เมื่อหยางชูเข้าพระราชวังก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่เหล่าขุนนางเลิกประชุมพอดี ข้าราชสำนักหลายคนเดินไปที่ประตูวัง เขาเดินสวนกับฝูงชนดังกล่าว
ข้าราชสำนักคนเก่าคนแก่ส่วนใหญ่รู้จักองค์หญิงหมิงเฉิง เมื่อเห็นหยางชูหลายคนก็หยุดทักทายเขา
โส่วเซี่ยง[1]หลู่เฉียนหยุดเดิน ชายคนนี้อายุมากแล้วร่างกายเลยขยับไม่สะดวกเท่าใดนัก ฮ่องเต้เองก็เห็นอกเห็นใจเขาจึงให้เขาขึ้นเกี้ยวเป็นกรณีพิเศษ
“คุณชายหยางจะเข้าพบฝ่าบาทหรือ” หยางชูให้ความเคารพผู้อาวุโสวัยมากกว่าเจ็ดสิบปีผู้นี้ เขาโค้งกายทำความเคารพและตอบกลับไป “ขอรับ”
หลู่เฉียนยิ้ม “เวลานี้เช้าตรู่ เจี่ยงเหวินเฟิงรายงานว่ากลุ่มยาจกในเมืองหลวงถูกพวกท่านตัดรากถอนโคนแล้ว ช่างเป็นข่าวดีจริง! ตอนที่ข้าดำรงตำแหน่งจิงจ้าวอิ่นก็เคยกวาดล้างกลุ่มยาจก แต่พวกมันก็มีที่หลบซ่อนตัวมากมายผ่านไปไม่กี่ปีก็ฟื้นคืนกลับมาอีก แต่คนหนุ่มอย่างพวกท่านมีแรงจูงใจ คนแก่อย่างพวกข้าเทียบไม่ติดเลย”
หยางชูตอบกลับ “หลู่เซียงชมเกินไปแล้วขอรับ เข้าโจมตีกลุ่มยาจกไม่ได้ลงแรงเพียงวันเดียว ถึงแม้ตอนนี้เราจะกวาดล้างถ้ำโจรจนสิ้นซากแล้ว แต่ใต้เท้าเจี่ยงต้องทำงานอย่างหนักเพื่อป้องกันปัญหาในอนาคตขอรับ”
หลู่เฉียนได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มอย่างยินดี “คุณชายหยางพูดมาก็มีเหตุผล”
ทั้งสองคนคุยกันต่ออีกสักพักก็แยกย้ายกันไป คนหนึ่งเดินออกจากสำนักพระราชวัง อีกคนเข้าวังเพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้
ในสายตาของผู้อื่นมองว่าไม่มีอะไรผิดปกติ ผู้ใดจะไม่รู้ว่าในช่วงแรกที่หลู่เฉียนตกต่ำเคยได้รับความช่วยเหลือจากองค์หญิงหมิงเฉิงมาก่อน เป็นเรื่องปกติที่ต้องดูแลคนรุ่นหลังหากพบเจอกันก็แค่หยุดพูดคุยทักทายกันเท่านั้นเอง แต่ในสายตาของไท่จื่อเจียงเชิ่งนั้นกลับรู้สึกขวางหูขวางตาเสียจริง
เหวินยวนกระซิบ “หลู่เซียงมองเขาต่างออกไปจริงๆ”
เจียงเชิ่งไม่สบายใจ แต่ปากกลับพูดออกไปว่า “อย่างไรเขาก็ได้ความรักจากท่านป้า”
เหวินยวนพูดอีกว่า “แต่เขาไม่ได้ใจดีกับไท่จื่อเลยพะย่ะค่ะ”
เจียงเชิ่งไม่พูดอะไรเขาก้าวไปข้างหน้า
โส่วเซี่ยงหลู่เฉียนดำรงตนอย่างเที่ยงธรรมมาโดยตลอด ไม่ว่าคนอื่นจะประจบประแจงตนที่เป็นถึงไท่จื่ออย่างไร แต่อีกฝ่ายก็แยกงานออกจากเรื่องส่วนตัวได้ ไม่ทำตัวใกล้ชิด แต่ก็ไม่ได้ทำตัวบาดหมาง
เมื่อก่อนเจียงเชิ่งคิดว่าเป็นเช่นนี้น่ะดีแล้ว ตนเป็นไท่จื่อเป็นรัชทายาทที่น่าเชื่อถือ หลู่เฉียนไม่ตั้งพรรคไม่เข้าข้างผู้ใดมากจนเกินไปซึ่งถือว่าเป็นทัศนคติที่ดีมาก
แต่ไม่รู้ว่าหลายวันมานี้ตนเป็นอะไรยิ่งรู้สึกอึดอัดในใจมากขึ้นเรื่อยๆ
เขาไม่เข้าข้างผู้ใดมากเกินไป แต่กลับพูดดีกับเด็กนั่น เสด็จพ่อเองเมื่อพูดถึงก็มีแต่พูดเรื่องดีๆ…
เด็กนั่นไม่ได้ยกย่องเป็นองค์ชายด้วยซ้ำ แต่ถ้าหากวันหนึ่ง…เจียงเชิ่งยิ่งคิดยิ่งไม่พอใจ
แล้วเหวินยวนก็พูดขึ้นอีกว่า “น้องสี่ดูเหมือนยังตกใจกลัวอยู่ หลายวันมานี้นอนไม่ค่อยหลับ น้องสามก็รู้สึกทุกข์ใจอยากไปเสวียนตูกวันเพื่อขอเครื่องราง ไท่จื่อช่วงนี้พระองค์เองก็ดูกระสับกระส่าย อยากเสด็จไปด้วยกันหรือไม่พะย่ะค่ะ”เจียงเชิ่งชะงัก
เหวินยวนชะงักเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายสีหน้าดูไม่ค่อยดี ขบคิดว่าตนเองควรผ่อนคลายหน่อยดีหรือไม่ ผู้ใดจะรู้ว่าเจียงเชิ่งกลับแย้มยิ้มขึ้นมา “ได้สิ!”
เพิ่งไปรับกลับมาก็คิดผลักนางมาให้ตนเสียแล้วช่างใจร้อนเสียจริง
หลายปีมานี้ตระกูลเหวินช่วยตนมาไม่น้อยอีกทั้งยังเป็นครอบครัวของท่านลุง ตนเคยคิดว่าการมีลูกพี่ลูกน้องทำให้รู้สึกอุ่นใจ ผู้ใดจะคิดว่าพวกเขาจะหลอกลวงตนเช่นนี้
หายตัวไปครึ่งเดือนไม่รู้ว่ายังบริสุทธิ์อยู่หรือไม่แต่ยังคิดผลักนางมาให้ตนอีก ตอนนี้เป็นพระชายาต่อไปเป็นฮองเฮา ฮองเฮาที่เคยถูกกลุ่มยาจกลักพาตัวไปครึ่งเดือนพวกเขายังมียางอายอยู่หรือไม่ คงต้องทำให้พวกเขาตัดใจเสียแล้ว
………
ฮ่องเต้มาพบหยางชูอย่างรวดเร็วฟังอีกฝ่ายรายงานคดีกระดูกศพที่อุโมงค์ใต้สะพานเสร็จก็พยักหน้าทั้งรอยยิ้ม “เจียงชิงบอกว่าเจ้าลงแรงมาไม่น้อยหลายวันมานี้ลำบากเจ้าแล้ว”
หยางชูก้มหน้าตอบรับ “กระหม่อมเป็นแค่ผู้ช่วยไม่ลำบากอะไรเลยพะย่ะค่ะ”
“เจ้ารับผิดชอบเรื่องข้อมูล สิ่งที่เจ้าลงแรงทำไปไม่น้อยไปกว่าเจียงชิงเลย! ” ฮ่องเต้ยิ้ม “เจ้ามีความดีความชอบพูดมาได้เลยว่าต้องการสิ่งใด ข้าจะจัดหามาให้เอง”
หยางชูลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบไปว่า “กระหม่อมยังนึกไม่ออกขอเก็บไปคิดก่อนได้หรือไม่พะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หัวเราะ “ได้ เจ้าเก็บไปคิดก่อนได้”
หยางชูเห็นว่าอีกฝ่ายอารมณ์ดีเขาขบคิดอยู่สักพักก็พูดออกไปว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องจะเรียน เรื่องนี้เป็นความดีความชอบของคนผู้หนึ่งกระหม่อมอยากตบรางวัลให้เขาพะย่ะค่ะ”
“เจ้าหมายถึงจี้เหว่ยหรือ” ฮ่องเต้ได้รับรายงานแล้ว
“พะย่ะค่ะ” หยางชูตอบ “เขาไร้งานไร้ตำแหน่งเป็นเพราะความขุ่นเคืองใจในความอยุติธรรมเขาจึงยอมรับความเสี่ยง”
ฮ่องเต้ยิ้ม “เรื่องนี้จำเป็นต้องพูดเป็นการส่วนตัวใช่หรือไม่ สายลับเหรียญทองของหวงเฉิงซือ เจ้าจัดการได้เต็มที่เลย”
หยางชูรู้สึกกระดากอายเล็กน้อย “เขาไม่ยินดีเข้าหวงเฉิงซือพะย่ะค่ะ”
“อ้อ” ฮ่องเต้นึกอะไรขึ้นมาได้ “จริงสิ เจ้าบอกว่าเขาเป็นลูกหลานตระกูลจี้สินะ บิดาและพี่ชายของเขาคงคาดหวังให้เขามีสถานะที่เป็นทางการใช่หรือไม่”
“ขอรับ”
“ง่ายมาก เจิ้นจะแต่งตั้งเขาเป็นขุนนางอิสระ”
เมื่อพูดคุยเรื่องสำคัญกันเสร็จฮ่องเต้พูดอีกว่า “เอาล่ะ เจิ้นไม่มีธุระอะไรแล้ว เจ้าไปหาท่านน้าของเจ้าเถอะ นางมีเรื่องอยากพูดกับเจ้า” หยางชูรับคำแล้วขอตัวลา
ชุยชุ่นรออยู่ด้านนอกเมื่อเห็นเขาออกมาก็เข้ามาทักทายด้วยรอยยิ้ม จากนัั้นก็พาเขาไปที่พระราชวังเชียนชิว
เผยกุ้ยเฟยยังอยู่ที่ตำหนักหลิงติง นางไม่ได้เขียนภาพแต่พูดคุยกับนางในเกี่ยวกับการหมักเหล้าบ๊วย เมื่อเห็นหยางชูเดินเข้ามาก็ยิ้มแล้วโบกมือเรียกอีกฝ่าย “เจ้าไม่ได้มาที่นี่นานเลยพอโตแล้วไม่ชอบน้าแล้วใช่หรือไม่”
หยางชูทำความเคารพแล้วพูดเสียงเบา “ช่วงนี้กระหม่อมยุ่งมาก แต่ตอนนี้ใกล้จบเรื่องแล้วพะย่ะค่ะ”
“น้าได้ยินเรื่องนี้มาแล้ว” เผยกุ้ยเฟยถอนหายใจ “ชะตากรรมของเด็กหญิงและเด็กที่ถูกลักพาตัวช่างน่าสังเวชเสียจริง โชคดีที่เจ้าไขคดีได้พวกนางจะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานอีกต่อไป”
หยางชูยิ้มบางๆ แล้วพูดเปลี่ยนเรื่อง “ฝ่าบาทบอกว่าท่านน้ามีเรื่องจะพูดด้วยหรือพะย่ะค่ะ”
“อ้อ” เผยกุ้ยเฟยนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้แล้วกวักมือเรียกนางใน “น้าคิดเรื่องนี้แทนเจ้ามานานแล้ว มาดูนี่สิเป็นอย่างไรบ้าง”
หยางชูเห็นว่านางในหลายคนวิ่งไปหยิบม้วนภาพหลายอันมากางออกต่อหน้าเขาซึ่งเป็นภาพวาดหญิงสาวที่มีรูปร่างหน้าตาแตกต่างกันไป
ใบหน้าของหยางชูแข็งค้างขึ้นเล็กน้อย นี่ไม่ใช่ครั้งแรก…เผยกุ้ยเฟยเคยทำเช่นนี้มาก่อนในช่วงที่เขาไว้ทุกข์ เขาคิดว่าตนเองพูดเรื่องนี้ชัดเจนไปแล้ว แต่ที่แท้นาง…
“เป็นอย่างไรบ้าง เจ้าไม่ชอบผู้ใดเลยหรือ” เผยกุ้ยเฟยถามเขา
หยางชูกดความโกรธเอาไว้ในใจแล้วพูดว่า “เหนียงเหนียง กระหม่อมเคยเรียนท่านไปแล้วว่าไม่สนใจเรื่องนี้…”
ยามที่เขาโกรธจะเรียกนางว่าเหนียงเหนียง และแทนตนเองว่ากระหม่อม
รอยยิ้มของเผยกุ้ยเฟยหายไปนางกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ชูเอ๋อร์ สิ่งที่เรียกว่าชะตากรรมเป็นสิ่งที่คนโง่พูดมาตลอด หากเจ้าเก็บมันมาใส่ใจมันก็จะกลายเป็นเรื่องหนึ่ง บิดาของเจ้ามีเจ้าเป็นสายเลือดเพียงคนเดียว หากเจ้าไม่แต่งงานเจ้าจะให้เขาไร้ทายาทสืบสกุลหรือ”
“ตระกูลหยางไม่ได้หยุดอยู่ที่กระหม่อมคนเดียว” หยางชูพูดเสียงแข็ง “พี่ใหญ่พี่รองก็มีทายาทแล้วพวกเขาล้วนเป็นลูกหลานตระกูลหยาง”
“แต่พวกเขาไม่ใช่บุตรของบิดาเจ้า!” ครั้งนี้เผยกุ้ยเฟยไม่ยอมถอย “นี่ไม่ใช่เรื่องของเจ้าเพียงคนเดียว”
หยางชูก้มหน้าเขาไม่พูดอะไรแต่ก็ไม่คิดยอมจำนน
เผยกุ้ยเฟยเห็นเขาเป็นเช่นนี้ก็อับจนหนทางตั้งแต่เล็กจนโตเขาก็เป็นเช่นนี้ เรื่องที่ตนเองไม่ยินยอมไม่ว่าผู้ใดก็ไม่ยอมก้มหัวให้
สายตาของเผยกุ้ยเฟยอ่อนลงนางถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ชูเอ๋อร์ เจ้าบอกน้ามาตรงๆ เถิด เจ้าไม่ยอมแต่งงานเป็นเพราะโชคชะตาที่ถูกทำนายเอาไว้หรือว่าเป็นเพราะ…แม่นางผู้นั้น”
…………
[1] โส่วเซี่ยง : นายกรัฐมนตรี