เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของเขาก็มีคนบ่นขึ้นมาว่า “เหตุใดถึงดูคุ้นเคยขนาดนั้น”
บุตรชายของเขาพูดขึ้นมาว่า “ท่านพ่อ นั่นไม่ใช่เขย่าลูกเต๋าหรือ”
อีกฝ่ายตกใจ “จริงด้วย!”
คำพูดนั้นทำให้ผู้เป็นฮูหยินจ้องเขม็ง “พวกเจ้าไปเล่นพนันมาหรือ”
ฮ่องเต้เห็นดังนั้นก็หุบยิ้ม “เด็กคนนี้นี่ หลายปีมานี้ไปขลุกอยู่กับอะไรแบบนั้นงั้นหรือ”
เผยกุ้ยเฟยเม้มปากแล้วหัวเราะ “เขาชื่นชอบการก่อเรื่อง”
เจียงเชิ่งเลิกคิ้วหลังจากคิดซ้ำไปซ้ำมาเขาก็พูดขึ้นมาว่า “เสด็จพ่อ น้องสามเป็นผู้ใหญ่แล้วยังก่อเรื่องเช่นนี้อีกดูไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไร…”
ฮ่องเต้ไม่ใส่ใจ “มีผู้ใดบ้างที่ไม่เคยผ่านช่วงนี้มาตอนเจิ้นยังเด็กก็เคยทำเรื่องไร้สาระเหมือนกัน”
พูดถึงเรื่องนี้เผยกุ้ยเฟยก็หัวเราะขึ้นมา “ฝ่าบาทในตอนนั้นเคยทะเลาะกับเวินกั๋วกงซื่อจื่อที่เจ๋อกุ้ยโหลว วีรกรรมในครั้งนั้นเป็นที่จดจำของผู้อาวุโสทั้งหลาย”
ฮ่องเต้หัวเราะ “สนมรักยังจำเรื่องนี้ได้ ยี่สิบปีนี่ผ่านไปเร็วจริงๆ”
“นั่นเป็นครั้งแรกที่หม่อมฉันได้พบฝ่าบาทจะจำไม่ได้ได้อย่างไรกันเพคะ”
คำพูดนั้นทำให้ฮ่องเต้ส่งยิ้มอบอุ่นให้กับนางทั้งสองมองหน้ากันด้วยความเสน่หา เจียงเชิ่งเห็นฉากนั้นก็กัดฟันแน่น
สิ่งที่เสด็จแม่พูดมานั้นถูกต้อง หากเขาชอบจะอะไรก็ดีไปหมดทุกอย่าง แม้แต่เรื่องไร้สาระก็กลายเป็นเหมือนเขาไปแล้ว
ทางด้านหยางชูนำกว้าถ่งกลับวางบนหินเหมือนเดิม เขากวาดสายตามองทุกคน “ข้าเปิดล่ะ!” แค่ประโยคเดียวดูราวกับลุ้นผลได้เสีย
หมิงเวยหุบยิ้ม การพยากรณ์โชคชะตาถูกเขาทำให้กลายเป็นการพนันไปได้ น่าขายหน้าจริงๆ
ผู้อาวุโสยิ้มแล้วผายมือ “เชิญคุณชายขอรับ”
หยางชูเปิดกว้าถ่งอย่างคล่องแคล่วและเหรียญทองแดงทั้งเจ็ดก็เปิดออกทีละอัน ผู้อาวุโสหยิบเหรียญทองแดงปากว้าออกจากอกเสื้อแล้วโยนให้เขา “ยินดีด้วยคุณชายผ่านด่านแรกแล้ว”
ทุกคนถอนหายใจโดยพร้อมเพรียงกัน บางคนตื่นเต้น บางคนเสียดาย บางคนกระตือรือร้นที่จะลอง
ที่แท้ต้องทำเช่นนี้! การเขย่าลูกเต๋าไม่มีอะไรมากไปกว่าการฟังเสียงเพื่อแยกแยะตัวเลข สำหรับผู้ที่ฝึกฝนวรยุทธ์หากพิจารณาดีๆ ก็สามารถทำได้
เหรียญทองแดงเจ็ดเหรียญถูกใส่เข้าไปในกว้าถ่งอีกครั้ง และก็มีคนพูดขึ้นมาว่า “ข้าเอง!”
เหล่าคุณชายทั้งหลายล้อมรอบผู้อาวุโส แต่เหล่าผู้เข้าแข่งขันหลักกลับยืนอยู่ด้านนอกเงียบๆ รอให้พวกเขาทดสอบเสร็จก่อนแล้วค่อยตามไป
จวินโม่หลีเห็นภาพนี้ก็รู้สึกไม่สบายใจ “พวกเขาตั้งใจมาสร้างปัญหาหรือไม่ การแข่งคัดเลือกเจ้าสำนักกลายเป็นเช่นนี้ไม่เหมาะสมเสียเลย!”
เดิมทีเขาเป็นแค่ผู้เฝ้าดู แต่เมื่อหยางชูเสนอขึ้นมาว่าอนุญาตให้ศิษย์คนอื่นเข้าร่วมการแข่งได้ มีศิษย์คนหนึ่งที่สนิทสนมกับอวี้หยางเดินออกไป จวินโม่หลีเห็นดังนั้นก็รีบตามไปด้วย หากอีกฝ่ายใช้ประโยชน์จากความวุ่นวาย ศิษย์พี่ของเขาจะไม่ตกที่นั่งลำบากหรือ
เสวียนเฟยหัวเราะ “อย่าใจร้อนนักเลย” เขาเองก็รู้สึกสับสนเล็กน้อยไม่เข้าใจเจตนาของหยางชู หากเขาเล็งเป้าหมายมาที่ตน เขาไม่คิดไม่ใส่ใจมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว หรือเขาต้องการแค่ไม้บรรเทาจิตใจจริงๆ หรือ
เหตุใดถึงรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เขาควรทำท่าทีสงบไว้ก่อนจะดีกว่า
อวี้หยางกับพวกเขาอยู่ห่างกันหนึ่งจั้งคล้ายกับว่าจะตักเตือนบางอย่าง “ศิษย์น้องจวิน การแข่งขันครั้งนี้ฝ่าบาทเป็นคนออกคำสั่งเจ้าควรระมัดระวังคำพูดหน่อย หลีกเลี่ยงการหาเรื่องใส่ตัวจะดีกว่า”
จวินโม่หลีแค่นหัวเราะ “ที่ศิษย์พี่อวี้หยางตักเตือนมาก็ถูกข้าไม่เหมือนท่าน ขบคิดเรื่องนี้อยู่ทั้งวันเพราะกลัวว่าจะไปทำให้ใครขุ่นเคืองเข้าได้”
อวี้หยางขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ศิษย์น้องที่อยู่ข้างกายตนตะโกนออกไปว่า “จวินโม่หลี เจ้าทำตัวเช่นนี้ต่อหน้าศิษย์พี่ลำดับผู้อาวุโส นี่เจ้าไม่รู้มารยาทงั้นหรือ”
จวินโม่หลีกลอกตาไม่คิดเสวนากับเขาทำให้อีกฝ่ายโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
โชคดีที่อวี้หยางห้ามทัพได้ทัน “ศิษย์น้องจวินเป็นคนตรงไปตรงมาเสมอ เขาไม่มีเจตนาไม่ดี เจ้าอย่าไปโต้เถียงกับเขาเลย”
จวินโม่หลีแค่นหัวเราะไม่หยุด เสแสร้ง ช่างเสแสร้งจริงๆ! ไม่แปลกใจจริงๆ ที่อาจารย์ลุง อาจารย์อาทั้งหลายจะโดนเขาหลอกมาดูกันว่าเขาจะเสแสร้งได้นานแค่ไหนกัน!
หมิงเวยเห็นฉากนั้นก็คิดในใจ เดิมทีนางคิดว่าหากสามารถหยุดยั้งได้ก็ทำให้เสวียนเฟยไม่ได้ขึ้นเป็นเจ้าสำนัก แต่ดูแล้วอวี้หยางผู้นี้ก็ไม่ได้ดีไปกว่าอีกฝ่ายเท่าไร
ตอนที่เขาคุยกับจวินโม่หลีเมื่อครู่ แขนเสื้อของเขาขยับเผยให้เห็นไอสังหาร เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมีเจตนาฆ่าอย่างชัดเจน หากมีเจตนาฆ่าศิษย์น้องร่วมสำนักตนเองจะเป็นคนดีได้อย่างไร
แม้ว่าจวินโม่หลีจะมีบุคลิกหุนหันพลันแล่น ชอบทำตัวโดดเด่นและไม่มีเหตุผลเล็กน้อย แต่การเผชิญหน้าไม่กี่ครั้งนี้นางก็พอเข้าใจนิสัยของเขาได้ เขามีอุบายที่ไม่ลึกซึ้งและมีจิตใจที่กล้าหาญ หากทำให้จวินโม่หลีเกลียดชังขนาดนี้ ต้องมีอะไรบางอย่างซ่อนไว้เป็นแน่ เพราะเวลาที่มีไม่มากไม่เช่นนั้นนางคงสำรวจรายละเอียดของอวี้หยางได้มากกว่านี้
เมื่อมีตัวอย่างจากหยางชูใช้เวลาไม่นานก็มีคนผ่านด่านแรกไปแล้วห้าคน
คนที่เหลือส่วนใหญ่ไม่เคยฝึกวรยุทธ์มาก่อนจึงได้แต่ฝืนลองไป
ดวงของสองคนในนั้นไม่เลวเลย ผู้อาวุโสเองก็ไม่ได้ว่าอะไร เขามอบเหรียญทองแดงให้พวกเขาทุกคน
เมื่อเห็นว่าคนอื่นโยนเสร็จแล้วหมิงเวยยิ้มแล้วผลักจี้เสียวอู่ “พี่ห้า ถึงตาท่านแล้ว”
จี้เสียวอู่สับสนเล็กน้อย “ข้าทำได้หรือ”
“ท่านพยากรณ์โชคชะตาได้มิใช่หรือ” หมิงเวยยิ้มแล้วยัดผ้าเช็ดหน้าใส่มือ “วางใจเถอะ”
จี้เสียวอู่ยืนอยู่ตรงหน้าผู้อาวุโสเขาใช้ผ้าเช็ดหน้าของนางเช็ดเหงื่อแล้วคารวะอีกฝ่าย “ท่านนักพรต ข้าน้อยอยากลองดูขอรับ”
ผู้อาวุโสมองผ้าเช็ดหน้าของเขาแล้วพยักหน้า “คุณชาย เชิญ”
จี้เสียวอู่ยกกว้าถ่งขึ้นมา ตั้งสมาธิ นึกถึงขั้นตอนของการทำนายดวงชะตาที่ตัวฝูสอนมา เขาตั้งจิตไปที่กว้าถ่งจดจ่อกับการถ่ายพลัง
เสวียนเฟยและคนอื่นๆ ที่เฝ้าดูอยู่ห่างๆ เห็นฉากนี้พวกเขาต่างก็แสดงความประหลาดใจและจ้องมองไปที่จี้เสียวอู่
คนที่ผ่านด่านนี้มีมากมายซึ่งคนก่อนหน้านั้นใช้วิธีเขย่าลูกเต๋า สองคนหลังรู้วิชาทำนายเล็กน้อยแต่ผ่านด่านไปได้เพราะโชคช่วย ในทางกลับกันจี้เสียวอู่รวบรวมพลังและตั้งสมาธิ นี่คือการทำนายโชคชะตาด้วยเคล็ดวิชาที่แท้จริง
นี่เป็นคนในแวดวงที่รู้เคล็ดวิชาอย่างลึกซึ้ง! แต่ดูจากท่าทางของเขาน่าจะเป็นผู้เริ่มเรียนไม่น่าจะผ่านด่านนี้ไปได้หรือเปล่า
ต้องเข้าใจว่าจุดสำคัญของด่านนี้คือการทำนายที่ผิด เขาเป็นผู้เริ่มเรียนเบื้องต้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำนายได้อย่างแม่นยำ ยิ่งไปกว่านั้นการทำนายกว้าที่เฉพาะเจาะจงจำเป็นต้อง…
ทั้งสี่คนยังไม่ทันได้คาดเดาจบ จี้เสียวอู่ก็เปิดกว้าถ่งเสียแล้ว ผู้อาวุโสมองดูจากนั้นก็ยื่นเหรียญทองแดงให้แก่เขา “ยินดีด้วยคุณชาย”
จี้เสียวอู่โล่งใจและหยิบเหรียญทองแดง “ขอบคุณท่านนักพรตขอรับ”
จวินโม่หลีรู้สึกประหลาดใจ “เขาทำนายได้ด้วยหรือ” เสวียนเฟยและอวี้หยางเลิกคิ้วแต่ไม่พูดอะไร เรื่องนี้แน่นอนว่าต้องมีกลไกเพียงแต่ตอนนี้พวกเขายังมองไม่ออก เหตุผลอยู่ตรงไหนกัน
หมิงเวยมองพวกเขาแล้วถามออกไป “หากท่านนักพรตยังไม่แข่ง ถ้าอย่างนั้นข้าขอไปก่อนได้หรือไม่”
ครั้งนี้นางไม่ได้สวมผ้าคลุมปิดบังใบหน้า เสื้อผ้าก็เปลี่ยนไป จวินโม่หลีจึงจำไม่ได้ เสวียนเฟยกลับมองนางอยู่นานแล้วเขาก็พยักหน้าช้าๆ
“เชิญแม่นางก่อนเลย”
หมิงเวยพยักหน้าด้วยรอยยิ้มแล้วเดินไปหยุดต่อหน้าผู้อาวุโส “คารวะท่านนักพรตเจ้าค่ะ”
ผู้อาวุโสลูบเคราแล้วถามออกไปเป็นครั้งแรกว่า “อาจารย์ของท่านมาจากสำนักใดหรือ”
หมิงเวยยิ้มแล้วตอบกลับไปว่า “เป็นแค่สำนักเล็กๆ ไม่มีอะไรให้น่าพูดถึงหรอกเจ้าค่ะ”
ผู้อาวุโสจ้องมองนางสักพักแล้วพยักหน้า “เชิญ”
…………