ฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านไปอากาศเริ่มหนาวในยามค่ำคืน เมื่ออากาศหนาวมาเยือน สตรี เด็กและคนชราที่ร่างกายอ่อนแอล้มป่วยมากขึ้น
ในวังหลวง เผยกุ้ยเฟยก็ล้มป่วยเช่นกัน
ฮ่องเต่รีบมาที่พระราชวังเชียนชิวซึ่งภายในห้องมีสนมหลายคนได้มานั่งเยี่ยมอยู่ก่อนแล้ว
ฮุ่ยเฟยที่อาวุโสที่สุดพูดกับเขาว่า “หมอหลวงบอกว่าล้มป่วยเนื่องจากอากาศเปลี่ยนเพคะ เพียงบำรุงร่างกายให้ดีก็พอ ฝ่าบาทไม่ต้องกังวลไปเพคะ”
ฮ่องเต่พยักหน้าเขายิ้มพอเป็นพิธี “เช่นนั้นก็ดีแล้ว ตอนนี้อากาศหนาวนักพวกเจ้าระวังสุขภาพด้วย” เหล่าสนมตอบรับ
“พวกเจ้ากลับไปก่อนเถอะ พวกเจ้ารู้นิสัยของกุ้ยเฟยดี นางไม่ชอบรบกวนผู้อื่น พวกเจ้ามีอะไรก็ไปทำเถอะไม่ต้องอยู่ที่นี่หรอก”
เหล่าสนมต่างอาลัยอาวรณ์ที่จะจากไป แต่ก็ทำได้แค่ขอตัวลา พวกนางอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจในใจ ฝ่าบาททรงตกอยู่ในความลุ่มหลง ในสายตาของพระองค์มีแต่กุ้ยเฟยเท่านั้น ไม่มีสายตาไว้มองผู้อื่นเลย แม้เหล่าสนมมากมายจะแต่งตัวได้งดงามแค่ไหน อาศัยโอกาสที่อีกฝ่ายล้มป่วยเพื่อได้พบพระพักตร์ แต่ก็ไม่สามารถเข้าไปอยู่ในพระเนตรของพระองค์ได้
หลังจากที่เหล่าสนมจากไปฮ่องเต้ก็เข้าไปพูดกับเผยกุ้ยเฟยภายในห้อง จากนั้นก็มีนางในเข้ามารายงานว่า “ไท่จื่อกับซิ่นอ๋องเสด็จมาเยี่ยมเพคะ ทั้งสองพระองค์เสด็จมาถามไถ่อาการของกุ้ยเฟย”
เดิมทีฮ่องเต้ต้องการให้นางในไล่พวกเขากลับไป แต่ก็ถูกเผยกุ้ยเฟยรั้งเอาไว้เสียก่อน “เป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะจำสนมได้ ฝ่าบาท พระองค์ออกไปพูดคุยกับพวกเขาเถอะเพคะ ช่วงเวลาของพ่อลูกท่านอย่าทำตัวห่างเหินนักเลย”
ฮ่องเต้ทอดถอนใจ “เจ้าจิตใจดีงามเช่นนี้ เหตุใดถึงไม่สามารถรับตำแหน่งมารดาแห่งแผ่นดินได้กันพวกเขาสร้างปัญหาจริงๆ!”
เผยกุ้ยเฟยหัวเราะ “ฝ่าบาทอย่าพูดเช่นนี้เลยเพคะ หม่อมฉันได้ตำแหน่งกุ้ยเฟย รู้สึกซาบซึ้งในพระคุณเป็นอย่างยิ่งไฉนจะกล้าหวังเกินเลยไปกว่านี้ ตำแหน่งฮองเฮาไม่ใช่ว่าผู้ใดจะนั่งกันได้ง่ายๆ”
ได้ยินนางพูดเรื่องนี้ฮ่องเต้ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “เจ้าควรเป็นมารดาของแผ่นดิน หากไม่ใช่เพราะคำทำนายในตอนนั้น….”
“ฝ่าบาท!”
ฮ่องเต้หยุดตนเองได้ทันเขายิ้มให้นาง “ได้ เจิ้นจะไม่พูดถึงเรื่องนั้นอีก แล้วจะออกไปพบเด็กสองคนนั้นด้วย เจ้านอนพักเถอะ”
ฮ่องเต้เดินออกไปภายในห้องจึงเหลือเพียงนางคนเดียว
รอยยิ้มบนใบหน้าของเผยกุ้ยเฟยเลือนหายไป แววตาคู่นั้นช่างดูว่างเปล่า นางยิ้มเยาะตนเอง “มารดาแห่งแผ่นดินงั้นหรือเป็นชะตากรรมที่โง่เสียจริง!”
……….
ไท่จื่อเจียงเชิ่งและซิ่นอ๋องเจียงเฉิงกำลังรออยู่ด้านนอก เมื่อเห็นฮ่องเต้เดินออกมาพวกเขาก็ทำความเคารพ “ลูกได้ยินว่ากุ้ยเฟยเหนียงเหนียงล้มป่วยจึงเดินทางมาถามไถ่อาการ ไม่คิดว่าเสด็จพ่อจะอยู่ที่นี่ด้วย ลูกเลินเล่อเสียแล้ว”
ฮ่องเต้ยิ้มแล้วเดินเข้ามาประคองพวกเขา “พวกเจ้ามีเจตนาดี”
เจียงเชิ่งเหลือบมองแล้วถามอย่างระมัดระวัง “เสด็จพ่อ เหนียงเหนียงเป็นอย่างไรบ้างพะย่ะค่ะ”
“แค่หวัดธรรมดาพักผ่อนสักสองวันก็ดีขึ้นแล้ว”
เจียงเชิ่งทำหน้าเสียใจ “เป็นเพราะลูกเองทำให้เหนียงเหนียงกังวลเรื่องการคัดเลือกพระชายาจนต้องล้มป่วย”
“เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย” ฮ่องเต้ตอบ “เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว กุ้ยเฟยแค่เจอลมหนาวจนล้มป่วยอีกไม่นานนางก็หาย”
พูดคุยต่ออีกไม่กี่ประโยคฮ่องเต้ก็ให้พวกเขากลับไป
เจียงเชิ่งกับเจียงเฉิงเดินออกจากพระราชวังเชียนชิว พวกเขาเงียบตลอดทางไม่พูดอะไร จนกระทั่งเดินพ้นเขตต้องห้ามของพระราชวัง เจียงเฉิงก็พูดขึ้นว่า “พี่ใหญ่ ท่านเลือกพระชายาหรือยัง”
เจียงเชิ่งพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงเลือกมาให้จำนวนหนึ่ง และให้ข้าเลือกด้วยตนเองต่อ”
“ไม่ทราบว่ามีผู้ใดบ้างหรือ” เจียงเชิ่งบอกชื่อพวกนางไป
เจียงเฉิงรู้สึกประหลาดใจ “พวกนางมีฐานะค่อนข้างต่ำเลยนะ!”
เจียงเชิ่งพูด “เหนียงเหนียงบอกว่าพวกนางงดงามเพียบพร้อมด้วยสติปัญญา สามารถเป็นพระชายาได้”
หลังจากเดินเงียบๆ ไปสักพักเจียงเฉิงก็พูดขึ้นว่า “พี่ใหญ่ ข้าไม่ควรพูดเรื่องนี้ออกมา แต่พระชายาของท่าน ในอนาคตต้องดำรงตำแหน่งฮองเฮา แต่ไม่ใช่ทุกคนจะควบคุมวังหลังได้ ในตอนที่เสด็จพ่อยังดำรงตำแหน่งจ้าวอ๋องได้เลือกเสด็จแม่เป็นพระชายา หลังจากนั้นเสด็จปู่ก็เคยพูดถึงว่าฐานะของเสด็จแม่…”
เขามองเจียงเชิ่งแล้วพูดว่า “ข้าไม่ได้หมายความว่าเสด็จแม่เป็นเช่นนั้น แต่การพิจารณาของเสด็จปู่ต้องคำนึงถึงเสด็จพ่อเป็นอันดับแรก บอกว่าสะใภ้คนแรกฐานะไม่สูงมากนัก แต่นางมีชื่อเสียงด้านวรรณกรรม หากต้องสมรสอีกครั้ง ฐานะของนางก็ไม่ควรต่างมากไปจริงหรือไม่”
เจียงเชิ่งสีหน้าบูดบึ้งเขาไม่แสดงท่าทีอะไร
น่าเสียดายที่สถานะตระกูลของท่านลุงไม่สูงเท่าไรนัก ในตอนที่เหวินฮองเฮาได้รับเลือกให้เป็นพระชายาของจ้าวอ๋อง ตระกูลเหวินเป็นแค่ตระกูลขุนนางขั้นหก ต่อมาเมื่อได้ดำรงตำแหน่งฮองเฮาถึงได้รับตำแหน่งโหว
หากเทียบกันแล้ว ซือฮว๋ายไท่จื่อ หลานชายคนโตของฮ่องเต้ สตรีที่พวกเขาแต่งงานด้วยไม่ใช่สตรีชั้นสูงหรอกหรือ แต่เพราะพวกนางบุญน้อยไม่สามารถดำรงตำแหน่งฮ่องเฮาได้ สตรีเหล่านั้นจึงได้จบชีวิตไปพร้อมกับพวกเขา
ในวังหลวงก็เหมือนกัน ฮุ่ยเฟยเป็นคนเก่าคนแก่ในจวนจ้าวอ๋อง มีฐานะไม่สูงนัก เผยกุ้ยเฟยซึ่งกำเนิดในตระกูลเผยซึ่งเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียง ตอนนี้ก็ยังคงมีอำนาจมากในราชวงศ์ปัจจุบัน
เจียงเชิ่งคิดมาเสมอว่าด้วยการสนับสนุนจากตระกูลเผย ไม่ช้าก็เร็วนางคงได้รับการแต่งตั้ง
และเมื่อถึงเวลานั้น…
ซิ่นอ๋องเจียงเฉิงยังพูดต่อว่า “แต่เหนียงเหนียงก็ไม่ได้พูดอะไรไม่ดี พี่ชายสามารถเลือกได้ด้วยตนเองใช่หรือไม่ ในความคิดเห็นของน้องชายเรื่องนี้พี่ใหญ่ควรโต้แย้งไป”
เจียงเชิ่งพูด “ข้าคิดไว้ในใจอยู่แล้ว” ซิ่นอ๋องร้องอ้อแล้วไม่พูดอะไรต่ออีก
เขาเป็นบุตรของฮุ่ยเฟย อายุน้อยกว่าไท่จื่อสองปี ฮุ่ยเฟยเป็นคนที่ซื่อสัตย์ทว่าหัวอ่อน บุตรชายที่เกิดมาจึงเป็นเช่นนี้ตั้งแต่เด็กไท่จื่อว่าอย่างไรเขาก็ว่าอย่างนั้น เป็นคนที่เชื่อฟังดีมาก
เจียงเชิ่งครุ่นคิดอยู่สักพักแล้วถามอีกฝ่ายว่า “จริงสิ ที่เสวียนตูกวันเกิดเรื่องงั้นหรือ”
เจียงเฉิงตอบ “พวกเขาจะเขียนจดหมายส่งถึงเสด็จพ่อเร็วๆ นี้ เชิญท่านไปเลือกเจ้าสำนัก”
“อ้อ” เจี่ยงเชิ่งประหลาดใจ “ตำแหน่งเจ้าสำนักยังไม่ได้กำหนดหรอกหรือ”
เจียงเฉิงพูดอย่างไม่ใส่ใจ “น่าจะยัง อวี้หยางผู้นั้นพูดอย่างดิบดีว่าจะได้เป็นเจ้าสำนักคนต่อไป ผู้ใดจะรู้ว่าศิษย์ของซวีฉิงอีกคนเดินทางกลับมาแล้ว เขาชื่อเสวียนเฟย พี่ใหญ่น่าจะเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน”
“อ้อ!” เจียงเชิ่งนึกขึ้นได้ “คนที่ซวีฉิงชอบพาไปติดตามข้างกายมากที่สุด แต่เหมือนหลังจากนั้นเขาจะถูกไล่ออกไปเหมือนจะไม่ได้เป็นที่โปรดปรานแล้ว”
เจียงเฉิงส่ายหน้า “ที่ข้าได้ยินมาไม่ได้เป็นเช่นนั้น ข้าได้ยินว่าซวีฉิงตั้งความหวังกับเขาไว้สูงมากจึงส่งเขาออกไปพเนจร ตามกฎของเสวียนตูกวัน ก่อนที่จะเข้ารับตำแหน่งเจ้าสำนักจำเป็นต้องออกเดินทางเพื่อสั่งสมประสบการณ์และความรู้ เพราะเหตุนี้เมื่อเสวียนเฟยกลับมา เสวียนตูกวันจึงแบ่งเป็นสองฝั่งแข่งขันกันแบบไม่มีทางสิ้นสุด”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง” เจียงเชิ่งเลิกคิ้ว “อวี้หยางเป็นศิษย์คนแรก เขาไม่ควรรับตำแหน่งนี้หรอกหรือ เหล่าผู้อาวุโสในเสวียนตูกวันปล่อยให้พวกเขาก่อเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร”
เจียงเฉิงเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายคงเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงรู้สึกว่ามีส่วนคล้ายกับตนเอง “ได้ยินว่ากฎของเสวียนตูกวันนั้นต่างออกไป ตำแหน่งเจ้าสำนักจะเลือกคนที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาศิษย์ทั้งหลายเพื่อสืบทอดตำแหน่ง หากเป็นวิธีนี้เสวียนเฟยคงได้ตำแหน่งเจ้าสำนักอย่างไม่ต้องสงสัย”
“วุ่นวาย!” เจียงเชิ่งไม่พอใจ “ศิษย์คนแรกยังอยู่จะยอมให้คนที่มาทีหลังแย่งไปได้อย่างไร”
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น” เจียงเฉิงหัวเราะ “แต่เรื่องนี้เสด็จพ่อเป็นคนตัดสินใจ ต้องดูว่าพวกเขาสองคนผู้ใดจะทำให้เสด็จพ่อประทับใจได้”
“พวกเขาคิดจะจัดการอย่างไร”
เจียงเฉิงตอบ “เห็นว่าจะจัดพิธีเพื่อพิสูจน์ว่าผู้ใดเก่งกว่า เสด็จพ่อเองก็มีแนวโน้มว่าจะเห็นชอบด้วย ตอนนั้นเสด็จพ่อก็ชื่นชอบเสวียนเฟยพอสมควร อย่างไรเสียนี่ก็เป็นความปรารถนาสุดท้ายของซวีฉิง”
“พิธีจะจัดขึ้นเมื่อไร”
“อีกไม่นานหรอก” เจียงเฉิงนึก “คิดว่าคงจัดก่อนฤดูหนาวมาเยือน”
เจียงเชิ่งพยักหน้า “ดี ถึงตอนนั้นพวกเราคงไปชมได้”
………