เดิมทีมีคนเข้าร่วมการแข่งจำนวนมาก แต่เมื่อมาถึงด่านที่สองกลับเหลือเพียงสิบคน
ผู้เฝ้าประตูที่สองเป็นลูกศิษย์จำนวนเจ็ดคน ที่นี่มีแท่นหินโผล่ขึ้นมาซึ่งมีความกว้างความยาวขนาดประมาณสามสี่จั้งซึ่งลูกศิษย์ทั้งเจ็ดยืนอยู่บนแท่นหินในตำแหน่งที่กระจัดกระจายกันไป
หยางชูถามขึ้น “ท่านนักพรตทั้งหลาย คำถามในด่านที่สองคืออะไรหรือ”
เด็กหนุ่มในชุดนักพรตที่เป็นหัวหน้าประสานมือคารวะแล้วตอบกลับไป “เล่นหมากรุก”
“อย่างไรหรือ”
“คุณชายโปรดดู” เด็กหนุ่มชี้ไปที่พื้นใต้เท้า ทุกคนเลยเห็นว่ามีเส้นสีขาวถูกวาดด้วยปูนขาว “นี่คือกระดานหมากรุกส่วนพวกเราทั้งเจ็ดคนเป็นตัวหมากรุกเจ็ดชิ้น ผู้เข้ารับการทดสอบซึ่งยืนอยู่ที่ทางเข้าอีกด้านหนึ่งทุกการย่างก้าวตำแหน่งบนกระดานจะเปลี่ยนไป ตำแหน่งของพวกเราทั้งเจ็ดก็จะเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน หากเดินผิดทางและตำแหน่งทับซ้อนกัน ท่านจะถูกโจมตีหากผู้ทดสอบไปถึงทางออกได้อย่างราบรื่นก็ถือว่าชนะ”
หยางชูครุ่นคิดแล้วยิ้ม “ตามที่ท่านกล่าวมามีอยู่สองวิธีที่จะผ่านด่านนี้ได้ หนึ่งคือรู้กฎเกณฑ์และแก้กระดานนี้ให้ได้ สองคือหากวรยุทธ์สูงพอก็ให้ล้มคู่ต่อสู้ซะ ใช่หรือไม่”
เด็กหนุ่มพยักหน้า “ที่คุณชายกล่าวมาถูกต้องแล้ว”
หยางชูพยักหน้าและนั่งลง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าขอสังเกตการณ์ก่อนเพื่อหาวิธีแก้กระดานหมากรุกนี้”
หยางชูไม่ลงสนาม คนอื่นๆ ก็ตกที่นั่งลำบากไปด้วย เดิมทีคิดว่าหากหยางชูรบนำหน้า ตนเองก็สามารถดูจากประสบการณ์ของผู้อื่น และบางทีอาจจะใช้ประโยชน์จากมันได้ ตอนนี้เขาไม่ขยับไปไหน และหากตนไม่เคลื่อนไหวก็ดูเป็นการตั้งใจมากเกินไป
นักกวีที่เกือบไม่ผ่านด่านก่อนหน้านี้ตาเป็นประกายทันทีที่เห็นกระดานหมากรุก
ปัญหาชนผู้มีความภาคภูมิใจในความรู้ ความรู้ที่เพิ่งได้ร่ำเรียนมาล้วนเป็นความรู้โดยกว้าง ทั้งหมากรุกและค่ายกลกระบี่ นี่เป็นทักษะที่พวกเขาชำนาญ!
ตอนนี้มีคนที่อยากทดสอบฝีมือหลายคนทีเดียว
ผ่านไปสักพักก็มีคุณชายจากตระกูลขุนนางฝ่ายบุ๋นยืนขึ้น “ท่านนักพรต ข้าน้อยยินดีที่จะลอง”
นักพรตหนุ่มผายมือ “เชิญขอรับ”
บุรุษผู้นี้ยืนอยู่ที่ตำแหน่งเริ่มต้นเขาตั้งสติและก้าวเท้าก้าวแรกออกไป
ทันทีที่เขาหยุดนิ่งนักพรตทั้งเจ็ดของเสวียนตูกวันก็เปลี่ยนตำแหน่งทันที
บุรุษผู้นี้เห็นแล้วก็ดีใจ ตำแหน่งนี้คล้ายกับที่เขาคำนวณไว้ซึ่งบ่งบอกว่าความคิดก่อนหน้านี้ของเขานั้นถูกต้อง จากนั้นเขาก็เริ่มก้าวเท้าก้าวที่สอง
ตำแหน่งของนักพรตทั้งเจ็ดเปลี่ยนไปอีกครั้ง สีหน้าของคุณชายผู้นี้เริ่มเคร่งขรึมเล็กน้อย เมื่อเทียบกับสิ่งที่เขาคำนวณไว้แล้วมีความแตกต่างกันเล็กน้อย
ผ่านไปสักพักเขาถึงเริ่มก้าวเท้าก้าวที่สาม
ตำแหน่งในครั้งนี้คลาดเคลื่อนไปจากที่คิดไว้อีกครั้งเพราะหนึ่งในเจ็ดอยู่ใกล้กับเขาเล็กน้อย เขาทำได้เพียงแค่ระงับสติและคำนวณใหม่ การคำนวณของตนน่าจะถูกต้อง แต่พื้นฐานอาจผิดไปหน่อย…
ผ่านไปสักพักเขาก็เริ่มก้าวที่สี่อย่างระมัดระวัง ตำแหน่งของทั้งเจ็ดเปลี่ยนไปอีกครั้ง คนที่อยู่ใกล้เมื่อครู่ก็เคลื่อนตัวห่างไกลออกไป แต่อีกคนกลับบุกเข้าไปในเขตความปลอดภัยของเขา เขาเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผากและคำนวณต่อไป
ก้าวที่ห้า ก้าวที่หก ก้าวที่เจ็ด…
เขาเดินหมากยากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเขาจะต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดท่ามกลางนักพรตทั้งเจ็ด พอคนนี้เคลื่อนตัวห่างออกไปอีกคนก็เคลื่อนที่เข้ามาใกล้ เพื่อไม่ให้ถูกโจมตี เมื่อเข้าใกล้ทางออกต้องไม่ให้ตนเองห่างไปไกลกว่านี้
เมื่อเดินมาถึงก้าวที่สิบนักพรตหนุ่มผู้เป็นหัวหน้าก็ก้าวมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา “คุณชาย ตำแหน่งของพวกเราทับซ้อนกันแล้ว”
สีหน้าของบุรุษผู้นั้นมืดครึ้มลง เขาประสานมือคารวะ “ตัวข้าไร้วรยุทธ์ในเมื่อทับซ้อนกันข้าก็คงพ่ายแพ้เสียแล้ว แต่ก่อนจากไปท่านนักพรตช่วยอธิบายให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่ ว่าค่ายกลที่กำลังทดสอบอยู่นี้เป็นค่ายกลฉีเหมินเจ็ดชุดใช่หรือไม่”
นักพรตหนุ่มยิ้ม “ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่คุณชายมองค่ายกลเจ็ดชุดออก แต่ความจริงแล้วกระดานหมากรุกนี้เป็นค่ายกลสิบสามชุด”
“ค่ายกลสิบสามชุดจริงๆ ด้วย…” คุณชายท่านนั้นถอนหายใจ “เป็นเพราะทักษะของข้ายังไม่ดีพอต้องกลับไปศึกษาให้มากกว่านี้ ขอบคุณท่านนักพรตที่ช่วยชี้แนะ” พ่ายแพ้การประลองในครั้งนี้จึงต้องถอนตัวออกไปซึ่งไม่ทำให้เขารู้สึกขายหน้าแต่อย่างใด
ฮ่องเต้เห็นเช่นนั้นก็พยักหน้า “ไม่เย่อหยิ่ง ไม่ท้อถอย เขาเป็นคุณชายจากตระกูลไหนหรือ”
มีขันทีตอบกลับว่า “ทูลฝ่าบาท เป็นคุณชายจากตระกูลเหยียนกงพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ยิ้ม “ที่แท้ก็เป็นลูกหลานตระกูลเหยียนกงไม่ทำให้บรรพบุรุษต้องอับอายจริงๆ!”
คำพูดนี้ทำให้ทุกคนต่างก็ชื่นชมในตัวคุณชายที่พ่ายแพ้ไป
เข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อดึงดูดความสนใจจากฮ่องเต้หรอกหรือ หากทำให้ฮ่องเต้จดจำได้ต่อให้พ่ายแพ้ก็ถือว่าคุ้มค่า!
จากนั้นผู้เข้าแข่งขันคนที่สองเดินออกมาเขาเป็นผู้ฝึกวรยุทธ์ซึ่งได้เอ่ยปากพูดออกไปว่า “ค่ายกลแปลกประหลาดนี้ข้าไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไรทำได้เพียงวัดด้วยพละกำลังว่ามีความสามารถทำลายกระดานนี้ได้หรือไม่ ท่านนักพรตทั้งหลายโปรดชี้แนะด้วย!”
ผู้เข้าแข่งขันท่านนี้เดินแบบสุ่มๆ ก้าวไปไม่กี่ก้าวก็ไปซ้อนทับกับตำแหน่งของนักพรตท่านหนึ่ง เนื่องจากบอกไปว่าต้องการประลองด้วยวรยุทธ์ ศิษย์จากเสวียนตูกวันจึงไม่เกรงใจลงมือเข้าตรงๆ
เมื่อทั้งสองประมือกันไปยี่สิบกระบวนท่าแล้วเขาก็ถอยหลังเล็กน้อย “หากเกินยี่สิบกระบวนท่าแล้วท่านจึงสามารถผ่านไปได้ หากคุณชายต้องการให้ข้าออกจากการแข่งก็สามารถสู้ต่อได้”
คนผู้นั้นดีใจมากที่แท้ขอแค่ถึงยี่สิบกระบวนท่าก็ผ่านแล้ว ถ้าเช่นนั้นก็ยังมีความหวังอยู่!
แต่เขาเลือกที่จะผ่านไป
เดินไปได้สองก้าวก็ได้เจอกับนักพรตอีกท่านหนึ่ง ฝืนต่อสู้ให้ถึงยี่สิบกระบวนท่า เมื่อเดินไปได้หนึ่งก้าวก็ได้ปะทะกับศิษย์คนที่สาม
เช่นนี้ในการเผชิญหน้าครั้งที่ห้าในที่สุดเขาก็พ่ายแพ้และจากไปด้วยความเสียใจ
ประตูด่านที่สองมีคนถูกกำจัดออกไปติดต่อกันและในที่สุดก็มีหนึ่งคนที่ผ่านด่านไปได้
วิธีที่เขาเลือกคือใช้วรยุทธ์บังคับให้ตนเองผ่านด่านไป แต่เพราะเขาโชคดีไม่น้อยเพราะปะทะกันแค่สามครั้งก็ไปถึงเส้นชัยอย่างราบรื่น
คนผู้นี้ได้รับเหรียญทองแดง เขาดูมีความสุขมากจนแทบจะวิ่งรอบหอเหวินเต้าอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นก็มีบัณฑิตท่านหนึ่งเข้าประลอง
เมื่อมีคนแรกเป็นตัวอย่างเตือนใจ เขาจึงเดินอย่างระมัดระวังมาก จริงๆ แล้วเขาพอมีความเข้าใจในค่ายกลฉีเหมินอยู่ระดับหนึ่ง และในที่สุดเขาก็เดินไปถึงทางออกได้อย่างปลอดภัย
ท้ายที่สุดมีสามคนที่ได้รับเหรียญทองแดง
นอกจากศิษย์จากเสวียนตูกวันทั้งสี่คนก็มีหมิงเวยและจี้เสียวอู่ ส่วนคนอื่นแข่งเสร็จหมดแล้ว
หยางชูยืนขึ้นบิดขี้เกียจ “ข้ามีอารมณ์เล่นแล้ว มาเลย!”
หยางชูเข้าไปยืนที่จุดเริ่มต้นแล้วก้าวเท้าก้าวแรก เขามองตำแหน่งที่เปลี่ยนไปของนักพรตทั้งเจ็ดแล้วก็หัวเราะและเดินเข้าไปหาหนึ่งในนั้น
ในก้าวที่สี่ทั้งสองคนได้ปะทะกัน
หยางชูไม่พูดอะไรเขาพลิกข้อมือและสะบัดพัดออกไป ทั้งสองปะทะกันเช่นนี้
ยี่สิบกระบวนท่าผ่านไปชั่วพริบตาแต่เขาไม่มีความคิดที่จะหยุด แต่ในทางกลับกันกระบวนท่ายิ่งดุร้ายกว่ากระบวนท่าก่อนๆ ราวกับจะทำให้ฝั่งตรงข้ามตาย
ศิษย์ที่ถูกส่งมาเฝ้าประตูนั้นมีความแข็งแกร่งเป็นพิเศษ แต่ภายใต้สถานการณ์ที่สลัดไม่หลุดนี้ค่อยๆ เริ่มเห็นเค้าลางความพ่ายแพ้
ในบรรดาเหล่าชนชั้นสูงมีบางคนที่รู้สึกประหลาดใจ บางคนรู้สึกพอใจ
“เขาว่ากันว่าคุณชายสามแห่งตระกูลหยางวอนหาเรื่องไม่มีความรู้ความสามารถไม่ใช่หรือจะมีทักษะเช่นนี้ได้อย่างไร”
“เขาไม่ใช่ไม่มีดีอะไรสักอย่าง องค์หญิงใหญ่กับโป๋วหลิงโหวคนก่อนที่จากไปได้เห็นภาพนี้แล้วคงนอนตายตาหลับ”
“ตอนแรกเขาไม่ได้เป็นเช่นนี้นี่ คิดว่าคงเป็นเพราะการตายขององค์หญิงและอดีตโป๋วหลิงโหวทำให้เขารู้สึกเศร้าใจมาก”
ฮ่องเต้เห็นดังนั้นก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “พี่หญิงสอนมาดีเด็กคนนี้เหลวไหลมาหลายปีแต่ก็ยังได้ความอยู่”
เผยกุ้ยเฟยยิ้มแต่ไม่พูดอะไร
เจียงเชิ่งได้ยินเช่นนั้นแววตาของเขาก็ยิ่งดำมืด
…………