สายลมอันเยือกเย็นในฤดูใบไม้ร่วงค่อยๆ พัดแรงขึ้น
หมิงเวยเลิกเรียนแล้วนางเดินออกจากห้องพร้อมเว่ยเสี่ยวอันและคนอื่นๆ
เว่ยเสี่ยวอันถาม “ได้ยินว่าวันที่เก้าเดือนเก้า เสวียนตูกวันมีจัดพิธีกรรม พวกเจ้าไม่ไปงั้นหรือ”
ฟางจิ่นผิงรีบตอบ “ข้ากำลังจะถามพวกเจ้าเลย! ตลอดทั้งปีเสวียนตูกวันจะเปิดให้เข้าไปไม่กี่ครั้ง ครอบครัวของข้าไปแน่นอน หมิงเวยแล้วเจ้าล่ะ”
หมิงเวยไม่แน่ใจ “ต้องถามท่านลุงกับท่านป้าก่อน”
“ไปเถอะๆ!” เว่ยเสี่ยวอันหว่านล้อมนางอย่างเต็มที่ “หากครอบครัวเจ้าไม่ไป เจ้าก็ไปกับพวกข้าได้! ท่านแม่พูดถึงเจ้าอยู่หลายรอบเลย”
ตั้งแต่นางช่วยเว่ยเสี่ยวอันได้ตระกูลเว่ยรู้สึกซาบซึ้งในพระคุณเป็นอย่างยิ่ง เมื่อถึงช่วงเทศกาลก็จะส่งของขวัญมาให้ และเริ่มไปมาหาสู่กับตระกูลจี้
เดิมทีตระกูลเว่ยเป็นตระกูลพ่อค้า เมื่อช่วงที่ไท่จู่ฮ่องเต้ยกทัพไปทางใต้ได้มีส่วนช่วยในเรื่องเสบียงอาหารเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงได้รับตำแหน่งหยินชิงกวงลวี่ต้าฟู หลังจากนั้นลูกหลานก็เริ่มก้าวหน้าทางตำแหน่งราชการถึงแม้ตำแหน่งจะไม่สูงนัก แต่เนื่องจากอยู่เมืองหลวงมาหลายปีจึงมีเครือข่ายเป็นของตนเอง
ก่อนหน้านี้ตระกูลจี้เคยติดต่อหาเพื่อนร่วมงานสองสามคนที่สอนอยู่ที่กั๋วจื่อเจียน และเพราะตระกูลเว่ยพวกเขาจึงค่อยๆ เข้ามาในแวดวงนี้ได้
หมิงเวยยิ้ม “ไม่ต้องรีบร้อนไป ปีหน้าพี่ใหญ่ต้องเข้าร่วมการสอบ ท่านลุงท่านป้าต้องไปขอพรต่อเทพขุยซิงแน่”
“จริงด้วย! คุณชายใหญ่มีความรู้มากถึงเพียงนั้นต้องได้ตำแหน่งสูงแน่ๆ”
“ขอให้เป็นอย่างที่เจ้าว่า”
ฟางจิ่นผิงเลิกคิ้ว “นอกจากเรื่องนี้แล้วพวกเจ้าจะไม่คุยเรื่องอื่นเลยหรือ พิธีกรรมของเสวียนตูกวันไม่ได้มีไว้เพื่อกราบไหว้ขอพรเท่านั้น”
หมิงเวยถามต่อ “แล้วมีอะไรอีกหรือ”
เว่ยเสี่ยวอันตบหน้าผากของฟางจิ่นผิง “อย่าก่อเรื่อง!” จากนั้นก็หันมากระซิบกับหมิงเวย “ทุกครั้งที่เสวียนตูกวันจัดพิธีกรรมจะมีคุณชายจากตระกูลชนชั้นสูงมาไม่น้อยนี่จึงเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้พบหน้ากัน”
“ใช่ๆ! เสี่ยวอัน ครอบครัวเจ้าก็อยากให้เจ้าไปพบเจอด้วยใช่หรือไม่” ฟางจิ่นผิงเย้าแหย่
เว่ยเสี่ยวอันเบนหน้าไปทางอื่น “ข้าจะรีบไปทำไมเล่าคนที่ออกเรือนช้ามีเยอะแยะ ท่านแม่ยังบอกเลยว่าอยากอยู่กับข้าอีกสักปีสองปี”
ฟางจิ่นผิงรู้สึกอิจฉา “ครอบครัวเจ้าช่างดีจริงๆ! ครอบครัวข้าไม่ให้ผ่อนผันแม้แต่น้อยได้มากสุดแค่หนึ่งปี…”
เหล่าเด็กสาวพูดคุยกันขณะเดินออกจากสถานศึกษาจากนั้นก็แยกย้ายกันกลับจวน หมิงเวยเดินไปตามถนนคนเดียวแล้วหยุดอยู่ที่ร้านขายของคั่วทานเล่น
ช่วงนี้จี้เสียวอู่ถูกควบคุมอย่างเข้มงวดนางจึงให้ตัวฝูอยู่สอนเคล็ดวิชาให้เขาเมื่อมีเวลาว่าง นางจึงมีโอกาสได้เป็นอิสระ รถม้าเคลื่อนผ่านนางไปแล้วหยุดลง ตามด้วยเสียงเคาะผนังรถ
หมิงเวยเหลือบมองเล็กน้อย จากนั้นนางก็จ่ายเงินแล้วถือของว่างไปที่รถม้า
“หวงเฉิงซือไม่มีคดีให้ไปจัดการหรือเจ้าคะ ท่านถึงมีเวลามาเดินเล่นได้” นางเปิดถุงกระดาษแล้วปอกถั่วปากอ้าช้าๆ
หยางชูยื่นมือไปหยิบถั่วลิสงจำนวนหนึ่งแล้วพูด “ข้าแค่ผ่านทางมาเท่านั้น คนที่ว่างจนต้องมาเดินเล่นคงเป็นท่านเสียมากกว่า”
“จากหวงเฉิงซือไปจวนโป๋วหลิงโหวไม่ได้ผ่านทางนี้ไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
“ข้าออกมาทำธุระไม่ได้หรืออย่างไร”
หมิงเวยไม่คิดจะเถียงกับเขานางถามไปว่า “ตกลงท่านมาคุยเล่นกับข้า มีเรื่องอะไรหรือไม่เจ้าคะ”
“มี” หยางชูปอกถั่วลิสงแล้ววางกลับไปจากนั้นก็หยิบเกาลัดต่อ “ท่านไปร่วมชมพิธีกรรมของเสวียนตูกวันหรือไม่”
“ท่านคิดว่าข้าจะไปหรือ”
หยางชูแค่นหัวเราะ “ท่านคิดว่าข้าหูหนวกตาบอดหรืออย่างไร สองสามวันท่านจะออกไปนอกเมืองหลวงครั้งหนึ่ง สถานที่ที่ท่านไปอยู่ไม่ไกลมากและอยู่แถวเสวียนตูกวันด้วย เป็นแบบแผนขนาดนี้ท่านคงคิดเอาไว้นานแล้ว”
หมิงเวยหัวเราะเบาๆ
“หัวเราะอะไรตอนนี้พวกเราลงเรือลำเดียวกันแล้ว ท่านคิดจะทำอะไรก็ควรบอกให้ข้าทราบด้วย”
หมิงเวยนิ่งคิดที่เขาพูดมาก็มีเหตุผล ที่ตงหนิงพวกเขาร่วมมือกันชั่วคราวเพราะมีจุดประสงค์เดียวกัน แต่เมื่อมายังเมืองหลวงได้พบเจอกันอยู่ตลอดเวลาจนได้รู้ความลับที่ยิ่งใหญ่ของกันและกัน ในความเป็นจริงพวกเขาได้กลายเป็นพันธมิตรกันแล้ว หากไม่บอกความจริงกับเขาในตอนนี้ก็ดูไม่ซื่อสัตย์ไปเสียหน่อย
หมิงเวยชูสองนิ้วขึ้นมา “ข้าต้องการสองสิ่งจากเสวียนตูกวัน”
“มันคืออะไร”
“อย่างแรกคือ ดอกถานเชิง”
หยางชูกำลังค้นหาคำนี้ในหัวสมองแต่ก็พบว่าตนเองไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อน “มันคืออะไร”
“เสวียนตูกวันมีเคล็ดลับพิเศษอย่างหนึ่งที่ช่วยให้เสวียนชื่อที่มีพลังสูงสามารถหลอมรวมพลังกายให้เป็นหนึ่งเดียวกันก่อนนั่งสมาธิ เมื่อสิ่งนี้ผลิบานก็คล้ายกับบุปผาที่กระจัดกระจายดั่งควันจึงเรียกว่าดอกถานเชิง”
หยางชูเข้าใจแล้ว “ท่านต้องการของสิ่งนี้เพื่อเร่งพลังของตนเองงั้นหรือ”
หมิงเวยพยักหน้า “หากมีของสิ่งนี้ข้าสามารถกลายเป็นยอดฝีมือบนจุดสูงสุดได้ในเวลาอันสั้น”
“ในเมื่อของสิ่งนี้มีค่าเพียงนั้นหากจะได้มันมาคงไม่ง่ายนัก”
หมิงเวยยิ้ม “แน่นอน ของสิ่งนี้เป็นสมบัติล้ำค่าของเสวียนตูกวัน คนอื่นอย่าพูดว่าอยากได้มันมาเลย แค่ได้มองก็เป็นคำขอที่มากเกินควรแล้ว”
“แล้วท่านคิดจะทำอะไร”
หมิงเวยโยนถั่วปากอ้าเข้าปากแล้วเคี้ยวพลางตอบไปว่า “แน่นอนว่าต้องแอบขโมยมา”
“….” หยางชูกระซิบ “ท่านหลอกข้าเล่นแล้ว!”
หมิงเวยพูด “ข้าไม่ได้ขอให้ท่านช่วยเสียหน่อย! ”
หยางชูหัวเราะเสียงเย็น “หากไม่ได้คาดหวังให้ข้าช่วย แล้วท่านจะพูดเรื่องนี้ออกมาทำไมกัน”
หมิงเวยหันมานางยิ้มตาหยี “เด็กเล็กสั่งสอนได้”
หยางชูแค่นหัวเราะ “แล้วของอีกอย่างล่ะ”
พูดถึงเรื่องนี้หมิงเวยเลิกคิ้วเล็กน้อย “ของอีกอย่าง ข้าไม่แน่ใจว่าตอนนี้ยังอยู่ในเสวียนตูกวันหรือไม่”
“อะไรนะ”
“ป้ายคุ้มกัน เป็นป้ายคุ้มกันของปรมาจารย์แห่งชีวิต” หมิงเวยถอนหายใจ นางก้มลงมองมือของตนเอง
“สายผู้สืบทอดปรมาจารย์แห่งชีวิตหายไปเพราะการสูญหายของป้ายคุ้มกัน ท่านอาจารย์ใช้เวลาเป็นร้อยปีในการชิงป้ายคุ้มกันกลับมาจากเสวียนตูกวัน แล้วรับสืบทอดตำแหน่งปรมาจารย์แห่งชีวิตอีกครั้ง แต่หากนับเวลาดูแล้วน่าจะเป็นสิบปีหลังจากนี้ เพราะฉะนั้นข้าจึงไม่แน่ใจว่ามันยังอยู่หรือไม่ ปรมาจารย์แห่งชีวิตที่ไม่มีป้ายคุ้มกันไม่ถือว่าเป็นปรมาจารย์แห่งชีวิตที่แท้จริง”
หยางชูคิดอย่างละเอียดแล้วส่ายหัว “ของสองสิ่งนี้ไม่ง่ายเลยที่จะได้มันมา ยอดฝีมือของเสวียนตูกวันดุจดั่งเมฆ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ท่านจะรู้ว่ามันอยู่ที่ใดแล้วก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะขโมยจากภายในมาได้”
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้นเจ้าค่ะ” หมิงเวยพูดตามจริง “แต่ไม่เอามาไม่ได้”
“ท่านไปเจรจากับพวกเขาไม่ได้หรือ เจรจาซื้อมันมา”
หมิงเวยแค่นหัวเราะ “เจรจากับผีน่ะสิ! ดอกถานเชิงสามารถเร่งให้กลายเป็นยอดฝีมือเช่นตัวฝูได้ภายในเวลาอันสั้น ท่านคิดว่าพวกเขาจะเต็มใจเอามันออกมาหรือ สำหรับป้ายคุ้มกันคนในเสวียนตูกวันคงไม่รู้ว่ามันเป็นป้ายประจำตัวของปรมาจารย์แห่งชีวิตพูดไปก็คงพอจะได้มันมา”
นางชะงักไปพักหนึ่งแล้วพูดต่อว่า “แต่ถึงจะซื้อได้ข้าก็ไม่อยากซื้อ”
“ทำไม”
“เสวียนตูกวันเคยรู้สึกผิดต่อท่านอาจารย์ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือมีบุญคุณกับพวกเรา หากไม่ขโมยก็ต้องซื้อด้วยใจแทน ข้าดูโง่มากหรือไม่”
หยางชูถอนหายใจ “ช่างมีจิตใจที่ชอบธรรมมีเหตุผลเพียงพอก็สามารถพูดได้อย่างเต็มที่เพียงนี้ สำหรับพวกท่านปรมาจารย์แห่งชีวิตสิ่งที่สำคัญที่สุดคือหน้าตาใช่หรือไม่”
หมิงเวยโบกมือไม่คิดตีฝีปากกับเขาต่อ “อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันที่เก้าเดือนเก้า เชื่อว่ากำหนดการของพิธีกรรมคงออกมาแล้วท่านไปสืบกระบวนการพิธีกรรมมาก่อนดูว่ามีที่ว่างให้เสียบหรือไม่”
“….” หยางชูแค่มาเตือนเหตุใดถึงกลายเป็นถูกใช้ให้ไปทำธุระไปได้
หมิงเวยพูดจบก็เรียกรถม้านางยื่นของทานเล่นที่เหลือให้เขาจากนั้นก็ขึ้นรถม้าไป “จะรอข่าวจากท่านนะเจ้าคะ”
หยางชูมองเงาร่างของนางจนหายลับตาไปเขาปอกถั่วปากอ้าแล้วโยนเข้าปาก “ช่างสั่งคนทำงานจริงๆ”
ของท่านเล่นถุงหนึ่งเป็นค่าตอบแทนให้เขาทำงานให้ทั้งยังกินไปก่อนหน้านี้แล้วครึ่งหนึ่ง เขาราคาถูกขนาดนี้เชียวหรือ
………