อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่เป็นถึงผู้มีพรสวรรค์แห่งสำนักอัคคีแล้ว จางคุนนั้นไม่ง่ายอย่างที่เห็นแน่ๆ
หลังจากที่ตกตะลึงกับความแข็งแกร่งของเย่เย่ สีหน้าของจางคุณก็แสดงออกมาให้เห็นว่าเขานั้นทระนงในศักดิ์ศรีขนาดไหน และสำหรับเขาในตอนนี้ เย่เย่ก็เปรียบเสมือนสิ่งกีดขวางขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเจอมาขั้นขวางเขาและเหล่ยถิง
จางคุนหัวเราะในลำคอก่อนจะพูดกับเย่เย่ด้วยเสียงอันแผ่วเบา “เจ้าเองสินะอัจฉริยะแห่งเฟิงเจิ้นที่สามารถก้าวขึ้นเป็นเทพยุทธ์ได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ดูท่าเจ้าเองจะจัดการได้ไม่ง่าย แต่ว่านะ วรยุทธ์น่ะไม่ใช่ทุกสิ่งหรอกนะ! ถ้าเทียบกันด้านอื่นล่ะก็ ข้าไม่มีทางแพ้เจ้าหรอก!”
เหตุผลที่จางคุนนั้นถูกตีค่าไว้สูงมากจากสำนักอัคคีนั่นก็เพราะเขาสามารถใช้ค่ายกลได้ ซึ่งถือเป็นความสามารถที่หาได้ยากมากๆ
ด้วยเหตุนี้สำนักอัคคีจึงสะสมหนังสือเกี่ยวกับค่ายกลเป็นจำนวนมากเพื่อให้เขาได้ทำความเข้าใจ และหวังว่าจางคุนนั้นจะสามารถกลายเป็นจ้าวแห่งมนตราได้เพื่อในอนาคตจะได้นำพาอัคคีให้ก้าวขึ้นเป็นใหญ่ในยุทธจักรนี้
เย่เย่เองนั้นก็เคยได้เห็นความแข็งแกร่งของค่ายกลมาบ้างแล้วจากค่ายกลเพลิงสีชาด และเขากล้าที่จะพูดได้เลยว่าตราบใดที่สามารถใช้ค่ายกลได้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ การจะฆ่าศัตรูนั้นก็กลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน หากพวกเขานั้นสามารถปกป้องผู้ใช้ค่ายกลไว้ได้ ในอนาคตพวกเขาก็จะไม่ต้องกลัวศัตรูที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆทุกวันหนำซ้ำ ด้วยค่ายกลนี้ มันจะช่วยให้พวกเขาเจริญรุ่งเรืองขึ้นในอีกหลายๆด้านพร้อมกันอีกด้วย
จางคุนนั้นเข้าใจในค่ายกลระดับหนึ่งแล้ว ซึ่งตัวเขานั้นสามารถสร้างเวทค่ายกลไฟเล็กๆได้เพื่อสู้กับศัตรู ดังนั้นแล้วเขาจึงมีความมั่นใจเป็นอย่างมากเมื่ออยู่ต่อหน้าเย่เย่
ยามที่เห็นจางคุนมั่นใจในตัวเองแบบที่ไม่น่าจะเสแสร้ง แววตาของเย่เย่ก็ดูจะสงสัยในตัวเขาอยู่ไม่น้อย เหล่ยถิงที่อยู่ข้างๆจึงกระซิบเข้าไปข้างหูเขาว่าจางคุนสามารถสร้างไฟขนาดเล็กด้วยค่ายกลได้
“ฮึ่ม! ถ้าเจ้าไม่เชื่อข้า เจ้าจะมาพนันกับข้าไหมล่ะ! ตราบใดก็ตามที่เจ้าสามารถทลายค่ายกลไฟของข้าได้ ข้า จางคุน ผู้นี้จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเหล่ยถิงอีกในอนาคต แต่ถ้าเจ้าทำไม่ได้ เจ้าก็ห้ามเข้าใกล้เหล่ยถิงอีก! เป็นอย่างไรเล่า!”
ยิ่งจางคุนได้เห็นเหล่ยถิงเข้าใกล้ชิดเย่เย่มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเกลียดเย่เย่มากขึ้นเท่านั้นจนต้องเอ่ยปากท้าพนันไป อนึ่งด้วยตอนนี้มันถือเป็นที่สาธารณะ หากเย่เย่ปฏิเสธ เขาก็จะเสียชื่อเสียงที่สั่งสมมา แต่ถ้าเขาตอบตกลง เขาก็จะตกลงไปในกับดักที่จางคุนวางไว้ เพราะฉะนั้นการเดิมพันครั้งนี้ จางคุนมีแต่ได้กับได้เท่านั้น
“เย่เย่ อย่าไปรับคำท้าพนันกับเจ้านั่นนะ! อย่างที่พูดไปแล้วว่าอย่าเอาตัวเองเข้าไปปะทะกับจุดแข็งของคนอื่น ยิ่งไปกว่านั้นค่ายกลของจางคุนเองก็ยังไม่อยู่ในระดับสมบูรณ์เพราะงั้นถ้าจะวัดกัน ก็ใช้ความแข็งแกร่งของวรยุทธ์เป็นตัวตัดสินเถอะ!”
เหล่ยถิงนั้นเกรงกลัวว่าเย่เย่จะหลงไปกับคำยั่วยุ นางจึงรีบห้ามไม่ให้เย่เย่ตอบตกลงกับจางคุนไปก่อน ไม่ว่าจะเพื่อรักษาหน้าของเย่เย่เอาไว้ หรือเพราะตัวเหล่ยถิงเองไม่อยากเห็นเย่เย่ติดกับดักของจางคุนจริงๆก็ตาม
อย่างไรก็ตาม เมื่อเย่เย่ได้ยินว่าจางคุนบอกจะใช้ค่ายกลเป็นตัวตัดสิน โดยอีกฝ่ายจะสร้างค่ายกลไฟขนาดเล็กมาให้เขาเดินฝ่า สีหน้าของเย่เย่ก็แสดงออกถึงความซับซ้อนเล็กน้อย
ในขณะที่เย่เทียน เจ้าตระกูลเย่นั้นกำลังรู้สึกแปลกเพราะเขานั้นรู้ว่าเย่เย่เองก็สามารถใช้ค่ายกลไฟได้ และค่ายกลไฟเองเขาก็สร้างได้เช่นกัน ดังที่เห็นอยู่ในลานของเย่เย่เอง แต่สำหรับ เย่เย่แล้วแค่เหมือนกันไม่ได้หมายความว่าเท่ากัน กับค่ายกลไฟเล็กๆน่ะ ไม่คณามือเขาหรอก
ตั้งแต่เมื่อครั้งแลกเปลี่ยนเอาค่ายกลเพลิงสีชาดมา เขาก็ได้ทำความเข้าใจถึงระบบกลไกต่างๆของค่ายกลชนิดนี้ไว้หมดแล้ว จะเรียกได้ว่าสามารถมองลึกถึงโครงสร้างได้ทะลุ ปรุโปร่งเลยก็มิปาน มิเช่นนั้นแล้วเขาจะไม่สามารถเร่งกำลังไฟให้มากกว่าเดิมเป็นสองเท่าได้เลยเมื่อต้องเจอกับมือสังหารที่ถูกส่งมา
จางคุนเข้าใจว่าการที่เย่เย่และเย่เทียนมีสีหน้าที่ดูไม่ปกตินั้นเป็นเพราะเกรงกลัวในพลังของเขา ดังนั้นเขาจึงเหยียดหยามและดูถูกอีกฝ่ายต่อไป “อัจฉริยะแห่งเฟิงเจิ้น ความกล้าเมื่อครู่ไปไหนเสียแล้วล่ะ? หรือแท้จริงแล้วเจ้าก็เป็นแค่พวกใจเสาะ เช่นนั้นข้าจะป่าวประกาศให้ทั่วเมืองเลยว่าแท้จริงแล้วเจ้ามันก็แค่คนใจเสาะ!”
“ไร้สาระน่า ถ้าข้าทำไมได้ ข้าคงไม่ตัดสินใจรับข้อเสนอของเจ้าหรอก ดังนั้นแล้ว ข้า เย่เย่ จะรับคำท้าของเจ้าเอง!”
ดูเหมือนว่าเย่เย่จะหลงไปตามคำยั่วยุของจางคุนไปเสียแล้ว เขาดูไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้และตอบตกลงกับการท้าทายของจางคุนด้วยสีหน้าที่ดูใจร้อนขึ้นมานิดหน่อย
“เย่เย่ ไม่ได้นะ! ถึงแม้ว่าค่ายกลไฟของจางคุนจะยังไม่สมบูรณ์ก็จริง แต่ถ้าไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญน่ะ ไม่มีทางทำลายเวทนั้นได้แน่ๆ! กลับคำซะ!”
เหล่ยถิงที่เห็นเย่เย่ตอบตกลงที่จะเดิมพันกับจางคุน นางก็ลุกลี้ลุกลนพร้อมกับดึงแขนเสื้อของเย่เย่ไว้ด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความงุนงงสุดๆ
“คำพูดน่ะ มันคืนคำไม่ได้หรอกนะ! คิดเหรอว่าถ้าพูดออกมาแล้วข้าจะยอมให้คืนคำพูดง่ายๆน่ะ? ในเมื่อเย่เย่ตัดสินใจที่จะเอาตัวเข้าเสี่ยงกับปัญหาเพื่อเกียรติยศของตนเอง ข้าก็ยินดีที่จะเติมเต็มความต้องการเหล่านั้นอยู่แล้ว!”
จางคุนพูดพร้อมหัวเราะก่อนจะเดินไปยังพื้นที่ว่างด้านนอกโถงของบ้านตระกูลเย่เพื่อที่จะสร้างค่ายกลไฟของเขา
ไม่นานนักกลุ่มก้อนพลังงานขนาดเล็กก็ปรากฏขึ้นบนพื้นที่ว่างเปล่านั้น กลุ่มก้อนพลังเหล่านั้นแปลเปลี่ยนสภาพเป็นเหมือนภูเขาที่กำลังลุกโชนด้วยไฟ และนี่คือค่ายกลไฟขนาดเล็กของจางคุน
ขนาดของค่ายกลไฟนี้เล็กกว่าของค่ายกลเพลิงสีชาดของเย่เย่เกือบ 3 เท่าเลย รวมถึงผิวด้านนอกมันยังดูไม่สมบูรณ์อีกด้วย ชัดเจนเลยว่าเป็นปัญหาที่มาจากโครงสร้างภายใน แต่ในสายตาของผู้เชี่ยวชาญ นี่ก็ถือว่าเยี่ยมยอดมากแล้ว ดังนั้นเหล่าผู้ที่เห็นภาพตรงหน้านี้ต่างก็คิดว่าไฟนี่จะต้องเผาเย่เย่จนถึงจุดจบแน่ๆ
โดยเฉพาะเหล่ยถิงเองที่ดูจะหมดหวังแบบที่สุด รวมไปถึงหมดความเชื่อมั่นในตัวเย่เย่ด้วย เพราะสิ่งแรกที่ทำให้นางชื่นชมและประทับใจเย่เย่ก็คือความมีวุฒิภาวะและมีประสบการณ์ ดูเป็นคนมั่นคง แต่นางไม่คิดเลยว่าในวันนี้เย่เย่จะโดนยั่วยุเอาเสียง่ายๆ
“นี่คือสิ่งที่เจ้าภาคภูมิใจงั้นเหรอ? ดูไม่ค่อยน่าชื่นชมเลยแฮะ”
เย่เย่มองไปยังค่ายกลไฟของจางคุนทึ่ตอนนี้ก่อตัวสมบูรณ์ในแบบที่มันเป็นได้แล้ว และมันก็อดไม่ได้ที่จะพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยามเช่นเดียวกับโทนเสียงที่เอ่ยออกมา
ถ้อยคำเหล่านั้นของเย่เย่ทำเอาจางคุนเดือดเป็นฟืนเป็นไฟไม่ต่างอะไรกับค่ายกลของตัวเขาเอง เขาแทบจะกระโดดเข้าไปตรงหน้าเย่เย่เหมือนแมวโดนเหยียบหางแล้ว
“ฮึ่ม! ข้าให้ปากดีได้แค่ตอนนี้เท่านั้นแหละ! เดี๋ยวพอเข้าไปแล้วเจ้าจะได้รู้ซึ้งถึงพลังที่แท้จริงของมัน! แล้วข้าจะรอดูว่า เย่เย่ที่ปากเก่งเช่นนี้จะยังมีหน้าเดินออกมาในสภาพเดิมอีกไหว!”
หลังจากที่พูดตอบเย่เย่แล้ว จางคุนก็คะยั้นคะยอให้เย่เย่เข้าไปในค่ายกลนั้นเร็วๆด้วย
ทางฝั่งเหล่ยถิงนั้นตัดสินใจแล้วว่าจะเข้าไปโน้มน้าวเย่เย่อีกครั้ง ทว่าเมื่อหันไปมองทางเย่เย่ นางก็พบว่าสีหน้าของเย่เย่นั้นสงบนิ่งเอาเสียมากๆ มันไม่เหมือนว่าเขานั้นโดนยั่วยุเลย แถมแววตายังดูสดใสมากๆอีก ดังนั้นแล้วเหล่ยถิงจึงตัดสินใจที่จะหันไปจ้องมองผลลัพธ์ของการเดิมพันครั้งนี้แทน
“งั้นก็เชิญชมได้เลย”
พูดจบเย่เย่ก็เดินเข้าไปในค่ายกลนั้นอย่างใจเย็น เมื่อเห็นดังนั้นแล้วจางคุนก็ปิดทางเข้าออกของค่ายกลและเริ่มควบคุมไฟภายในนั้นให้เข้าโจมตีเย่เย่ต่อในทันที
ในการที่จะแสดงให้เห็นว่าเขานั้นแข็งแกร่งระดับไหน เย่เย่ได้สร้างคลื่นพลังงานแบบโปร่งใสไว้รอบตัวแล้ว ทั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้เจ้าของค่ายกลอย่างจางคุนสามารถเห็นได้ว่าเขาใช้เล่ห์กลอะไรในการป้องกันการโจมตีจากภายใน
ด้วยโล่พลังงานนี้มันทำให้สิ่งที่จางคุนและพวกพ้องของเขาอยากจะเห็นอย่าง สีหน้าท้อใจของเย่เย่ นั้นไม่ปรากฏออกมาแม้แต่นิดเดียว หนำซ้ำการโจมตียังเข้าไม่ถึงตัวเย่เย่อีก เหมือนกับว่าภายในนั้นเป็นเพียงถ้ำกลวงๆที่รอให้เย่เย่เดินผ่านไปถึงปลายทางเท่านั้น
“ไม่มีทาง?! เจ้านี่รู้จุดอ่อนของค่ายกลนี้งั้นเหรอ?!”
เมื่อสังเกตเห็นว่าทิศทางที่เย่เย่เดินตรงไปนั้นคือจุดอ่อนของค่ายกลที่เขาสร้าง สีหน้าของเขาก็ซีดเผือดลงไป ในขณะที่เหล่ยถิงยังคงกำหมัดแน่นและติดตามสถานการณ์ด้วยใจที่เต้นแรงราวกับจะกระโดดออกมาด้านนอก
หลังจากที่เข้าไปภายในค่ายกลนั้นแล้ว เย่เย่ก็ไม่ได้ใส่ใจกับความคิดคนที่อยู่ด้านนอกนัก เขาเพียงหาจุดที่อ่อนแอที่สุดของค่ายกลไฟขนาดเล็กนี้ ก่อนจะต่อยเข้าไปเต็มแรงที่จุดนั้น
*โพล๊ะ!*
เพียงหมัดเดียว ค่ายกลไฟที่ห่อหุ้มร่างกายของเขาอยู่ก็เริ่มเกิดรอยร้าวเหมือนกระจก และทันใดนั้นร่างของเย่เย่ก็กลับออกมาปรากฏอยู่ที่ลานกว้างจุดเดิมอีกครั้งพร้อมๆกับค่ายกลไฟขนาดเล็กของจางคุนที่แตกสลายไปแทนซึ่งภาพนี้ทำให้เขาถึงกับกระอักเลือดออกมาราวกับโดนทิ่มแทงด้วยคมดาบมากมาย
“เจ้าแพ้แล้ว”
ไม่ต้องพูดให้มากความ เพราะเพียง 3 คำนี้ก็เพียงพอที่จะเป็นคำตัดสินให้แก่การเดิมพันครั้งนี้ของจางคุนแล้วรวมถึงยังทำลายความมั่นใจของเขาไปจนหมดอีกด้วย
จางคุนเจ็บปวดไปทั้งร่างกายและเจ็บใจ เขาสลบล้มฟุบลงไปในทันทีจนเหล่าพวกที่มาด้วยกันต้องมาลากเขากลับออกไป
“เย่เย่ เมื่อครู่นี้เจ้าเท่มากเลยนะ! เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าเจ้าทำได้อย่างไร?”
เหล่ยถิงที่เห็นจางคุนและคนอื่นๆออกไปด้วยท่าทีหวาดกลัว นางก็กระโดดพรวดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นพร้อมทั้งคว้าแขนเย่เย่มากอดเอาไว้ด้วย
“ถ้าข้าบอกว่า ข้าเข้าใจถึงหลักการทำงานของค่ายกลไฟอย่างถ่องแท้มากกว่าจางคุน ท่านจะเชื่อข้าหรือเปล่า?”
เย่เย่มองไปยังเหล่ยถิงพร้อมรอยยิ้มแบบเป็นธรรม
“ฮึ่ม! ถ้าเจ้าไม่บอกข้าก็ไม่รู้หรอกนะ!”
เหล่ยถิงกลอกตาไปมา ชัดเจนเลยว่านางนั้นไม่ได้เชื่อว่าเย่เย่จะรู้เรื่องนี้อยู่ด้วย นั่นก็เพราะการฝึกฝนค่ายกลให้สำเร็จนั้นอยู่เหนือการคาดเดาของคนธรรมดาอยู่มากเลย
เย่เย่เองก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากยิ้มเจื่อนๆ และไม่อธิบายต่อให้ยืดยาวเพราะยังไงซะขืนพูดไป เหล่ยถิงก็คงจะไม่เชื่ออยู่ดี
ขณะเดียวกันทางฝั่งเสี่ยวหยูผู้ที่เดินทางไปยังหลิงเฉิงนั้น นางก็พบปัญหายิบย่อยตลอดการเดินทางจนะกระทั่งถึงหลิงเฉิงเลย
ตั๋วเหรียญทองจำนวน 50,000 เหรียญทองที่ได้มาจาก เย่เย่นั้นถูกใช้อยู่แทบทุกวันไปกับการจับจ่ายซื้อของเพื่อให้ได้สิ่งที่เหมาะสมกับร้านค้า เสี่ยวหยูต้องเวียนเข้าเวียนออกอยู่ในโรงเตี๊ยมอยู่เกือบครึ่งเดือนเพื่อแสวงหาทำเลดีๆตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่
อาวุธ, ยา, คัมภีร์กระบวนท่า, ยาเกี่ยวกับวรยุทธ์ เกือบทุกสิ่งทุกอย่างนั้นล้วนถูกจัดเตรียมโดยเสี่ยวหยูด้วยตัวคนเดียว นางเลือกและให้ร้านค้านั้นส่งไปยังทำเลที่ตั้งร้านที่ได้เลือกเอาไว้ ในการที่จะประหยัดเงินให้ได้มากที่สุด นางไม่ได้จ้างเสมียนมาช่วยแต่อย่างใดรวมถึงเป็นทั้งเจ้าของร้านและเด็กจัดของภายในร้านด้วยตนเอง ไม่เพียงเท่านี้ ของบางอย่างถ้าซื้อแล้วไม่มีบริการจัดส่งนางก็จะแบกมาเองเสียด้วยซ้ำ
การตั้งหอการค้านั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่กระนั้นก็ยังมีบางคนที่ไม่ยอมเปิดใจคิดว่านางนั้นรังแกได้ง่ายๆอีกจึงรวมหัวกันมาเก็บค่าคุ้มครอง
เสี่ยวหยูหันมองใบหน้าที่ยิ้มแย้มของชายร่างใหญ่หลายคนที่เดินมาตรงหน้านาง และการมาของคนเหล่านี้ก็ทำให้นางต้องขมวดคิ้วขึ้นมาด้วย แม้ในใจจะพอเดาได้ว่าคนเหล่านี้มาทำอะไร แต่เพราะกฎเหล็กของการทำการค้าอย่างหนึ่งก็คือ มิตรภาพ ดังนั้นนางต้องไม่ทำให้ที่แห่งนี้ต้องกลายเป็นที่เล่าขานกันก่อนที่ร้านจะได้เปิด เช่นนั้นแล้วนางจึงต้องข่มความตกใจเอาไว้และพูดคุยกับคนตรงหน้าด้วยความสงบสุข
“ทุกท่านเจ้าคะ ร้านของเรายังไม่เปิดบริการนะเจ้าคะ แล้วก็ยังไม่มีรายได้แต่อย่างใดด้วย เช่นนี้แล้วข้ายังต้องจ่ายค่าคุ้มครองอีกเหรอเจ้าคะ? ได้โปรดช่วยเห็นแก่ข้าตัวน้อยๆที่กำลังดำเนินกิจการเล็กๆด้วยเงินอันน้อยนิดด้วยเถิด”
เมื่อเข้าใจจุดประสงค์ของกลุ่มชายตรงหน้าแล้ว เสี่ยวหยูก็แสดงท่าทีน่าสงสารออกมาพร้อมกับโค้งให้แก่ชายเหล่านั้นเพื่อขอให้เขาออกจากร้านไปอย่างสันติ
ชายคนแรกที่ยืนอยู่หน้าสุดนั้นดูน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก แต่เขาก็หลงใหลเสี่ยวหยูที่กำลังแสดงท่าทีอ่อนน้อมและมีกิริยาที่น่าชื่นชม ทว่าเมื่อได้ยินสิ่งที่นางพูดออกมาแล้วเขาจึงพูดออกมาอย่างไม่แยแส
“ถ้าเจ้าต้องการจะเปิดทำธุรกิจบนถนนเส้นนี้ เจ้าต้องจ่ายค่าคุ้มครองให้พวกเรา แก๊งสายน้ำหลั่งไหล! นี่เป็นกฎ ไม่ว่าใครก็ห้ามเปลี่ยนแปลงทั้งนั้น ถ้าหากเจ้าทำตามกฎไม่ได้ เจ้าก็ไม่มีโอกาสได้อยู่รอดถึงวันเปิดร้านหรอก!”
จากนั้นเหล่าลูกน้องของชายคนดังกล่าวก็เดินตามเข้ามาในร้านเช่นเดียวกัน ความกดดันเหล่านี้ทำเอาหลายๆคนหวาดกลัวได้เลย ถ้าหากเป็นนักธุรกิจธรรมดาๆล่ะก็ ป่านนี้ได้เข่าอ่อนไปกันหมดแล้ว
ทว่าเสี่ยวหยูนั้นยังคงเปี่ยมไปด้วยความมั่นคงในแววตาและยังกล่าวต่อคนเหล่านั้น “ข้าเพิ่งมาใหม่ ข้าไม่เคยได้ยินกฏนี้หรอก ข้าน่ะไม่ได้อยากจะละเลยอะไรหรอกนะ แต่เงินสำรองของข้านั้นก็หมดไปกับการซื้อของเข้าร้านแล้ว ดังนั้นข้าไม่มีเงินเหลือแล้วจริงๆ ได้โปรดอะลุ่มอล่วยให้ข้าเถอะ”