หลินหยูฉีดึงสีหน้าตึงใส่เย่เย่และพยายามบังคับให้เขายอมเผยความลับออกมาให้ได้ และเมื่อเห็นว่าเย่เย่ยังไม่ยอมตอบคำถาม นางจึงหว่านเหยื่อเพิ่มเผื่อปลาจะกินเบ็ดบ้าง “นั่นเป็นเพราะเฟิงเซียนซีแห่งหอการค้าชิงเฟิงหรือเปล่า? ข้าไม่คิดเลยว่านางจะยอมทำให้เจ้าถึงเพียงนี้ ถึงขนาดเลิกฝึกฝนวรยุทธ์ของตนเองเพื่อมาฝึกเจ้าจนกลายเป็นเทพยุทธ์ได้เช่นนี้!”
นางพยายามสังเกตสีหน้าและอารมณ์ของเย่เย่หลังจากพูดออกไปเช่นนี้ ทว่าไม่ว่านางจะพยายามสังเกตถึงเพียงไหน เย่เย่ก็ไม่ได้แสดงความรู้สึกใดๆออกมาทั้งสิ้น นอกจากนั้น หลังจากที่เขาฟังหลินหยูฉีพูดจนจบแล้ว เขากับยิ้มอยู่เงียบๆซึ่งมันยิ่งทำให้นางไม่สามารถเดาความคิดของเขาได้มากไปกว่าเดิมเสียอีก
“ข้าล่ะชื่นชอบความมโนเป็นตุเป็นตะของเจ้าเสียจริง เพราะสิ่งนี้มันเลยทำให้เจ้าให้ความสนใจข้าขนาดนี้เลยสินะ? นี่เจ้ากลัวข้าจะทิ้งเจ้าไว้ด้านหลังงั้นหรือ?”
เย่เย่เริ่มหรี่ตามองหลินหยูฉีก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้และเตรียมที่จะกลับไปยังลานของตนเองเพื่อฝึกฝนต่อ
แต่เมื่อครั้นที่เขาเตรียมจะออกไปจากที่นี่พร้อมเสี่ยวหยู ข้ารับใช้คนอื่นๆของตระกูลเย่ก็รีบวิ่งเข้ามาหาเขาเสียก่อนพร้อมๆกับเฟิงเซียนซีที่เดินตามเข้ามา
“นายน้อยขอรับ แม่นางเฟิงเซียนซีจากหอการค้าชิงเฟิงมาเข้าพบขอรับ! นางบอกว่านางเป็นสหายเก่าของนายน้อย เพราะงั้นนางจึงขอเข้ามาเลยโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า!”
หลังจากที่เหล่าข้ารับใช้ทั้งหลายรายงานเรื่องนี้ให้เย่เย่รู้ พวกเขาก็รีบเดินออกไป
เมื่อเห็นว่าเฟิงเซียนซีนั้นเข้ามาหาเย่เย่ด้วยตัวนางเอง หลินหยูฉีก็ยิ่งมั่นใจว่าความสัมพันธ์ของเย่เย่และเฟิงเซียนซีนั้นไม่ใช่แค่ผิวเผินแน่ๆ คิดได้ดังนั้นนางจึงพูดเชิงเหน็บแนมออกมา “เข้ามาพบชายอื่นด้วยตนเองเช่นนี้ ดูท่าเจ้าเองคงจะหลงจนหัวปักหัวปำเลยล่ะสิ! ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเย่เย่ถึงพัฒนาฝีมือได้ก้าวไกลถึงระดับนี้ในเวลาอันสั้น ส่วนเจ้า เย่เย่ ช่างเปลืองตัวเสียจริงนะ!”
หลินหยูฉีเอาแต่พูดด้วยถ้อยคำดูถูกและเหยียดหยามเช่นนี้อย่างไม่ปิดบังเลย นั่นจึงทำให้เสี่ยวหยูเองก็เริ่มจะทนไม่ไหวและพร้อมจะโต้กลับแล้ว แต่กระนั้นเย่เย่และเฟิงเซียนซีกลับยังสงบนิ่งและทำตัวเป็นธรรมชาติอยู่ได้ ราวกับพวกเขานั้นไม่ได้ยินเสียงของหลินหยูฉีแต่อย่างใด
“ได้พบท่านเสียที ท่านเย่ วันนี้ข้านำใบชาจิตวิญญาณมรกตมาให้เจ้าค่ะ ข้าไปซื้อสิ่งนี้มาจากหลิงเฉิงและเก็บไว้อยู่ที่หอการค้าชิงเฟิง ขอท่านจงรับมันไว้แทนคำยินดีจากหอการค้า ชิงเฟิงของข้าเนื่องในโอกาสที่ท่านได้เลื่อนขั้นเป็นเทพยุทธ์แล้วด้วยเถิดเจ้าค่ะ!”
เฟิงเซียนซียื่นถุงบรรจุใบชาจิตวิญญาณให้แก่เย่เย่ พร้อมทั้งเอ่ยแสดงความยินดีด้วยความเคารพ
หลังจากที่หลินหยูฉีได้ยินดังนั้น นางก็ตกใจขึ้นมาทันที แววตาของนางนั้นแสดงออกถึงความอิจฉาอย่างเห็นได้ชัด
นั่นก็เพราะว่าชาจิตวิญญาณมรกตนั้น ไม่เพียงแต่มีรสชาติที่สดใหม่แต่เพียงเท่านั้น แต่มันยังอุดมไปด้วยพลังของโลกและสวรรค์ที่ไหลเวียนอยู่ในนั้นด้วย
การได้ดื่มชาชนิดนี้เป็นเวลานานจะสามารถช่วยเพิ่มระดับพลังของวรยุทธ์ภายในกายได้อย่างช้าๆ นั่นจึงทำให้ในบางครั้งราคาของใบชาชนิดนี้มันถึงได้สูงกว่ายาวิเศษบางตัวเสียอีก แม้แต่เหล่าศิษย์แห่งอารามจ้าววรยุทธ์เองยังถือเป็นของหรูหราเลย
ความใจกว้างระดับที่สามารถยกใบชาที่แสนล้ำค่านี้ให้ได้ มันแสดงให้เห็นชัดเจนว่าเย่เย่มีคุณค่าต่อจิตใจของเฟิงเซียนซีขนาดไหน ทว่าหลังจากที่ได้สังเกตท่าทีของเฟิงเซียนซีที่มีต่อเย่เย่แล้ว ดูเหมือนว่าหลินหยูฉีจะพบแล้วว่าสิ่งที่นางคิดนั้นผิด
“ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลยแล้วข้าจะมารับของตอบแทนอะไรล่ะ? ข้ารับไว้ไม่ได้หรอก โดยเฉพาะสิ่งที่ดูจะเลอค่ามากขนาดนี้ด้วย!”
เย่เย่เองก็รู้ถึงกิตติมศักดิ์ของใบชาจิตวิญญาณมรกตเหล่านี้ กระนั้นเขาเองก็ไม่ได้อยากจะเป็นหนี้เฟิงเซียนซีมากเกินไป ดังนั้นเขาจึงรีบยื่นห่อใบชาจิตวิญญาณมรกตนี้คืนเจ้าของอย่างไม่ลังเลเลย
เฟิงเซียนซีมองเย่เย่ที่แสดงท่าทีปฏิเสธอย่างรวดเร็วราวกับเขาไม่อยากจะข้องเกี่ยวกับหอการค้าชิงเฟิงมากนักแล้วมันก็ทำให้ตัวนางเองรู้สึกเศร้าอยู่ลึกๆ ทว่านางก็ยังยืนยันที่จะมองใบชาจิตวิญญาณมรกตห่อนี้ให้เย่เย่อยู่ดี และในคราวนี้นางก็ยิ้มน้อยๆก่อนจะพูดเหตุผลอื่นขึ้นมาแทน “ท่านเป็นแขกสุดวิเศษของหอการค้าชิงเฟิง ซึ่งนี่เป็นหน้าที่ของพวกเราที่ปฏิบัติต่อแขกสุดวิเศษของพวกเรามาตลอดอยู่แล้ว ดังนั้นของให้ท่านอย่าปฏิเสธพวกเราเลยนะเจ้าคะ!”
เมื่อนางดึงดันขนาดนี้แล้ว เย่เย่ก็เห็นทีว่าพูดไปก็คงไร้ประโยชน์ หลังจากขอบคุณแบบขอไปทีแล้วเขาจึงรีบให้เสี่ยวหยูเก็บใบชาจิตวิญญาณมรกตห่อนี้ไปทันที
ยามที่ได้ยินเฟิงเซียนซีเอ่ยเช่นนั้น หลินหยูฉีก็ตกใจมากขึ้นไปอีก นั่นเพราะว่าตัวนางนั้นเข้าใจเกี่ยวกับคำว่า แขกสุดพิเศษ นี้เป็นอย่างดี
ในปัจจุบัน มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่มีเกียรติระดับที่จะได้เป็นแขกสุดพิเศษแห่งหอการค้าชิงเฟิง ซึ่งนั่นคือท่านผู้ปกครองแห่ง 1 อารามและ 3 สำนัก หลินหยูฉีไม่เคยคาดคิดเลยว่าเย่เย่เองก็จะได้รับสิทธิ์พิเศษนี้ด้วยเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้น ท่าทีที่เฟิงเซียนซีปฏิบัติต่อเย่เย่นั้นมันไม่ได้ดูออกยากเสียเท่าไหร่ว่านางไม่ได้ให้สิทธิ์พิเศษดังกล่าวนี้ด้วยความหลงใหลในตัวเย่เย่ แต่นางมอบสิทธิ์นี้ให้เพราะมันเหมาะสมกับเย่เย่จริงๆ!
การคาดคะเนก่อนหน้าของหลินหยูฉีนั้นผิดทั้งหมด มันไม่ใช่ฝีมือของเฟิงเซียนซีที่ทำให้เย่เย่มาจนถึงจุดนี้ได้ และไม่ใช่ เย่เย่ที่พยายามตีตัวเข้าหาเฟิงเซียนซี กลับกันมันดันเป็นฝ่าย เฟิงเซียนซีเองที่พยายามตีตัวเข้าหาเย่เย่และเคารพเย่เย่ประดุจผูุ้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง
“นั่นท่านหญิงหลินหยูฉีจากอารามเจ้าวรยุทธ์ไม่ใช่หรือ? ถ้าข้าจำไม่ผิดเหมือนท่านจะตัดความสัมพันธ์โดยเด็ดขาดกับตระกูลเย่ไปแล้วนี่? แล้วนี้พอเห็นว่าท่านเย่กลับมายิ่งใหญ่แล้วก็เลยคิดจะกลับเข้ามาในตระกูลงั้นหรือ? ช่างหน้าไม่อายเสียจริง”
ทันทีที่นางเหลือบไปมองเห็นหลินหยูฉี เฟิงเซียนซีก็ผลิยิ้มออกมาบนใบหน้า แต่น้ำเสียงที่พูดนั้นกลับเปี่ยมไปด้วยความประชดประชันโดยไม่ตั้งใจจะปกปิดแต่อย่างใด
“ฮึ่ม! ใครกันแน่ที่หน้าไม่อาย!”
หลินหยูฉีพ่นลมหายใจอย่างหยิ่งผยองก่อนจะรีบเดินออกจากบ้านตระกูลเย่ไปโดยไม่พูดอะไรต่ออีกเลย
ในตอนนี้ความบาดหมางระหว่างหลินหยูฉีและเย่เย่ดูท่าจะปกปิดไว้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว สิ่งเดียวที่ทำให้ทั้งสองยังไม่ตีรันฟันแทงกันนั้นก็เพราะความเป็นมนุษยธรรมที่ยังค้ำจุนจิตใจนั่นแหละ
เย่เย่เหลียวมองหลินหยูฉีที่เดินจากไป ขณะเดียวกันเจตจำนงที่จะต้องฆ่านางให้ได้ก็แข็งกร้าวขึ้นไปอีก นางผู้นี้ไม่เพียงแต่ชอบเก็บเรื่องต่างๆฝังลึกลงใจแล้วยังเป็นพวกที่โลกแคบอีกด้วย หากเขายังเก็บนางไว้ บางทีในอนาคตนางอาจจะเป็นหายนะแก่ตัวเขาเองก็ได้
แต่ตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลานั้นหรอก ดังนั้นแล้วเย่เย่จึงยังไม่ได้จัดการนางเสียที หลังจากที่หลินหยูฉีออกไปแล้ว เขาก็หันกลับมาให้ความสนใจกับเฟิงเซียนซีและพูดคุยกับนางต่อในห้องรับแขกนั้น
จุดประสงค์ที่เฟิงเซียนซีมาที่นี่ด้วยตัวนางเองนั้นไม่ใช่เพียงแค่มอบของตอบแทนให้เขาเพียงอย่างเดียว นางต้องการที่จะเสริมสร้างความร่วมมือกันทางธุรกิจระหว่างเย่เย่และหอการค้าชิงเฟิงให้แน่นแฟ้นขึ้นอีกด้วย ทว่าตั้งแต่ที่เย่เย่กลับมาจากหลิงเฉิง ความคิดที่อยากจะเปิดหอการค้าของตนเองภายในหลิงเฉิงมันก็ค่อยๆก่อตัวขึ้นมา ดังนั้นแล้วเขาจึงปฏิเสธนางไปด้วยความสุภาพ
ในอนาคตนั้น เย่เย่อาจจะต้องยุ่งเกี่ยวกับหอการค้าอีกหลายต่อหลายครั้ง ดังนั้นแล้วถ้าหากเขานำของจากในระบบแลกเปลี่ยนครอบจักรวาลไปขายที่หอการค้าบ่อยๆ บางทีมันอาจจะนำปัญหามาให้เขาในอนาคตสักวันหนึ่งก็ได้ เพราะฉะนั้นเพื่อที่จะลดอัตราที่ปัญหาต่างๆจะเกิดขึ้น หลักๆคือการถูกจำหน้าได้ เย่เย่จึงรู้สึกว่าเขานั้นจำเป็นที่จะต้องเปิดหอการค้าด้วยตนเองเสียที
แม้ว่าเฟิงเซียนซีจะรู้สึกผิดหวังแค่ไหน แต่นางก็ไม่สามารถรบเร้าให้เย่เย่ทำงานร่วมกับนางได้ ครั้นจะฆ่าเย่เย่ทิ้งแล้วชิงเอาของดีมาให้หมดก็ทำไม่ได้อีกเพราะจากการที่เข้าใจว่าเบื้องหลังเย่เย่นั้นมีคนใหญ่คนโตคอยหนุนหลังอยู่ มันทำให้นางทำได้เพียงแสดงความปรารถนาดีและกลับไปจากที่แห่งนี้ ไม่กล้าที่จะมีความคิดอื่นผุดแทรกขึ้นมา
เย่เย่เดินไปส่งเฟิงเซียนซีก่อนจะกลับไปฝึกฝนวรยุทธ์ของเขาต่ออีกครั้ง เขาไม่ได้สนใจเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่มากมายนัก ในช่วงที่เขายังต้องวนเวียนกับการกลั่นพลังของยาวรยุทธ์ที่เติบใหญ่เรื่อยๆนี้ มันทำให้ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นอยางรวดเร็ว
ขณะเดียวกันทางด้านของหลินหยูฉีที่เพิ่งจะโยนสิ่งที่นางคาดเดาไว้ก่อนหน้าทิ้งไปก็ไม่ได้นิ่งนอนใจเสียทีเดียว นางกลับมาอยู่ในห้วงของความยุ่งเหยิงอีกครั้งเมื่อเหตุผลที่เคยน่าเชื่อถือที่สุดอย่างการที่ หอการค้าชิงเฟิงให้การสนับสนุนเย่เย่ นั้นไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง ความรู้สึกภายในของนางนั้น เหมือนจะกำลังบอกว่า นางจำเป็นต้องออกไปตามหาเหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้เย่เย่เก่งกาจขึ้นขนาดนี้ด้วยตัวนางเองแล้ว
นั่นเพราะนางไม่สามารถนั่งพรรณนาหาเหตุผลที่เหมาะสมได้ ในท้ายสุดสิ่งที่นางเคยคิดไว้เมื่อนานมาแล้วมันก็วกกลับมาในหัวอีกครั้ง นั่นคือ เย่เย่ในตอนนี้คือตำนานที่กลับชาติมาเกิดใหม่
เนื่องจากก่อนหน้านี้เย่เย่ไม่มีวี่แววว่าจะมาถึงระดับนี้ได้เลย คนอื่นๆเองก็คิดเหมือนกับนาง ว่าเย่เย่ไม่น่าจะเป็นได้แม้กระทั่งจ้าววรยุทธ์ด้วยซ้ำไป
“ฮึ่ม! ไม่ว่าหมอนี่จะเป็นตำนานที่กลับชาติมาเกิดใหม่จริงๆหรือไม่ แต่ตราบใดที่ยังทำตัวน่าสงสัยแบบนี้มันก็สมควรแล้วที่จะมีปัญหาให้ต้องเหนื่อยใจอยู่ตลอดนั่นแหละ!”
หลังจากที่สลัดความลังเลใจและสรุปแล้วว่าเย่เย่คือตำนานที่กลับชาติมาเกิดใหม่ แววตาของหลินหยูฉีก็เปล่งแสงแห่งความดุร้ายออกมาทันที
จังหวะเดียวกันนั้นเอง ทางฝั่งหม่าเฉิงและเฉินหนานผู้ที่ถูกเชิญมายังงานพบปะจ้าววรยุทธ์ประจำตระกูลเย่เมื่อไม่กี่วันก่อน ในวันนี้เขาก็ได้เข้าไปยังสถานที่พักอาศัยของผู้เฒ่าสูงสุดแห่งอารามจ้าววรยุทธ์พร้อมๆกัน พวกเขานั้นเตรียมเครื่องบรรณาการที่มีค่ามากมายมาด้วย โดยหวังว่าอารามจ้าววรยุทธ์แห่งนี้จะยอมให้พวกเขาจัดการกับตระกูลแย่และเย่เย่ได้
หากเทียบกันกับพวกคนธรรมดาแล้ว ทั้ง 3 ตระกูลใหญ่แห่งเฟิงเจิ้นนี้ล้วนแต่ยิ่งใหญ่เทียบเท่าเหล่าคนของอารามจ้าววรยุทธ์ ทว่าเมื่อเทียบกับเหล่า 1 อาราม 3 สำนักแล้ว พวกเขาไม่มีค่าอะไรให้เอ่ยถึงเลย และเพราะเย่เย่นั้นได้ผ่านการทดสอบของอารามจ้าววรยุทธ์แล้ว ดังนั้นหากจะทำอะไรกับเย่เย่ พวกเขาก็จะต้องมาขอความยินยอมจากอารามจ้าววรยุทธ์ก่อนเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องในภายหลัง
โชคยังดีที่เย่เย่นั้นเป็นเพียงผู้สมัครเข้าเป็นศิษย์ของอารามจ้าววรยุทธ์เท่านั้น แถมเขายังมีปัญหาขัดแย้งกับหลี่เฉียนผู้เป็นศิษย์ของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งอารามจ้าววรยุทธ์อย่างอู๋เทียนอีก ด้วยเหตุนี้หม่าเฉิงและเฉินหนานจึงคิดว่า พวกเขายังพอมีโอกาสที่จะเอาชนะตระกูลเย่ได้ เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงต้องนำเรื่องนี้มาคุยกับอู๋เทียนด้วยตัวพวกเขาเอง
อู๋เทียนนั้นคือชายอายุราว 50 ปีที่นอนตะแคงอยู่บนที่นอนของตนเอง แต่ถึงแม้ว่าอายุของเขาจะมากกว่าหม่าเฉิงและเฉินหนานก็จริง กระนั้นเขากลับดูกระปรี้กระเปร่ากว่าทั้งสองคนนี้เป็นอย่างมากเพราะการฝึกฝนอย่างเต็มที่ของเขา
อู๋เทียนนั้นเหลือบมองไปยังเครื่องบรรณาการที่ทั้งสองคนนำมาด้วย จากนั้นก็ฟังแผนการที่เตรียมไว้จัดการเย่เย่จนจบและไม่แสดงท่าทีอะไรออกมาทั้งสิ้น
สิ่งนี้มันทำให้ทั้งหม่าเฉิงและเฉินหนานต่างพากันวิตกกังวล พวกเขาคิดว่าบางทีอู๋เทียนอาจจะไม่ชอบของบรรณาการที่พวกเขานำมานี้ก็ได้ ดังนั้นแล้วหัวใจของพวกเขาจึงเต้นแรงราวกับกลองที่รัวสนั่นอยู่ตลอดเวลา ครั้นอยากจะได้ของที่มีค่ากว่านี้ การเงินของพวกเขาก็ไม่ได้อู้ฟู่ขนาดนั้น หรือถ้าจะให้เอาเป็นกล่องที่เต็มไปด้วยตั๋วทอง บางทีพวกเขาอาจจะสูญเสียทุกอย่างตั้งแต่แบกมันเข้ามาเลยก็ได้ ด้วยเหตุนี้ เครื่องบรรณาการชิ้นนี้จึงเป็นสิ่งเดียวที่มีค่าที่สุดแล้วในตอนนี้
“ท่านผู้อาวุโส ถึงแม้ว่าเย่เย่นั้นจะผ่านการทดสอบของอารามจ้าววรยุทธ์แล้วก็จริง แต่เขานั้นยังไม่ใช่ศิษย์อย่างเป็นทางการของที่นี่ อีกทั้งเขายังอาจหาญและบ้าบิ่นขนาดไปทำร้ายศิษย์ของท่านอย่าง หลี่เฉียน โดยไม่เห็นแก่หน้าท่านเลยด้วย! ข้าคิดว่านี่เป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะต้องจัดการสั่งสอนบทเรียนให้เย่เย่นั้นไม่ลืมสิ่งนี้ไปตลอดชีวิต ทั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้เป็นการเสื่อมเสียเกียรติของพวกเราเองทั้ง 3 ตระกูลด้วย!”
หม่าเฉิงนั้นกัดฟันแน่นและระดมความกล้าทั้งหมดมาเพื่อโน้มน้าวอู๋เทียนอีกครั้ง เขาพยายามจะขอคำยินยอมในการจัดการกับเย่เย่ให้ได้ หากอู๋เทียนยังคงไม่พูดอะไรเช่นนี้แล้วพวกเขาลงมือกับเย่เย่ไปก่อน บางทีทั้งตระกูลหม่าและตระกูลเฉินอาจจะถูกทำลายหมดเลยก็ได้
การที่ตระกูลเย่นั่นมีรากฐานที่หนาแน่นที่สุดท่ามกลางทั้ง 3 ตระกูลนั้น มันทำให้ตระกูลหม่าและตระกูลเฉินจำเป็นต้องร่วมมือกันเพื่อคอยข่มตระกูลเย่ไว้ แต่เดิมทั้งสองตระกูลวางแผนทำให้เย่เย่เป็นคนแพ้จนไร้ความสามารถไปเลย เพื่อให้ไม่สามารถสืบทอดตระกูลเย่ให้ยิ่งใหญ่สืบต่อได้ จากนั้นพวกเขาก็จะได้แบ่งตระกูลเย่กันไปเป็นส่วนๆหลังจากที่ตระกูลเย่นั้นล่มสลายแล้ว
ด้วยปณิธานเดียวกัน เฉินหนานจึงรวบรวมความกล้าแล้วพยายามโน้มน้าวอู๋เทียนด้วยอีกคน เพื่อให้อู๋เทียนเห็นว่าพวกเขามีความแน่วแน่ขนาดไหน พวกเขาจะต้องขัดขวางไม่ให้ตระกูลเย่สามารถเติบโตอย่างสมบูรณ์ได้ ไม่งั้นแล้วเฟิงเจิ้นจะไม่มี 3 ตระกูลใหญ่เหมือนแต่ก่อน มันจะกลายเป็น 1 ตระกูลที่ใหญ่ที่สุดไปแทน และเมื่อเวลานั้นมาถึง การจะรักษาไว้ซึ่งตระกูลของตนมันคงจะนำพามาซึ่งงานที่ยุ่งเหยิงให้พวกเขาแน่ๆ
“สิ่งที่พวกเจ้าต้องการจะทำ ข้านั้นเห็นแจ้งทั้งหมด และในเมื่อเย่เย่นั้นยังไม่ใช่ศิษย์ของอารามจ้าววรยุทธ์แห่งนี้อย่างเป็นทางการ ข้าเองก็คงจะยื่นมือเข้าไปยุ่งอะไรไม่ได้ กระนั้นแล้วข้าคงได้แค่แนะนำบางสิ่งบางอย่างเล็กๆน้อยๆ นั่นคือ เจ้าหาวิธีทำให้เขาได้พบเจอกับช่วงเวลาดีๆแล้วหายไปตลอดกาลเสียดีกว่าที่จะทำให้เขาต้องถูกทิ้งไว้บนโลกใบนี้ไปตลอดชีวิตและถูกเยาะเย้ยโดยคนอื่น”
ชั่วเวลาหนึ่งที่ความเงียบเข้าปกคลุม ในที่สุดอู๋เทียนก็เอ่ยออกมาด้วยเสียงอ่อนโยน อย่างไรก็ตาม ในทันทีที่เสียงนั้นเงียบลงอีกครั้ง หม่าเฉิงและเฉินหนานต่างก็รู้สึกได้ถึงความเสียวสันหลังขึ้นมา พวกเขาคิดว่าพวกผู้อาวุโสของอารามจ้าววรยุทธ์นั้นน่าจะเป็นพวกคนแก่ที่เก่งกาจเฉยๆ แต่พอได้มาพบอู๋เทียน พวกเขาจึงตระหนักได้ว่า อู๋เทียนนั้นเหี้ยมโหดกว่าที่พวกเขาคิดเยอะ
อย่างไรก็ตาม หม่าเฉิงและเฉินหนานต่างไม่ได้พูดในสิ่งที่คิดไว้เมื่อครู่ออกไปแต่อย่างใด หลังจากที่ทั้งสองได้รับคำยินยอมจากอู๋เทียนแล้ว พวกเขาก็ดูจะมีความสุขกันเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกันก็รีบโค้งหัวทำความเคารพอู๋เทียนไปด้วย “ท่านผู้อาวุโส! พวกเราจะนำคำแนะนำของท่านไปใช้อย่างแน่นอน! เราจะทำให้เย่เย่หายไปจากโลกนี้ให้ได้!”