เมื่อคิดได้ดังนั้น เย่เย่ก็เริ่มมองการณ์ไกล เมื่อเขาได้ยิน หลี่เฉียนเพิ่มราคาไปถึง 120,000 เหรียญทอง ซึ่งตอนนั้นทั่วทั้งโถงประมูลก็เงียบลงพอดี เย่เย่ก็ถือโอกาสเสนอราคาต่อไปในทันที
“130,000 เหรียญทอง”
หลังจากที่เสียงของเย่เย่เงียบลง ทุกสายตาภายในโถงประมูลก็หันมาจับจ้องยังเย่เย่ สีหน้าของคนเหล่านั้นเต็มไปด้วยความตกใจรวมถึงบางคนก็เริ่มสงสัยแล้วว่าเย่เย่คือหน้าม้าที่มาปั่นราคาในการประมูลแต่ละรอบหรือเปล่า
เพราะเมื่อตอนที่เย่เย่และเย่หูประมูลแย่งยาควบแน่นจิตวิญญาณกัน เย่เย่ก็ยอมแพ้แพ้ไปเสียก่อนเพราะเย่หูที่เสนอราคาที่มากเกินเอื้อมของใครหลาย ๆ คน แต่คราวนี้เย่เย่กลับไม่ลังเลที่จะเสนอราคามาถึง 130,000 เหรียญทองเลยเนี่ยนะ?
“เย่เย่! ถ้าหากเจ้าไม่มีเงินเจ้าก็อย่ามาปั่นราคาแบบนี้! คนที่เป็นจ้าววรยุทธ์มือใหม่อย่างเจ้า จะเอาเงิน 130,000 เหรียญทองมาจากไหน!”
ทันทีที่เห็นว่าคนที่เสนอราคาเพิ่มนั้นเป็นเย่เย่ แววตาที่คอยแต่จะเหยียดหยามก็กลับมาทันทีและเขาไม่เพียงแค่มองเงียบๆหากแต่พูดด้วยน้ำเสียงก้าวร้าวอีกด้วย
“ข้าจะมีเงินหรือไม่มีมันเป็นปัญหาอะไรกับเจ้าน่ะ? ถ้าไม่มีปัญญาที่จะต่อราคาก็แค่ยอมแพ้ไป อย่างน้อยๆก็จะได้ไม่ขายขี้หน้าไง”
เย่เย่หันไปมองหลี่เฉียนช้าๆและตอบกลับด้วยความไม่ยำเกรงใดๆทั้งสิ้น
เรื่องนี้แม้แต่เย่หูเองยังรู้สึกประหลาดใจและไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเย่เย่เอาเงินมากมายขนาดนี้มาจากไหน
อย่างที่เย่เย่พูดไปแล้ว ไม่ว่าใครจะคิดอะไรเกี่ยวกับการเงินของเขา แต่การที่จะได้โสมราชานี่ไปนั้นจะต้องเป็นผู้ที่ให้ราคาสูงสุดในการประมูลนี้เท่านั้น ดังนั้นแล้วไม่ว่าเย่เย่จะมีเงินถึง 130,000 เหรียญทองหรือไม่ก็ตาม ยังไงซะปัญหามันก็เป็นของหอการค้าชิงเฟิงกับเย่เย่อยู่ดี คนนอกก็ได้แค่คิด
เหตุผลที่เย่เย่กล้าที่จะเพิ่มราคาในระดับที่สูงเช่นนั้นไม่ใช่เพราะเขามีทุนทรัพย์มากมายก่ายกอง แต่เพราะเขาสามารถแลกเอาสิ่งของจากในระบบแลกเปลี่ยนครอบจักรวาลมาได้เพื่อใช้แทนมูลค่าของโสมราชานี่ต่างหาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ได้เงินประมูลยาควบแน่นจิตวิญญาณนั้นไปแล้ว เขาจะมีเงินอีกมากพอที่จะแลกยาหรืออาวุธวิเศษออกมาได้ เพราะฉะนั้นแล้วการที่จะหาของมาแลกแทนมูลค่าของโสมราชาอ่อนนี่คงไม่ใช่เรื่องยากอะไรนัก
หากเป็นเย่เย่ก่อนหน้านี้ เขาคงไม่กล้าที่จะใช้ระบบแลกเปลี่ยนเอาของวิเศษออกมาให้กับคนอื่นแบบนี้ แต่เพราะ เฟิงเซียนซีนั้นเข้าใจผิดไปว่าเขามีคนใหญ่คนโตคอยหนุนหลังอยู่ ดังนั้นแล้วต่อให้เขาเอาอะไรที่มันพิสดารออกมาให้ มันก็จะไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจอีกต่อไป
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเข้าใจถึงหลักประกันแห่งความมั่งคั่งอีกด้วย นั่นคือถ้ามีโอกาสให้รีบคว้าเอาไว้ ด้วยเหตุนี้ โอกาสมาถึงแล้ว เขาจะไม่พลาดมันไปแน่ๆ!
“ฺฮึ่ม! ใครกันแน่ที่จะต้องขายหน้า! ให้คนจากหอการค้าชิงเฟิงตรวจสอบทรัพย์สินของข้ากับเจ้าตอนนี้เลยก็ได้! ถึงข้าจะไม่ได้เป็นคนตรวจเอง แต่ข้าก็รู้ดีว่าหอการค้าชิงเฟิงน่ะมีสิทธิ์ในการตรวจสอบทุนทรัพย์ของผู้ร่วมประมูลทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่สงบที่อาจจะเกิดขึ้นในภายหลังอยู่แล้ว! ข้าพูดถูกใช่หรือเปล่าแม่นางเฟิงเซียนซี?”
หลี่เฉียนนั้นมั่นใจว่าเย่เย่ต้องกำลังแสร้งอวดเบ่งอยู่แน่ๆ เพราะงั้นเขาจึงหวังว่าเย่เย่นั้นจะอวดเบ่งจริงๆ ซึ่งมันจะทำให้เย่เย่ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะประมูลต่อได้ และเฟิงเซียนซีจะต้องรับปัญหาหนักหากปล่อยเป็นแบบนี้ เป็นไปได้ก็อยากจะให้ถอนใบอนุญาตในการเข้ามาที่หอการค้าชิงเฟิงนี่ของเย่เย่ไปเลย
“ไม่ต้องตรวจสอบอะไรทั้งนั้น ข้าเชื่อในท่านเย่ เอาล่ะ ในเมื่อการประมูลยังคงดำเนินอยู่ มีใครให้ราคาโสมราชาสูงกว่า 130,000 เหรียญทองหรือเปล่า? ถ้าไม่มีข้าจะสรุปแล้วนะว่าโสมราชาตกเป็นของท่านเย่”
ก่อนหน้านี้เฟิงเซียนซีเองก็ตกใจกับราคาที่เย่เย่เสนอเหมือนกัน นางไม่คาดคิดเลยว่าเย่เย่จะสนใจในโสมราชานี้ด้วย อย่างไรก็ตาม เพราะว่านางนั้นเข้าใจผิดไปถึงตัวตนของเย่เย่ ดังนั้นนางเลยไม่สงสัยถึงทุนทรัพย์ที่เย่เย่มีแต่อย่างใด แถมยังแสดงท่าทีดีอกดีใจที่มีผู้ร่วมประมูลเพิ่มด้วยเสียอีก
“ว-ว่ายังไงนะ?!”
หลี่เฉียนนั้นคิดว่าเฟิงเซียนซีจะส่งใครสักคนเข้ามาตรวจสอบและยกเลิกคุณสมบัติในการประมูลของเย่เย่ไป แต่เขาไม่คิดเลยว่าเฟิงเซียนซีผู้นี้จะไม่แม้แต่สงสัยเย่เย่แม้แต่นิดเดียว เรื่องที่เกิดขึ้นนี่มันทำให้เขาคาดการณ์ไม่ได้แล้วว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น
ไม่เพียงแต่หลี่เฉียนเท่านั้น เพราะแม้แต่คนอื่นๆในโถงประมูลยังรู้สึกเหลือเชื่อเมื่อเห็นท่าทีของเฟิงเชียนชีเป็นเช่นนี้
ในสายตาของพวกเขา ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่รู้สึกเลยว่าเย่เย่นั้นเป็นผู้มีเงินมากมายก่ายกองขนาดที่ให้เฟิงเซียนซีเชื่อแบบหัวปักหัวปำขนาดนี้
สีหน้าของหลี่เฉียนซีดเผือดลงไปเยอะ กระนั้นเขาก็ยังไม่ยอมแพ้เย่เย่ สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้ก็มีแต่ดำเนินการประมูลต่อไปเท่านั้น
“135,000!”
“140,000!”
“141,000!”
“150,000!!”
แม้ในตอนเริ่มต้นจะมีจ้าววรยุทธ์หลายคนต่างปั่นราคาเพื่อแย่งชิงโสมราชานี่กัน แต่ในท้ายสุดแล้วก็เหลือเพียงเย่เย่และหลี่เฉียนเท่านั้นที่ยังคงเสนอราคากันอยู่เรื่อยๆ
ทั้งสองต่างไม่ยอมแพ้ซึ่งกันและกันจนกระทั่งราคาของโสมราชานี่พุ่งขึ้นไปสูงถึง 160,000 เหรียญทองแล้ว ราคานี้นั้นถือเป็นราคาที่สูงที่สุด ณ ตอนนี้เลย
“เย่เย่! เจ้ามันโหดร้าย! ข้าจะจำเรื่องในวันนี้เอาไว้!”
ท้ายที่สุด หลี่เฉียนก็ต้องยอมแพ้ในการประมูลไปหลังจากที่ดิ้นรนต่อไปไม่ไหวและรีบออกจากโถงประมูลไปอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าชอกช้ำใจ
“ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ข้าจะขอประกาศให้ทุกท่านทราบอย่างเป็นทางการ ว่าโสมราชาต้นนี้ตกเป็นของท่านเย่ในราคา 160,000 เหรียญทอง! ยินดีกับท่านเย่ด้วยเจ้าค่ะ!”
เฟิงเซียนซีกล่าวด้วยความดีใจพร้อมกับส่งมอบโสมราชาให้แก่เย่เย่ด้วยมือตนเอง ซึ่งภาพนี้สร้างความอิจฉาให้แก่คนที่อยู่ในโถงประมูลนี้ถ้วนหน้ากันหมด มีเพียงเย่หูเท่านั้นที่มองด้วยแววตาสงสัยก่อนจะหันหน้าออกแล้วเดินจากไป ดูเหมือนว่านอกจากการฝึกฝนแล้วเขาจะไม่ได้ใส่ใจอย่างอื่นเลยจริงๆ
เย่เย่ตามเฟิงเซียนซีไปยังห้องชั้น 2 แต่ก่อนที่นางจะได้พูดอะไรเย่เย่ก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน “หากเจ้าไม่คิดมาก ข้าอยากจะขอแลกสมบัติบางชิ้นของข้าให้เท่ากับราคาของโสมราชานี่ได้หรือไม่? แบบว่าเงินข้าขาดมือน่ะช่วงนี้ นี่ตอนแรกก็หวังจะมารับเงิน 100,000 เหรียญทองจากประมูลยาควบแน่นจิตวิญญาณที่หอการค้าชิงเฟิงเพียวๆเลย ข้าเลยไม่ได้พกเงินมา”
“ข้าไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว! จริงๆต่อให้ท่านเย่ไม่บอกข้า ข้าก็พอจะเดาได้อยู่ ส่วนเรื่องเงิน 100,000 เหรียญทองนั่นข้าก็เตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้วด้วย”
นางยิ้มหวานก่อนจะหยิบตั๋วทองมูลค่าใบละ 10,000 เหรียญทองออกมา 10 ใบและยื่นมันให้แก่เย่เย่ ในขณะเดียวกันนางก็พยักหน้าเข้าใจสถานการณ์ทางฝั่งเย่เย่ด้วย
ถึงแม้ว่านางจะรู้ว่าเบื้องหลังเย่เย่นั้นมีผู้ยิ่งใหญ่คอยหนุนหลังอยู่ แต่กระนั้นแล้วเฟิงเซียนซีก็แอบพัฒนาความสัมพันธ์กับเย่เย่อยู่เรื่อยๆ ซึ่งรวมไปถึงหากเมื่อไหร่ที่เย่เย่เงินขาด นางเองก็พร้อมที่จะมอบเงินทองมากมายให้แก่เขา ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการล่อให้เย่เย่ย้อนกลับมายังหอการค้าชิงเฟิงเพื่อขายยาวิเศษรวมถึงสิ่งวิเศษต่างๆให้นางเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าเย่เย่จะไม่ได้จ่ายเงินให้นางด้วยเหรียญทอง แต่ของที่นำมาแลกนั้นจะต้องเป็นสิ่งดีๆแน่ๆ เช่นนั้นแล้วเฟิงเซียนซีจึงหวังเป็นอย่างมากได้จะได้เห็นสิ่งเหล่านั้นด้วยตาตนเอง สิ่งของที่สามารถแลกกับโสมราชาได้อย่างเท่าเทียม
“งั้นข้าขออีกอย่างสิ แม่นางเฟิงเซียนซี ข้าอยากได้กระดาษกับพู่กันสักหน่อย เดี๋ยวข้าจะเขียนวิชาวรยุทธ์ที่ข้าพอจะจำได้ออกมาสักนิดหน่อย”
เย่เย่รับตั๋วทองนั้นมาและพยักหน้า หลังจากที่ได้ปากกาและพู่กันมาแล้วเขาก็ขอให้เฟิงเซียนซีออกไปก่อนเพื่อขอเวลาส่วนตัวอยู่ในห้องนี้
แน่นอนว่าเขาไม่ได้จะเขียนกระบวนท่าอะไรทั้งนั้น ทันทีที่ไม่มีใครอยู่ในห้องแล้ว เขาก็หยิบเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาด้วยความไม่ลังเลทันที จากนั้นก็เปิดระบบแลกเปลี่ยนครอบจักรวาลเพื่อที่จะสแกนตั๋วทองเหล่านี้เข้าระบบไป
‘ตรวจพบตั๋วทอง 10,000 เหรียญทองจำนวน 10 ใบ ต้องการจะแลกเปลี่ยนหรือเปล่า?’
“แน่นอน”
หลังจากที่ยืนยันแล้ว ระบบก็แปรสภาพตั๋วทองเหล่านั้นให้กลายเป็นเหรียญจักรวาลจำนวน 1,170 เหรียญทันที
นี่มันก็ยังต่างกับครั้งนั้นอีก เพราะระบบไม่ได้ให้ของตอบแทนอะไรกับเขา แต่เย่เย่เองก็ไม่ได้เรียกร้องอะไร เขารีบค้นหาสิ่งของในหมวดทักษะและอาวุธทันทีเพื่อจะได้หาของที่เหมาะสมกับการแลกเปลี่ยนออกมา
“ทักษะงูสวรรค์! ทักษะขั้นสูงของผู้ที่มีจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ประเภทอสรพิษ เหมาะจ้าววรยุทธ์ ราคา 300 เหรียญจักรวาล!”
“ฝ่ามือคลื่นพิโรธ! กระบวนท่าธาตุน้ำระดับสูง เหมาะสำหรับจ้าววรยุทธ์ ราคา 300 เหรียญจักรวาล!”
“ระฆังสูบวิญญาณ! อาวุธโจมตีแกนวิญญาณ เหมาะสำหรับจ้าววรยุทธ์ ราคา 250 เหรียญจักรวาล!”
เมื่อเลือกได้แล้วว่าจะแลกเปลี่ยนอะไรบ้าง เย่เย่ก็ไม่รีรอที่จะจ่าย 1,150 เหรียญจักรวาลเพื่อแลกกับทักษะ กระบวนท่าและอาวุธวิเศษนี้ทันที ท่ามกลางของ 3 สิ่งนี้มี กระบวนท่างูสวรรค์และฝ่ามือคลื่นพิโรธที่เขาจำเป็นต้องคัดลอกมันลงกระดาษด้วยมือเพื่อนำมันไปมอบให้เฟิงเซียนซี
ถึงแม้ว่าจะใช้จ่ายเสร็จแล้วจะทำให้เย่เย่เหลือเหรียญจักรวาลอยู่แค่ 320 เหรียญก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้น ทั้ง 3 สิ่งนี้ก็น่าจะช่วยชดใช้ให้นางได้บ้าง
มิเช่นนั้นแล้วเขาอาจจะออกจากหอการค้าชิงเฟิงแห่งนี้ไม่ได้แน่ๆ…
เย่เย่รีบคัดลอกทักษะและกระบวนท่าทั้งสองนั้นลงกระดาษก่อนจะให้เฟิงเซียนซีเข้ามาเพื่อตรวจสอบมูลค่าของสิ่งของทั้ง 3 สิ่งนี้ ยามที่นางได้เข้ามาตรวจสอบกระดาษที่เขียนถึงวิธีการของทักษะงูสวรรค์กับฝ่ามือคลื่นพิโรธไว้ มันถึงกับทำให้เฟิงเซียนซีต้องดูทั้งสองสิ่งนี้ซ้ำๆด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เช่นเดียวกันกับระฆังสูบวิญญาณที่ดูเหมือนจะไม่ทำให้นางผิดหวังแต่อย่างใด นั่นแสดงว่าทั้งสามสิ่งนี้น่าจะใช้แทนค่าใช้จ่ายในหอการค้าชิงเฟิงแห่งนี้ได้แน่ๆ
“ท่านเย่เจ้าคะ ของทั้งสามสิ่งนี้มีมูลค่าค่อนข้างสูงมากๆเลยทีเดียว ข้าประหลาดใจนักว่าทำไมท่านไม่นำสิ่งเหล่านี้ไปประมูลแทน เพราะดูแล้วข้าว่ามันน่าจะทำให้ท่านได้เงินไปมากกว่าที่ท่านได้อยู่เสียอีกนะ แถมมันยังมากพอที่จะซื้อโสมราชาอีกด้วย!”
หลังจากที่นางตรวจสอบมูลค่าสินค้าทั้งสามเรียบร้อยแล้ว นางก็ไม่ได้ระบุราคาออกมาทันที แต่กลับเลือกที่จะถามเย่เย่แทน
“พูดตามตรงเลยนะ ข้าไม่ได้อยากจะขายของพวกนี้เสียเท่าไหร่น่ะ แต่เพราะโสมราชานั้นมีความสำคัญต่อข้ามากๆ เพราะงั้นข้าเลยตัดสินใจแบบฉับพลันเลย”
เขาแสร้งทำเป็นช่วยไม่ได้ ซึ่งทำให้เขาดูเหมือนว่าในครั้งนี้เงินเขาขาดจริงๆและโสมราชาก็จำเป็นต่อเขามากๆอีกด้วย
แม้เฟิงเซียนซีเองจะไม่ได้เข้าใจทั้งหมดก็ตาม กระนั้นแล้วนางก็ดีใจมากๆที่จะได้ของทั้ง 3 สิ่งนี้จากเย่เย่ ในสายตาของนางเอง สิ่งเหล่านี้มีค่าไม่ต่างอะไรกับโสมราชาที่ซึ่งปกติเขาไม่ขายกัน
ดังนั้นในตอนนี้ที่เย่เย่ยอมขายให้นาง นั่นหมายถึงหากนางนำมันไปเปิดการประมูล นางจะสามารถสร้างรายได้มหาศาลอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม เพื่อไม่ให้เย่เย่เกิดความรู้สึกแย่ๆที่ต้องทำแบบนี้ เฟิงเซียนซีเองก็ไม่กล้าที่จะกดราคาของเหล่านี้ให้ต่ำเกินไป ดังนั้นหลังจากที่ทำใจให้สงบอยู่ครู่หนึ่ง นางจึงเอ่ยขึ้นด้วยความหนักแน่น “ท่านเย่คะ ข้าจะจ่ายค่ากระบวนท่าฝ่ามือคลื่นพิโรธให้ท่าน 70,000 เหรียญทอง ทักษะงูสวรรค์ 60,000 เหรียญทอง และในส่วนของระฆังสูบวิญญาณ ข้าให้ท่าน 50,000 เหรียญทอง รวมทั้งหมด 180,000 เหรียญทอง ท่านคิดว่าเพียงพอหรือเปล่า?”
ถึงมูลค่าของทักษะงูสวรรค์กับฝ่ามือคลื่นพิโรธนั้นจะราคาเท่ากันในระบบก็จริง แต่ราคาในโลกจริงๆฝ่ามือคลื่นพิโรธนี่กลับราคาสู้ทักษะงูสวรรค์ไม่ได้แฮะ ส่วนระฆังสูบวิญญาณนั่นไม่ได้เสียหายอะไรอยู่แล้ว จะถูกจะแพงก็ขึ้นอยู่กับว่าคนคนนั้นต้องการมันมากขนาดไหน แต่ถ้าอิงจากสิ่งที่เฟิงเซียนซีพูด 50,000 เหรียญทองนี่ก็ไม่ได้น่าเกลียดเลย น่าชื่นชมเสียด้วยซ้ำ
เย่เย่ตกใจมากๆกับราคาที่เฟิงเซียนซีเอ่ยออกมา เขาไม่คาดคิดเลยว่าของทั้ง 3 สิ่งนี้จะมีราคาสูงขึ้นได้ถึงเพียงนี้ อย่างไรก็ตาม แม้ในใจจะตื่นเต้นเพียงใด แต่สีหน้าเขาก็ยังคงเดิม เขาเพียงพยักหน้าและพูดขึ้น “ตามนั้นก็แล้วกัน”
“ข้าหวังว่าท่านจะมีความสุขกับข้อเสนอนี้เจ้าค่ะ ถ้ายังไงเดี๋ยวข้าจะจัดการเรื่องส่วนต่าง 20,000 เหรียญทองของโสมราชากับสมบัติ 3 อย่างนี้ให้นะคะ ข้าจะดูแลพวกมันอย่างดีเลย!”
เฟิงเซียนซียินดีสุดๆที่เย่เย่รับข้อเสนอของนางพร้อมกับรีบเก็บสมบัติทั้ง 3 อย่างนี้ไปและให้ตั๋วทอง 10,000 เหรียญทองแก่เขา 2 ใบตามที่นางว่าไว้
หลังจากที่เย่เย่เก็บตั๋วทองนั้นไปแล้วเขาก็ออกจากหอการค้าชิงเฟิงไปพร้อมกับโสมราชาที่ประมูลได้มา
ทักษะงูสวรรค์และฝ่ามือคลื่นพิโรธนั้นเป็นทักษะและกระบวนท่าที่ใช้ได้กับการพัฒนาตนเองให้ระดับจ้าววรยุทธ์เท่านั้น ซึ่งเย่เย่เองก็ไม่ได้ร้อนใจอะไรกับของสองอย่างนี้ เมื่อเขากลับถึงบ้านแล้ว เขาจึงรีบนำโสมราชาออกมาและจ่าย 300 เหรียญจักรวาลเพื่อใช้ระบบเร่งอายุของมันให้กลายเป็นโสมราชาแก่ในทันที ทั้งนี้มันจะทำให้ราคาของโสมราชานี่เพิ่มขึ้นอีกเป็น 2 เท่า
ถึงแม้ว่าตอนนี้ในระบบแลกเปลี่ยนครอบจักรวาลนั้นจะเหลือเหรียญจักรวาลเพียง 20 เหรียญแล้วก็จริง แต่เย่เย่ก็ไม่ได้รีบร้อนที่จะสแกนตั๋วทอง 20,000 เหรียญทองเข้าไปในทันที ใจหนึ่งก็เพราะเขาอยากจะเติมเงินครั้งละมากๆ ดังนั้นเลยไม่อยากจะนำ 20,000 เหรียญทองนี่เข้าไปก่อน แต่อีกใจหนึ่งเขาก็คิดว่าตัวเขานั้นควรจะเก็บของพวกนี้เอาไว้บ้าง เพราะในอนาคตหากเจอบางสิ่งบางอย่างที่ต้องการจะซื้อ เขาคงจะพึ่งระบบแลกเปลี่ยนครอบจักรวาลนี่ไม่ได้ตลอดไปหรอก