ในสถานการณ์เช่นนี้คนจากจวนโป๋วหลิงโหวก็ถูกดึงเข้าไปเกี่ยวด้วย
นางหลูฮูหยินซื่อจื่อเห็นภาพนี้ก็หัวเราะเสียงเย็น นางพูดกับผู้เป็นสามีว่า “ดูน้องสามของท่านสิ ไม่ลืมที่จะทำตัวโดดเด่นทุกเวลา หลังจากวันนี้ไปเกรงว่าทิศทางลมในเมืองหลวงจะเปลี่ยนไปอีกครั้ง เขามีส่วนคล้ายปู่หรือบิดา แล้วท่านเล่า”
หยางซวนซื่อจื่อแห่งจวนโป๋วหลิงโหวพูดว่า “เจ้าจะไปสนใจอะไรเยอะแยะ ทุกคนในครอบครัวต่างรู้ดีว่าเขาเป็นวรยุทธ์คนอื่นก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้”
“รู้แล้วอย่างไร ผู้อื่นจะเห็นอกเห็นใจเราหรือพอสักทีเถอะ! แต่ละคนล้วนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!”
“พอเถอะ ที่เรือนรองก็เหลือแต่เขาเพียงคนเดียว ใช่ว่าเขาจะแย่งตำแหน่งของข้าไปได้เสียหน่อย…”
ณ ประตูที่สอง พัดของหยางชูได้แตะบนอกของลูกศิษย์คนนั้นแล้ว เขาคนนั้นกระอักเลือดและถอยออกไปหลายก้าว
ฝ่ามือลมหวนทำให้อีกฝ่ายไม่สามารถสกัดกั้นได้ และในที่สุดเขาก็หลุดออกจากระยะของกระดานหมากรุก หยางชูหยุดกระบวนท่าลงแล้วมองนักพรตหนุ่มผู้เป็นหัวหน้า
“ท่านนักพรต ข้าสามารถไปต่อได้หรือไม่”
สีหน้าของอีกฝ่ายมืดครึ้มเขามองพี่น้องที่ถูกโจมตีออกไปแล้วพยักหน้า “คุณชาย เชิญ”
ในไม่ช้าทุกคนก็ค้นพบว่ากลยุทธ์ของหยางชูนั้นตรงกันข้ามกับกลยุทธ์ของคนก่อนหน้านี้ เขาไม่คิดที่จะหลีกเลี่ยง แต่ยังจงใจไปที่ประตูด้วย!
เมื่อเดินไปได้สองก้าวเขาก็ได้ปะทะกับลูกศิษย์อีกท่านหนึ่งแล้วออกกระบวนท่าโดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ อาจเป็นเพราะโจมตีด้วยฝ่ามือหรือศิษย์ท่านนี้อ่อนแอกว่าเล็กน้อย การประมือจึงจบได้อย่างรวดเร็วกว่าที่คิด
จากนั้นก็คนที่สาม คนที่สี่…
เจียงเชิ่งไท่จื่อเห็นบางอย่างเขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “เหลือเพียงสามคนบนกระดานหมากรุก เขาสามารถหลีกเลี่ยงได้เหตุใดถึงยังปะทะต่ออีก”
ฮ่องเต้หัวเราะ “บุรุษรุ่นเยาว์นี่กำลังวังชาดีจริงๆ!”
เจียงเชิ่งส่ายหน้า “ยังเหลืออีกสามด่าน เขาควรเก็บแรงไปดีกว่า”
ครั้งนี้ฮ่องเต้พยักหน้าเห็นด้วย “ก็จริง”
เจียงเชิ่งดีใจเขาคิดในใจว่าที่แท้ต้องพูดแบบนี้สินะถึงจะถูก ท้ายที่สุดหยางชูก็ไม่สามารถเอาชนะทั้งเจ็ดคนได้
กระดานหมากรุกนี้มีอยู่สองวิธีที่จะผ่านด่านนี้ไปได้ ในด้านวิชาการไม่ต้องพูดถึง ตราบใดที่คำนวณการเปลี่ยนแปลงของค่ายกลนี้ได้ก็สามารถหลีกเลี่ยงพวกเขาแต่ละคนและไปถึงทางออกได้อย่างราบรื่น
แต่ในด้านวรยุทธ์นั้นมีความลึกลับอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือยิ่งตัวหมากบนกระดานมีมากเท่าใด อัตราที่จะได้ปะทะกันก็ยิ่งสูง และเมื่อได้ปะทะกับตัวหมากก็มีอยู่สองวิธี หนึ่งคือออกให้ถึงยี่สิบกระบวนท่าด้วยวิธีนี้ช่วยประหยัดแรงไปได้เล็กน้อย แต่ตัวหมากไม่สามารถออกจากสนามได้โอกาสที่จะได้เผชิญหน้ากันอีกก็มีสูง วิธีที่สองคือทำให้ตัวหมากออกจากกระดานไปด้วยวิธีนี้สามารถลดโอกาสในการเผชิญหน้ากับตัวหมากรุกอีกครั้ง แต่ก็เป็นการทดสอบความแข็งแกร่งหากก่อนหน้านี้ใช้แรงมากเกินไปครึ่งหลังคงไม่สามารถผ่านไปได้
ดังนั้นผู้เข้าร่วมต้องมีความเข้าใจในเรื่องจุดแข็งของตนเองและตัดสินใจเลือกวิธีที่สอดคล้องกัน
แน่นอนว่าหากวรยุทธ์ต่ำมากเกินไป แม้ความสามารถในการต่อสู้กับตัวหมากรุกยังไม่มีก็ยากที่จะผ่านไปได้ แต่หากมีวรยุทธ์ที่สูงพอก็สามารถเพิกเฉยต่อสิ่งเหล่านี้และต่อสู้ได้ตลอดทาง
หยางชูปะทะกับอีกฝ่ายมาสี่คนติดกันแล้วตอนนี้ตัวหมากบนกระดานเหลือเพียงสามคน แม้ว่าเขาจะอยากเจอ แต่โอกาสก็ไม่ได้สูงมากนัก
เมื่อก้าวเข้าไปถึงเส้นชัยนักพรตหนุ่มถอนหายใจแล้วคารวะอีกฝ่าย “คุณชาย ยินดีด้วย”
เขาต้องการที่จะต่อสู้กับหยางชู แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้พบกันในตอนท้าย
หยางชูรับเหรียญทองแดงเหรียญที่สองมา “ขอบคุณมาก”
ลูกศิษย์ทั้งเจ็ดจากเสวียนตูกวันยืนขึ้นอีกครั้ง หมิงเวยตบไหล่จี้เสียวอู่ “พี่ห้า ถึงตาท่านแล้ว”
จี้เสียวอู่กระซิบ “ข้าจะเดินหมากอย่างไร คนพวกนี้ข้าไม่สามารถเอาชนะได้สักคนเดียว”
หมิงเวยกวาดตามองตำแหน่งใหม่ของพวกเขาแล้วรีบบอกไปว่า “ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ซ้ายสาม ข้างหน้าสอง ขวาหนึ่ง ข้างหน้าหนึ่ง ขวาสอง ถอยหลังหนึ่ง ซ้ายสอง ข้างหน้าสี่ เอาล่ะ ท่านไปได้แล้ว”
“เดี๋ยว…” จี้เสียวอู่ถูกบังคับให้ขึ้นเขาเหลียงซาน
มารดาเถอะ นางพูดเร็วถึงเพียงนั้นแล้วยังพูดแค่รอบเดียวอีก หน้าหลังซ้ายขวาหนึ่งสองสามสี่ มันยากที่จะจำได้ทันที
จี้เสียวอู่กลัวว่าตนเองจะลืมเขาจึงพูดพึมพำกับตนเองไม่หยุดและเดินไปทีละก้าว ทั้งเจ็ดคนหมุนไปมารอบตัวเขาแต่เขาก็ไม่สนใจ
เดินไปเดินมาแล้วเขาก็พบว่าตนเองเดินมาถึงทางออกแล้ว
เอ๋ ผ่านแล้วหรือ คนพวกนั้นหมุนรอบตัวเขา เขายังคิดว่าตนเองคงได้ปะทะกันในไม่ช้านี่เขาผ่านแล้วจริงๆ หรือ
“คุณชาย ยินดีด้วย” นักพรตหนุ่มยื่นเหรียญทองแดงให้เขา
“ขอบคุณมากขอรับ” จี้เสียวอู่รับมันมาและยืนอยู่ข้างๆ ด้วยความงุนงง
หมิงเวยยืนอยู่ที่จุดเริ่มต้น ตำแหน่งของทั้งเจ็ดคนเปลี่ยนไปอีกครั้งซึ่งแตกต่างจากครั้งที่แล้ว
นางก้าวเท้าก้าวแรกออกไปจากนั้นก็ก้าวที่สอง ก้าวที่สาม…คิ้วของเสวียนเฟยขมวดขึ้นช้าๆ
“ศิษย์พี่ นางกำลังทำอะไรน่ะ” จวินโม่หลีกระซิบถามเขา “ทำไมนางถึงกลับมาอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่านางสามารถเดินตรงไปต่อได้”
ศิษย์ที่อยู่ข้างกายอวี้หยางพูดขึ้น “คำนวณผิดหรือเปล่า ค่ายกลสิบสามชุดมีความซับซ้อนมาก แม้นางจะพอมีความรู้อยู่บ้าง แต่เป็นเรื่องง่ายที่จะคำนวณพลาดได้”
พูดจบเขาก็มองจี้เสียวอู่พลางคิดในใจ แต่อย่างไรก็ไม่ควรประมาทนาง วิธีการเดินเมื่อครู่ไม่มีอะไรซับซ้อนเลยแม้แต่น้อย
เสวียนเฟยส่ายหน้าช้าๆ “ไม่ใช่ ดูเหมือนนางจะจงใจ” มีบางอย่างผุดขึ้นมาในใจของเขาและเขาก็พึมพำกับตนเองอย่างไม่เข้าใจว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร!”
จวินโม่หลีไม่เข้าใจ แต่เมื่อเห็นภาพตรงหน้าเขาก็เข้าใจอย่างรวดเร็ว
สามก้าว หลังจากก้าวไปสามก้าว ตัวหมากสองตัวได้ปะทะกัน
หมิงเวยยิ้มและยื่นมือออกไป “ท่านทั้งสอง ตำแหน่งของพวกท่านทับซ้อนกัน จำเป็นต้องออกจากกระดานไปหนึ่งหรือไม่”
ศิษย์สองคนที่ตำแหน่งทับซ้อนมองหน้ากันและคนที่อ่อนแอกว่าก็ถอยออกไปอย่างเงียบๆ ที่แท้ทำเช่นนี้ได้ด้วยหรือ ทุกคนประหลาดใจ
หมิงเวยเดินต่อไป
สีหน้าของเสวียนเฟยนิ่งสงบ เขาคำนวณทิศทางการเดินของนางได้อย่างรวดเร็ว ซ้ายหนึ่ง หลังหนึ่ง ขวาหนึ่ง หน้าสาม ปะทะกันแล้ว!
หมิงเวยเดินหมากตามการคำนวณในใจของเขาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน และเมื่อนางก้าวไปถึงจุดนั้น
ตัวหมากสองตัวชนกันอีก และมีหนึ่งคนต้องออกจากกระดานไป
จากนั้นก็คนที่สาม คนที่สี่ คนที่ห้า…
ในที่สุดบนกระดานหมากรุกก็เหลือเพียงนักพรตหนุ่มหนึ่งคน หมิงเวยยิ้ม ไม่มีการอ้อมค้อมอีกต่อไปนางเดินอีกไม่กี่ก้าวก็ถึงทางออก
“ขอบคุณท่านนักพรต” นางทำความเคารพ
แววตาของนักพรตหนุ่มดูซับซ้อน เขามอบเหรียญทองแดงให้แก่นาง “แม่นางมีความสามารถมาก ข้ายอมรับความพ่ายแพ้อย่างจริงใจ”
เมื่อตัวหมากสองตัวปะทะกันในครั้งแรก ฮ่องเต้ประหลาดใจมาก แต่เมื่อมีครั้งที่สอง ครั้งที่สาม พระองค์รู้สึกอัศจรรย์ใจยิ่งกว่า
“ลูกพี่ลูกน้องของจี้เหว่ยคนนี้เชี่ยวชาญในค่ายกลฉีเหมินงั้นหรือ พวกเขาสองพี่น้องน่าทึ่งจริงๆ อายุยังน้อยแต่ปิดซ่อนความสามารถเอาไว้ ไม่น่าแปลกใจเลยที่ทั้งสองเดิมพันกัน คนมีความสามารถใครจะยอมได้กันเล่า! ช่างเป็นคู่กัดที่สมน้ำสมเนื้อกันจริงๆ”
เผยกุ้ยเฟยพิจารณาแล้วกล่าวว่า “บ้านเด็กผู้นั้นคงไม่พอใจ แต่หม่อมฉันชอบแม่นางผู้นั้นมากไม่รู้ว่าครอบครัวนางจะอนุญาตหรือไม่”
ฮ่องเต้หัวเราะ “สนมรักคิดจะเป็นแม่สื่อให้นางหรือ”
ในขณะที่เผยกุ้ยเฟยกำลังจะตอบเจียงเชิ่งก็ชิงพูดขึ้นมาว่า “เหนียงเหนียงคงต้องผิดหวังแล้ว พวกเขาสองคนได้หมั้นหมายกันแล้วพ่ะย่ะค่ะ” จากนั้นก็ยิ้มให้ฮ่องเต้ “เสด็จพ่อจำไม่ได้หรือ น้องสาวของจี้เหว่ยนางนี้เป็นบุตรสาวของหมิงเชินผู้นั้น!”
เมื่อถูกเขาเตือนความจำฮ่องเต้ก็จำขึ้นมาได้ จริงสิ ตระกูลจี้เป็นครอบครัวฝั่งแม่ของนาง
คดีของฉีตงจวิ้นอ๋องคนที่เขาเกลียดที่สุดก็คือหมิงเชินจอมเจ้าเล่ห์ ถึงแม้บุตรสาวของหมิงเชินจะมีความชอบในคดีนี้ แต่เมื่อนึกถึงหมิงเชิน เขาก็ไม่สามารถชื่นชมมันได้อีกต่อไป
“เป็นนางนี่เอง!” ฮ่องเต้พูดเสียงแผ่วเบาจากนั้นก็พูดเปลี่ยนเรื่อง “สนมรักดูสิ บททดสอบถัดไปจะเป็นอะไร”
เจียงเชิ่งยิ้มมุมปากเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วมองหยางชูในระยะไกล
………