท่องไปทั่วยุทธภพเหมือนพวกท่านงั้นหรือ ข้าทนใช้ชีวิตลำบากเช่นนั้นไม่ได้หรอก!”
“นิสัยของท่านป่าเถื่อนเกินไป…”
หยางชูแค่นหัวเราะ “ข้าป่าเถื่อนตรงไหนกันตอนนี้ไม่ใช่ว่าดีขึ้นแล้วหรือ ป่าเถื่อนอย่างไรกัน” หนิงซิวเงียบอีกครั้ง
“พวกท่านวางแผนอะไรกัน เหตุใดข้าต้องถูกส่งไปเป็นนักพรตแล้วใช้ชีวิตอย่างยากลำบากด้วย”
“ท่านจะไม่บวชก็ได้ ศิษย์พี่เองก็ไม่ได้บวช”
“มันใช่ประเด็นงั้นหรือ” หยางชูแทบจะกระโดดขึ้นโต๊ะ แต่ครั้งนี้ไม่ว่าเขาจะโกรธแค่ไหนหนิงซิวก็ไม่ตอบโต้
หยางชูโกรธจัดจนพูดออกไปว่า “ไปๆๆ! ข้าไม่เคยพบเจอคนที่ถูกส่งมาเป็นศิษย์พี่มาก่อน ข้าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากท่าน ท่านไม่ต้องไปสืบให้ข้าแล้ว!”
หนิงซิวครุ่นคิดแล้วลุกขึ้น “งั้นข้าขอตัวก่อนหากมีเรื่องอะไรก็ใช้สิ่งนี้ส่งข้อความหาข้า” เขาวางขลุ่ยเลาหนึ่งไว้แล้วเดินจากไป
หยางชูโกรธ คนอะไรไล่แล้วก็ไม่ไป! แต่เขาก็พูดออกไปไม่ได้ ได้แต่มองหนิงซิวเดินออกไป
หมิงเวยจิบชาช้าๆ แล้วพูดขึ้นว่า “ท่านนี่อาศัยว่าตนเองเป็นคนโปรดฮ่องเต้จึงหยิ่งยะโสเสียจริง!” หยางชูมองนางอย่างไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก
หมิงเวยโบกมือ “ท่านอย่าเอาอารมณ์โกรธมาลงกับข้า ข้าไม่ใช่ศิษย์พี่ของท่านที่ยอมปล่อยให้ท่านระบายความโกรธโดยที่ไม่ว่าอะไรได้นะเจ้าคะ”
หยางชูยิ่งโกรธมากขึ้น แต่เขาก็ไม่ได้ระบายมันออกไป เขาระงับอารมณ์ตนเองอยู่พักใหญ่ก่อนจะพูดว่า “ท่านพูดอะไรหน่อย ตอนนี้ท่านควรปลอบข้าไม่ใช่หรือ”
หมิงเวยกะพริบตา “อ้อ”
แล้วนางก็ยื่นมือไปลูบศีรษะเขา “อย่าโกรธเลยเด็กดี”
“….”
“ขี้เกียจพูดกับท่านแล้ว!” แก้มของเขาแดงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขารีบเดินออกไปข้างนอกแต่ก็ไม่ทันระวังตัวศีรษะไปโขกกับวงกบประตูเข้าให้
หมิงเวยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
หยางชูได้ยินเสียงหัวเราะก็ยิ่งหัวเสียเขาแค่นหัวเราะแล้วเดินออกไปด้วยความโกรธเกรี้ยว เมื่อร่างของเขาพ้นสายตาไปรอยยิ้มของหมิงเวยก็หายไป นางมองชาที่เหลืออยู่บนโต๊ะ
ปฏิกิริยาของหนิงซิวแปลกมากเขาคงไม่ได้พูดความจริงออกมาทั้งหมดเป็นแน่ หยางชูเกิดในจวนโหวถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจจนโต สำหรับเขาแล้วการให้ออกจากเมืองหลวงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างลำบากไม่มีสาวใช้ล้อมรอบ ไม่ได้อยู่ดีกินดี ให้เขาไปใช้ชีวิตอย่างชาวยุทธภพเป็นเรื่องที่ยากจะจินตนาการได้
เหตุใดองค์หญิงถึงต้องการให้เขาจากเมืองหลวงไปด้วย เมืองหลวงมีอันตรายอะไรกันแน่ถึงทำให้นางคิดว่าหากหยางชูอยู่นอกเมืองหลวงจะดีกว่า แล้วจู่ๆ องค์หญิงก็มาเสียชีวิตกะทันหันเช่นนี้ อีกทั้งคำพูดที่นางทิ้งไว้ก่อนเสียชีวิตอีก
มีหลายเรื่องที่ดูไม่เข้าท่า เสียงเคาะบอกเวลาว่าตอนนี้เป็นเวลายามสี่แล้ว
หมิงเวยลุกขึ้นบิดขี้เกียจเตรียมตัวกลับไปพักผ่อน คดีพบกระดูกศพที่อุโมงค์ใต้สะพานได้เสร็จสิ้นลงแล้ว แต่การปรากฏตัวของเสวียนเฟยที่นางคาดไม่ถึงทำให้ต้องมานั่งคิดถึงเรื่องนี้เรื่องปัญหาของเสวียนตูกวัน…
………
เวลาผ่านไปครึ่งเดือน จี้เสียวอู่เห็นประตูใหญ่จวนของตนเองก็แทบร้องไห้
“ท่านแม่ ในที่สุดลูกก็มีชีวิตรอดกลับมา! ไอหยา!” พูดจบเขาก็รู้สึกเจ็บที่หัวตามมา เป็นนายท่านจี้ที่เดินออกมาจากประตู
“แค่ออกไปทัศนศึกษายังรู้สึกจะเป็นจะตายเช่นนี้ เจ้าไม่อยากมีอนาคตที่ดีหรือไง” จี้เสียวอู่กุมหัวแล้วน้ำตาไหล
ท่านพ่อ บุตรชายของท่านเกือบตายแล้วท่านไม่รู้หรือ
“ท่านอา!” จูเอ๋อร์วิ่งออกมา จี้เสียวอู่ซาบซึ้งจนน้ำตาไหลคิดว่าจูเอ๋อร์คิดถึงตน…
“ท่านไม่ได้โดนอาจารย์ไล่ตีกลับมาหรือ”
“….” นี่นางเป็นเด็กตระกูลไหนกันไม่มีใครสั่งสอนเลยหรือ!
หมิงเวยเดินเข้าไปกอดจูเอ๋อร์ “ท่านอากำลังเศร้า พวกเราอย่าไปหัวเราะเยาะเขาเลย”
“อ้อ….” หลังทานอาหารเย็นเสร็จ ทั้งสองคนก็ไปคุยกันบนหลังคาเรือนข้างๆ
“เจ้าบอกจะสอนเคล็ดวิชาให้ข้า รักษาคำพูดด้วยล่ะ”
“แน่นอน” หมิงเวยชี้ไปที่ตัวฝูที่อยู่ในลานบ้าน “ข้าพูดกับตัวฝูแล้ว ท่านอยากเรียนอะไรนางจะสอนอันนั้นให้เจ้าค่ะ”
จี้เสียวอู่ไม่พอใจ “เจ้ามีความจริงใจหรือไม่ สอนด้วยตนเองจะตายหรืออย่างไร”
“ท่านอย่าดูถูกตัวฝูได้หรือไม่”
“ข้าไม่ได้ดูถูกตัวฝู แต่เจ้าดูถูกข้า!”
หมิงเวยคิดว่าคุยกับเขาเรื่องนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์จึงบอกไปว่า “ข้ามีเรื่องที่สำคัญมากต้องจัดการ ไม่มีเวลาสอนท่านเจ้าค่ะ”
“เรื่องสำคัญอะไร” หากไม่ถามจนถึงที่สุดก็ไม่ใช่จี้เสียวอู่
“ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่ต้องบอกท่าน”
“ชิ!” จี้เสียวอู่หันหน้าไปทางอื่น
หมิงเวยมองเขาแล้วยิ้ม “พี่ห้า สิ่งที่เรียกว่ายุทธภพน่ะ ท่านได้สัมผัสด้วยตนเองมาแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง”
จี้เสียวอู่ทำปากยื่น “หยุดเถอะ! เจ้าให้ข้าออกไปเล่นละครชุดใหญ่นั่นเนี่ยนะ! ยุทธภพงั้นหรือตรงไหนกัน”
“กลุ่มยาจกไงเจ้าคะ!” หมิงเวยตอบ “ท่านไม่สามารถปฏิเสธได้ว่ากลุ่มยาจกเป็นส่วนหนึ่งของยุทธภพ”
“จะพูดเช่นนั้นก็ได้แต่…” จี้เสียวอู่ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
“งั้นข้าขอถามท่าน หนังสือนิทานที่ท่านอ่านมาหลายเล่ม พวกเขาได้เขียนเส้นทางการท่องยุทธภพหรือไม่ว่ามาจากที่ไหน”
จี้เสียวอู่เกาหัวเขาจำไม่ได้
“ไม่ได้เขียนไว้ใช่หรือไม่เจ้าคะ เพราะนั่นคือความสวยงาม ผู้คนต้องทานอาหาร ต้องสวมเสื้อผ้า มีความต้องการทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนต้องการเงิน ผู้ที่ต่ำต้อยกว่าอย่างกลุ่มยาจกงานสกปรกแค่ไหนพวกเขาก็ทำ
หากดีหน่อยก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่ากลุ่มยาจกในลั่วเฉิง แม้จะไม่ได้ทำสิ่งชั่วช้าเช่นนี้ แต่ก็มีหอนางโลม สถานที่เล่นพนัน ธุรกิจเหล่านี้อยู่ระหว่างขาวกับดำ หากไม่ระวังก็กลายเป็นว่าข้ามเส้นไปได้เช่นกัน”
จี้เสียวอู่พูดเสียงกระซิบ “ข้าอยากเป็นเซียน…”
หมิงเวยหัวเราะเบาๆ “สิ่งที่เรียกว่าเซียน ไม่มีอะไรมากไปกว่าชาวยุทธภพที่เป็นเคล็ดวิชา เหตุผลเดียวกันท่านในตอนนี้ไม่เคยอยู่ในหมู่คนที่เป็นเคล็ดวิชา หากได้พบ ท่านก็จะรู้ว่าพวกเขามีอารมณ์ความรู้สึกความปรารถนาแบบปุถุชนทั่วไป ไม่ต่างอะไรจากคนธรรมดา”
จี้เสียวอู่เหล่มองนาง “พูดเหตุผลเสียยกใหญ่ แล้วเหตุใดเจ้าไม่เป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์ที่ดีล่ะ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในยุทธภพทำไม”
“ข้าไม่มีทางเลือก!” หมิงเวยยักไหล่ “ผู้ที่ถูกเลือกโดยสวรรค์ ข้าเป็นปรมาจารย์แห่งชีวิตหากข้าไม่รับผิดชอบแล้วผู้ใดจะรับผิดชอบเล่า”
จี้เสียวอู่พ่ายแพ้ต่อความหน้าด้านของนาง
หมิงเวยหัวเราะ หัวเราะเสร็จนางก็บอกว่า “เอาล่ะ ข้าจะฝึกบริหารจิตแล้ว”
ดวงตาของจี้เสียวอู่เป็นประกาย “สอนข้าที!”
หมิงเวยครุ่นคิด “เอาล่ะ ท่านต้องท่องคาถานี้ให้คุ้นเสียก่อน…”
……….
ณ ลานบ้านตระกูลจี้ สะใภ้ใหญ่สะบัดพัดไปมา ในขณะเดียวกันก็มองไปยังจี้เสียวอู่และหมิงเวยที่อยู่บนหลังคาเรือนข้างๆ “ความสัมพันธ์ของน้องหญิงกับเสียวอู่ไปได้ดีมาก!”
จี้หลิงมองอย่างสงสัย “พวกเขาสองคนสามารถพูดคุยกันได้ แต่แปลกมากที่น้องหญิงจนถึงตอนนี้ยังไม่พูดเรื่องถอนหมั้นเสียที!”
พูดจบเขาก็ถูกฮูหยินของตนตีเข้าให้ “ท่านเป็นพี่ชายไม่ใช่หรือ อยากจะให้น้องชายถูกรังเกียจขนาดนั้นเลยหรืออย่างไร”
จี้หลิงชี้แจงข้อเท็จจริง “ไม่ใช่ เจ้าไม่รู้ว่าน้องหญิงนาง…ไอหยา อย่างไรก็ตามนางเก่งกาจกว่าเสียวอู่เยอะ พวกเขาไม่เหมาะสมกัน!”
“มีอะไรไม่เหมาะสมกัน” นางกลับไม่เห็นด้วย “น้องหญิงฉลาดเฉลียว มีความคิดเป็นผู้ใหญ่ คงเป็นเพราะประสบการณ์ชีวิตของนางด้วย อันที่จริงพวกเขาสองคนมีบุคลิกที่คล้ายกัน ท่านก็เห็นว่าครอบครัวเรามีคนมากมายเพียงนี้ ผู้ใดกันที่ทำให้คนแปลกๆ อย่างเสียวอู่จริงจังขึ้นมาได้มีแค่น้องหญิงคนเดียวที่พูดกับเขาได้มิใช่หรือ”
จี้หลิงคิดตาม “นั่นก็มีเหตุผล…”
เพราะฉะนั้นเขายังหวังในตัวน้องหญิงได้อยู่ใช่หรือไม่
………