หลังจากที่จัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว เย่เย่ก็ได้มีเวลาที่จะมาใจเย็นและเริ่มฝึกวรยุทธ์ให้แก่ตนเองอย่างสงบสุขอีกครั้ง เขาเริ่มจากเปลี่ยนกระบวนท่าอสรพิษคืบคลานที่เคยใช้เมื่อตอนยังเป็นจ้าววรยุทธ์ให้กลายเป็นงูสวรรค์เพื่อใช้ต่อในขั้นเทพยุทธ์ได้ จากนั้นก็เริ่มฝึกวิชาฝ่ามือคลื่นพิโรธต่อในทันที
มันไม่จำเป็นที่จะต้องพูดถึงคุณสมบัติของกระบวนท่างูสวรรค์มากนัก ขอให้รู้ไว้เพียงแค่ว่า มันเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุดในการที่จะฝึกฝนเพื่อพัฒนาจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ให้แข็งแกร่งขึ้นไปเรื่อยๆ ของเย่เย่ในระดับขึ้นเทพยุทธ์นี้ ส่วนพลังของฝ่ามือคลื่นพิโรธนั้นคือสิ่งที่เย่เย่ต้องการมานานแล้ว ดังนั้นเมื่อมีโอกาสเขาจึงไม่รอช้าที่จะฝึกฝนมันเสีย
เมื่อครั้งที่ต้องหาสิ่งของไปแลกกับโสมราชานั้น เย่เย่ต้องยอมจ่ายเพื่อแลกเอากระบวนท่าทั้ง 2 นี้กับระฆังสูบวิญญาณออกมาจากระบบแลกเปลี่ยนครอบจักรวาลและมอบมันให้แก่หอการค้าชิงเฟิง ตอนนี้ถึงแม้ว่าระฆังสูบวิญญาณนั้นจะยังอยู่กับหอการค้าชิงเฟิงก็จริง แต่ทั้งงูสวรรค์และฝ่ามือคลื่นพิโรธนั้นก็ยังมีต้นฉบับอยู่ในมือเย่เย่ดังเดิม
ทั้ง 2 กระบวนท่านี้ตามปกติแล้วการที่จะฝึกมันได้ต้องเป็นผู้มีระดับเทียบเท่าจ้าววรยุทธ์เท่านั้น แต่สำหรับเย่เย่ในตอนนี้ที่อยู่ในระดับที่สูงกว่าแล้ว การจะฝึกฝนงูสวรรค์นั้นจึงเป็นอะไรที่เหมาะสมกับเขามากที่สุดแล้วในตอนนี้ ทั้งนี้ก็เพื่อให้จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเขามันเสถียรมากขึ้นด้วย
ดังนั้นแล้วเย่เย่จึงใช้เวลาร่วมๆครึ่งเดือนในการฝึกฝนงูสวรรค์จนสำเร็จลุล่วง จากนั้นเมื่อจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ในกายของเขามันนิ่งในระดับที่จ้าววรยุทธ์ควรจะเป็นแล้ว เขาก็ค่อยๆเริ่มศึกษากระบวนท่าฝ่ามือคลื่นพิโรธต่อในทันที
ฝ่ามือคลื่นพิโรธนี้ เป็นกระบวนท่าที่ใช้ควบคู่กับพลังของสายน้ำ หากจะให้พูดกันตรงๆ มันเป็นกระบวนท่าที่เหมาะสำหรับจ้าววรยุทธ์ที่เป็นสตรีเพศเสียมากกว่า แต่ว่าตราบใดที่ผู้ฝึกฝนสามารถทำความเข้าใจถึงแก่นแท้ของกระบวนท่าได้ ไม่ว่าเขาคนนั้นจะเป็นใคร เขาก็จะสามารถเข้าถึงพลังอันยิ่งใหญ่นี้ได้เช่นกัน
ขณะที่ฝึกฝ่ามือคลื่นพิโรธนั้น เย่เย่จำเป็นต้องไปที่แม่น้ำหรือทะเลสาบที่ด้านนอกเฟิงเจิ้นอยู่บ่อยครั้งเพื่อให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงสัจธรรมแห่งสายน้ำ อย่างไรก็ตามเวลาในการฝึกฝนของเขานั้นช่างน้อยเสียเหลือเกิน มันเลยทำให้เขายังไม่มีโอกาสได้ทดลองใช้พลังที่แท้จริงของฝ่ามือคลื่นพิโรธเสียที
“ดูเหมือนจะเป็นกระบวนท่าที่ต้องค่อยเป็นค่อยไปและใช้ความมุมานะอุตสาหะสินะ ก็ได้ ข้าจะไม่เร่งเร้าก็แล้วกัน!”
เขาพยายามใจเย็นลงและสงบสติอารมณ์ใหม่เรื่อยๆเมื่อเผลอตบะแตกไป อย่างไรก็ตาม ขณะที่เขากำลังง่วนกับการฝึกฝนฝ่ามือคลื่นพิโรธนั้น งูสวรรค์ที่เรียนรู้ไว้ก่อนหน้ามันก็ทำให้วรยุทธ์ของขั้นเทพยุทธ์ที่เขาเป็นอยู่นั้นเสถียรสมบูรณ์แล้ว เย่เย่รู้สึกได้เลยว่าร่างกายของเขานั้นแข็งแกร่งขึ้นด้วยความคุ้นเคย นี่คงเป็นเวลาที่จะต้องหาตัวช่วยอื่นมาเพื่อช่วยในการฝึกฝนแล้วสินะ!
เพราะก่อนหน้านี้เย่เย่เพิ่งจะแลกเปลี่ยนอย่างบ้ารำห่ำไป ดังนั้นตอนนี้ภายในระบบแลกเปลี่ยนครอบจักรวาล เขาจึงเหลือเหรียญจักรวาลเพียง 402 เหรียญเท่านั้น ซึ่งด้วยเงินจำนวนนี้มันไม่เพียงพอต่อการซื้อยาปลุกจิตวิญญาณ เพราะฉะนั้น อันดับแรกเขาต้องทำให้การเงินในระบบของเขานั้นร่ำรวยขึ้นเสียก่อน
“เมื่อตอนที่ไปประมูลเอาโสมราชามาจากหอการค้าชิงเฟิง เฟิงเซียนซีบอกเอาไว้ว่าโสมราชานั้นเติบโตอยู่ในภูเขา หลี่เทียน เพราะงั้นแล้วถ้าหากว่าอยากจะสร้างเม็ดเงินเพิ่มด้วยสิ่งนี้ เห็นทีข้าคงจะต้องกลับไปที่ภูเขาหลี่เทียนแล้วกระมัง!”
เย่เย่น่ะมีความคิดในการหาเงินอยู่ในหัวตลอดนั่นแหละ ตั้งแต่ที่เขาสามารถขายโสมราชามีอายุในราคา 300,000 เหรียญทองได้ เขาคิดอยากจะหาเหล่ายาวิเศษที่ซ่อนอยู่ตามธรรมชาติมาแล้วเพิ่มประสิทธิภาพของมันด้วยระบบ ซึ่งนั่นก็จะทำให้มูลค่าของมันสูงขึ้นไปอีก
ด้วยวิธีนี้หลังจากที่ได้ยาที่ประสิทธิภาพสูงขึ้นมาแล้ว เขาก็แค่นำมันไปขายให้กับหอการค้าในภายหลังก็เท่านั้น แบบนี้เขาก็จะสามารถมีรายได้มหาศาลเพื่อมาเติมเงินเข้าระบบแลกเปลี่ยนนี่ได้ง่ายและเสี่ยงน้อยกว่าครั้งที่นำสินค้าจากในระบบไปขายซะอีก!
พวกสิ่งของที่อยู่ในระบบแลกเปลี่ยนน่ะล้วนแต่เป็นของที่มีประสิทธิภาพสูงเกินกว่าที่โลกนี้จะมี และถ้าหากนำมันออกมาบ่อยๆ เขาอาจจะถูกสงสัยได้ง่าย ซึ่งหากมีคนสงสัยถึงที่มาของมันล่ะก็ แม้แต่ตัวเย่เย่เองก็คงจะตอบเรื่องนั้นไม่ได้เช่นกัน ยิ่งโดนซักถามก็อาจจะยิ่งทำให้เขาหมดความน่าเชื่อถือลงไปอีกก็ได้
แต่ในทางกลับกัน สำหรับเหล่าสมุนไพรวิเศษนั้นต่างจากสิ่งเหล่านี้อยู่มาก เพราะทุกๆคนรู้ถึงต้นกำเนิดของมัน ดังนั้นเต็มที่ก็จะมีแค่คนอิจฉาถึงความโชคดีของเย่เย่ จะไม่มีใครที่สงสัยในความลับของเขาทั้งนั้น เห็นได้ชัดเลยว่าความเสี่ยงมันมีน้อยขนาดไหน
เย่เย่นั้นคิดทบทวนถึงวิธีนี้มาตั้งแต่ที่ขายโสมราชาได้แล้ว เขารู้สึกว่ามันเป็นวิธีที่ปลอดภัยกว่าการแลกของในระบบออกไปขายเป็นไฉน เพราะงั้นเย่เย่จึงตัดสินใจแล้ว เขาจะต้องคว้าโอกาสนี้มาให้ได้!
เขาบอกเรื่องนี้กับเสี่ยวหยูผู้ที่ปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ขึ้นมาได้แล้ว ก่อนจะออกจากบ้านเพื่อไปเก็บสมุนไพรที่ภูเขาหลี่เทียน
เรื่องที่เขานั้นสามารถเอาชนะเย่หูที่เป็นถึงระดับเทพยุทธ์ในงานพบปะจ้าววรยุทธ์ประจำตระกูลเย่นั้นแพร่หลายไปทั่วทั้งเฟิงเจิ้นแล้ว และมันกลายเป็นแรงบันดาลใจที่สำคัญที่ทำให้เหล่าผู้ฝึกฝนตนเองต่างพากันมาฝึกวิชาที่ภูเขาหลี่เทียนแห่งนี้ พวกเขาเหมือนเชื้อเพลิงมาจุดดวงใจที่เคยเหนื่อยล้าจากการฝึกฝนมาอย่างยาวนานให้กลับมามีไฟลุกโชติช่วงอีกครั้งหนึ่ง
และด้วยแรงใจอันกล้าแกร่งนี้ มันก็ทำให้เพียงไม่นานก็มีจ้าววรยุทธ์กำเนิดขึ้นในเฟิงเจิ้นเป็นจำนวนมากจนน่าตื่นตาตื่นใจไปหมด
ทางด้านหลินหยูฉีแห่งอารามจ้าววรยุทธ์เองรวมไปถึงเฟิงเซียนซีแห่งหอการค้าชิงเฟิงเองต่างก็ตกใจกับข่าวนี้ไม่แพ้กัน สิ่งที่เกิดขึ้นนี้มันทำให้เฟิงเซียนซีมั่นใจมากขึ้นไปอีกว่าเบื้องหลังของเย่เย่นั้นจะต้องมียอดฝีมือคอยช่วยเหลือแน่ๆ มิเช่นนั้นแล้วเขาคงไม่สามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้
ส่วนหลินหยูฉีนั้นก็สับสนและรู้สึกกดดันตัวเองมากขึ้นกว่าเดิม นั้นเพราะมีอีกตั้งหลายเรื่องที่นางยังไม่รู้เกี่ยวกับเย่เย่ รวมไปถึงเรื่องที่เย่เย่รู้ว่านางตั้งใจจะฆ่าเขาตั้งแต่แรกแล้วนั้นด้วย ถ้าหากหลินหยูฉีรู้ว่าการกระทำในครั้งนั้นของนางจะเป็นภัยต่อนางเองในตอนนี้ล่ะก็ นางอาจจะรีบหยุดยั้งความคิดไปตั้งแต่แรกแล้วก็ได้
นางตัดสินใจแล้วว่าจะหาโอกาสเข้าไปสืบดูถึงความสามารถของเย่เย่ให้ได้ ดังนั้นแล้วตอนนี้นางจึงต้องรีบเตรียมการไว้ซะตั้งแต่เนิ่นๆ
เย่เย่เดินอยู่ในภูเขาหลี่เทียนด้วยตัวคนเดียวโดยที่เหล่าสัตว์ร้ายมากมายภายในหุบเขานี้ไม่สามารถทำอะไรเขาได้
นั่นเป็นเพราะสัตว์พวกนี้ส่วนใหญ่ล้วนแข็งแกร่งเพียงระดับจ้าววรยุทธ์เท่านั้น เพราะฉะนั้นต่อให้เย่เย่ไม่จัดการพวกมันทิ้งในตอนนี้ ยังไงซะเขาก็หลบหนีมันได้อยู่ดี ดังนั้นเขาจึงไม่เสียเวลามาวุ่นวายกับสัตว์พวกนี้และเอาเวลาไปหาสมุนไพรวิเศษแทน
ช่างโชคร้าย ภายในภูเขาหลี่เทียนตอนนี้นั้นมีสมุนไพรวิเศษที่อยู่ในระดับเดียวกับโสมราชาเพียงน้อยนิดเท่านั้น ไม่เพียงเท่านี้ ที่นี่ยังมีคนจำนวนมากมายเข้ามาเพื่อหาสมุนไพรวิเศษเหล่านี้อีกด้วย
ตลอดเวลา 3 วันที่เย่เย่อยู่ในหุบเขาหลี่เทียนแห่งนี้ สิ่งที่เขาได้มานั้นมีเพียงผลเมฆามรกตและหญ้ากล้วยไม้เท่านั้น
ผลเมฆามรกตนั้นถือเป็นพืชวิญญาณที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการฝึกฝนให้แก่เหล่าจ้าววรยุทธ์ได้เป็นอย่างดี
ส่วนหญ้ากล้วยไม้นั้นสามารถใช้เป็นสารสกัดสำหรับทำยาระดับสูงได้ มูลค่าของยาวิเศษทั้ง 2 ชิ้นนี้สามารถเพิ่มสูงขึ้นไปได้อีกหากนำมันไปเพิ่มประสิทธิภาพด้วยระบบ แต่ไม่น่าจะสามารถเพิ่มได้ในระดับโสมราชา
นอกจากพืช 2 ชนิดนี้ เย่เย่ก็ไม่พบอย่างอื่นอีกเลย ดังนั้นเขาจึงล้มเลิกแผนการนี้และตัดสินใจกลับเฟิงเจิ้นไปก่อน
แต่ขณะที่เขาออกมาถึงส่วนนอกของหุบเขาหลี่เทียนนี้เอง เสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นจากไกลๆ
“นายหญิงเหล่ยถิง ข้าให้คนไปสืบมาจนมั่นใจแล้วขอรับว่า ตัวมิงค์เมฆานั้นออกล่าสัตว์อยู่บริเวณนี้อย่างแน่นอน!”
เขาเดินตามเสียงมาไม่ไกลนักก็พบกับหม่าเฟยผู้มากับหญิงสาวที่มีใบหน้างดงามภายใต้ชุดสีดำ รอบๆตัวนางนั้นมีเหล่าทหารของตระกูลหม่าล้อมรอบอยู่ หม่าเฟยเดินนำหญิงสาวผู้นี้ไปตามทาง ระหว่างนั้นก็หันไปอธิบายสิ่งต่างๆไปด้วย
นางผู้นั้นน่าจะอายุราวๆ 20 ปี กระนั้นใบหน้าที่สวยงามราวกับเทพธิดากลับดูเก่งกาจรวมไปถึงเรือนร่างบอบบางนั้นก็ดูกระฉับกระเฉงไม่น้อยเลยด้วย จากสัญชาตญาณของเย่เย่ นางจะต้องเป็นจ้าววรยุทธ์ที่เก่งกาจแน่ๆ!
นามของนางคือ เหล่ยถิง นายหญิงแห่งสำนักจ้าววายุแห่งเฟิงเจิ้น เมื่อไม่กี่วันก่อนนี้ หม่าเฟยได้ยินมาว่านางเตรียมที่จะออกล่าหาตัวมิงค์มาเป็นสัตว์เลี้ยง ดังนั้นแล้วเขาจึงรีบส่งคนไปสืบข่าวเกี่ยวกับสัตว์ชนิดนี้มาและนำข่าวคราวที่ได้ไปเสนอให้เหล่ยถิงเพื่อเป็นการผูกมิตร
เพราะเหล่ยถิงเชื่อในสิ่งที่หม่าเฟยพูด นางจึงยอมตามหม่าเฟยมายังหุบเขาหลี่เทียนแห่งนี้ ทว่าหลังจากพยายามค้นหากันมาหลายวันแล้วก็ยังไร้ซึ่งวี่แววของมิงค์เมฆาที่นางต้องการเลย หนำซ้ำพวกของหม่าเฟยยังไปล่อเหล่าสัตว์ร้ายในหุบเขาให้เข้ามาโจมตีอีก ซึ่งนี่ทำให้ทางฝั่งของหม่าเฟยเริ่มหน้าเสียมาเรื่อยๆแล้ว
ไม่เพียงแค่หม่าเฟยเท่านั้นที่ไม่อยู่ในอารมณ์ปกติ เพราะทางเหล่ยถิงเองก็ไม่ได้อารมณ์ดีเหมือนตอนแรกเช่นกัน ตลอดเวลาที่เดินทางนั้นนางเอาแต่มองมีดสั้นที่แตกไปแล้วของนางครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งในแววตานั้นก็แสดงออกถึงความหงุดหงิดและไม่พอใจอยู่ตลอดด้วย
“หม่าเฟย ต่อให้ข่าวที่เจ้าได้ยินมาจะน่าเชื่อถือขนาดไหน แต่ความน่าเชื่อถือเมื่อกาลก่อนไม่สามารถเชื่อถือได้ในปัจจุบันแล้ว เพราะตั้งแต่มาที่นี่ ข้ายังไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยของตัวมิงค์ที่ข้าต้องการแต่อย่างใด แถมในตอนนี้ดาบจิตรวารีของข้าก็เสียหายหนักจากการต่อสู้กับพวกสัตว์ร้ายอีกด้วย ตอนนี้น่ะ ข้าไม่มีอารมณ์ที่จะตามหาตัวมิงค์แล้ว พาข้ากลับไปเฟิงเจิ้นเดี๋ยวนี้เลย!”
ดาบจิตรวารีนั้นเป็นของดูต่างหน้าเพียงสิ่งเดียวที่แม่ของนางหลงเหลือไว้ให้ก่อนจะตายจาก ซึ่งนางเองก็ดูแลดาบเล่มนี้เป็นอย่างดีมาโดยตลอด ดังนั้นแล้วยามที่ตัวดาบต้องมาเสียหายหนักกับการต่อสู้อันไม่พึงประสงค์เช่นนี้ มันจึงทำให้เหล่ยถิงอยู่ในอารมณ์ที่บูดแบบสุดๆ
ไม่เพียงเท่านั้น การที่นางยอมลงทุนเข้ามาตามหาสิ่งที่ต้องการตั้งหลายวันแบบนี้แต่ยังไร้ซึ่งวี่แวว มันทำให้นางคาดการว่าหม่าเฟยเองน่าจะเป็นพวกที่ไม่ยอมตรวจสอบข่าวสารให้ดีเสียก่อน ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่อยากจะอยู่ที่นี่ต่อแล้ว
เย่เย่ที่ได้ยินบทสนทนาของทั้งสองก็เกิดรอยยิ้มขึ้นมาที่มุมปาก จากนั้นเขาก็ปรากฏตัวต่อหน้าเหล่ยถิงและคนอื่นๆ
“นี่ แม่สาวคนนั้นน่ะ เผอิญข้าได้ยินมาว่าอาวุธสุดรักสุดหวงของเจ้าได้รับความเสียหายสินะ? ถ้าหากเจ้าไม่รังเกียจ ขอให้ข้าได้ดูอาวุธของเจ้าหน่อยได้หรือไม่? บางทีข้าอาจจะพอช่วยซ่อมแซมให้กลับสู่สภาพเดิมได้”
ถึงแม้ว่าเย่เย่นั้นจะไม่ได้รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเหล่ยถิง แต่มองจากท่าทีที่ระมัดระวังตัวตลอดของนางนั้น เห็นทีคงจะไม่ใช่คนธรรมดาๆทั่วไปแน่ๆ เขาคิดว่าถ้าหากช่วยเหล่ยถิงซ่อมแซมอาวุธชิ้นนี้ได้ บางทีเขาอาจจะสร้างเม็ดเงินมหาศาลได้ในอนาคต
หม่าเฟยที่เห็นเย่เย่ก็หยุดและถอยกลับไปหลบหลังเหล่าทหารด้วยสัญชาตญาณในทันที
แม้จะยังไม่ได้เห็นพลังของเย่เย่ในปัจจุบันด้วยตาตนเอง แต่เขาก็ได้ยินมาจากข่าวที่เล่าต่อๆกันมาเรื่อยๆแล้วว่าเย่เย่นั้นสามารถปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ได้ แถมยังผ่านการทดสอบเข้าเป็นศิษย์ของอารามจ้าววรยุทธ์อีก ภาพจำที่เคยเห็นเย่เย่เดินกับศิษย์ของอารามจ้าววรยุทธ์ในครั้งนั้นมันยังคงจำฝังใจหม่าเฟยจนซ่อนความกลัวไว้ได้ไม่หมด
เพราะตัวเขานั้นไม่อยากจะถูกเย่เย่ทิ้งไว้เบื้องหลัง หม่าเฟยจึงเลือกใช้วิธีที่จะเข้าหาเหล่ยถิงแห่งสำนักจ้าววายุเพื่อที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ของเขาและนาง เผื่อว่าจะช่วยดึงตระกูลหม่าให้กลับมารุ่งเรืองได้อีกครั้ง
หากแผนการนี้สำเร็จ หม่าเฟยจะไม่เพียงแต่เลิกเกรงกลัวเย่เย่เท่านั้น แต่เขาจะได้สิทธิ์พิเศษที่เหนือกว่าใครในอนาคตอีกด้วย ต่อให้เย่เย่จะเป็นศิษย์ของอารามจ้าววรยุทธ์ แต่เหล่ยถิงนั้นก็มีศักดิ์เป็นถึงนายหญิงแห่งสำนักจ้าววายุ ดังนั้นแล้วช่องว่างระหว่างเขาและเย่เย่ก็จะลดลงไปเยอะ
ดังนั้นแล้วหลังจากที่หม่าเฟยดึงสติกลับมาได้ เขาก็รวบรวมความกล้าและเดินเข้าไปพูดกับเย่เย่ด้วยความเหยียดหยามทันที “เย่เย่ ถึงแม้ว่าเจ้านั้นจะปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ให้ตื่นขึ้นมาได้และกลายเป็นจ้าววรยุทธ์ได้แล้วก็จริง แต่เจ้าคิดว่างานซ่อมอาวุธนี่เป็นของใครก็ได้หรืออย่างไร? เจ้าคิดว่านายหญิงเหล่ยถิงแห่งสำนักจ้าววายุนี้จะยอมหลงกลเชื่ออุบายโง่เง่าของเจ้างั้นเหรอ? นี่เจ้าคิดว่าจะมีคนตกหลุมพรางเจ้าง่ายๆแบบนี้จริงๆหรือไง?”
แต่ทันทีหม่าเฟยพูดจบ เย่เย่ก็ตบไปที่หน้าของอีกฝ่ายรุนแรงจนเกิดเสียงดังสนั่นบริเวณนั้นเลย
*เพี๊ยะ!*
มันเป็นการตบที่รุนแรงขนาดที่หม่าเฟยล้มทรุดลงไปได้เลย เหล่าทหารรับใช้ของเขาเองก็รีบวิ่งรุดเข้ามาช่วยพยุงหม่าเฟยไว้ก่อนจะมองเย่เย่ด้วยแววตาโกรธเกรี้ยว ทว่าไม่มีใครเลยในหมู่คนเหล่านี้ที่จะกล้าเข้ามาท้าทายเย่เย่ก่อน
“หม่าเฟย ในเมื่อเจ้ารู้แล้วว่าข้านั้นเป็นจ้าววรยุทธ์ไปแล้ว ดังนั้นเจ้าควรเคารพข้าในฐานะที่ข้านั้นแข็งแกร่งกว่าสักหน่อยก็ดีนะ ข้าแนะนำว่าอย่าเพิ่งมากวนใจข้าตอนนี้”
บนโลกใบนี้ กฎที่ว่าผู้ที่อ่อนแอกว่าต้องเคารพผู้ที่แข็งแกร่งกว่านั้นกลายมาเป็นกฎเหล็กที่บังคับใช้กันไปทั่วเสียแล้ว และเมื่อเทียบกับเย่เย่ในตอนนี้โดยอิงจากกฎดังกล่าว หม่าเฟยไม่ได้มีอะไรที่พอจะเหนือกว่าเย่เย่ได้เลย แต่ทั้งนี้เขาก็ยังทำตัวไม่เคารพเย่เย่ ดังนั้นเย่เย่จึงสามารถสั่งสอนเขาได้ตามความเหมาะสม และต่อให้การสั่งสอนของเย่เย่จะทำให้หม่าเฟยบาดเจ็บหนัก เย่เย่ก็จะไม่ผิดแต่อย่างใด
ทว่าตอนนี้ หม่าเฟยนั้นมากับเหล่ยถิง ไม่ว่าจะด้วยบุญเก่าของหม่าเฟยหรือว่าค่าตอบแทนของความพยายาม มันทำให้เหล่ยถิงนั้นมองว่าการกระทำของเย่เย่ถือเป็นการข้ามหน้าข้ามตานาง ดังนั้นแล้วแววตาของนางจึงเปี่ยมไปด้วยความโกรธที่มากกว่าเดิม
“เจ้าคือเย่เย่สินะ? ข้าได้ยินมาว่าเจ้าโชคดีที่ปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ขึ้นมาได้ แบบนี้แล้วเจ้ายังคิดว่าตัวเองปกครองทุกอย่างได้หรืออย่างไร? ขนาดช่างตีเหล็กอันเลือกชื่อของสำนักจ้าววายุเองยังไม่กล้าที่จะมั่นใจว่าซ่อมดาบจิตรวารีของข้าได้ แล้วเหตุใดเจ้าจึงบอกว่าเจ้าสามารถซ่อมมันได้?”