ถึงแม้ว่าตระกูลเจิ้งนั้นจะไม่ใช่ตระกูลใหญ่ในหลิงเฉิง แต่อย่างน้อยๆก็มีความแข็งแกร่งมากกว่าตระกูลเสวี่ยของเสวี่ยหยู เพียงแค่ว่าตระกูลเจิ้งนั้นไม่ใช่ตระกูลที่สนใจการทำการค้าเท่านั้น เลยทำให้พวกเขาไม่มีหอการค้าเป็นของตนเอง
ถ้าหากเย่เย่สามารถเข้าไปเป็นพันธมิตรคนสนิทของตระกูลเจิ้งผ่านเจิ้งซูได้ ถึงจะไม่สามารถเอาชนะปราการหลิงหยุนได้ในเวลาอันสั้นแต่ก็น่าจะช่วยเอื้อต่อการเติบโตของหอการค้าหยูเย่ได้อีกเยอะเลย
การทำหอการค้าในหลิงหยุนนั้นเสมือนการวิ่งมาราธอนระยะยาว ทุกๆอย่างต้องค่อยเป็นค่อยไปแต่ต้องไม่ช้าเกิน คำถามเดียวในตอนนี้ก็คือ เจิ้งซูจะใช่คนที่มีศักยภาพเพียงพอให้เย่เย่ยอมลงทุนหรือไม่
“หากท่านเย่สามารถช่วยข้าให้กลับไปยังตระกูลเจิ้งได้ คำสั่งเสียของท่านแม่ของข้าก็จะเป็นจริงเสียที ด้วยบุญคุณครั้งนี้ ข้าจะไม่ลืมไปจนวันตายเลย!”
หลังจากที่ได้ยินคำถามของเย่เย่ เจิ้งซูก็คุกเข่าลงอีกครั้งและตอบเย่เย่ด้วยความสัตย์จริง น้ำเสียงของเขานั้นแสดงความจริงใจและเต็มไปด้วยความมั่นใจอยู่จนล้น
อย่างไรก็ตาม เย่เย่เพียงแค่พยักหน้าเบาๆ แต่เขาก็ยังไม่ได้ยอมรับแต่อย่างใด เย่เย่ตัดสินใจไม่พูดไร้สาระและเข้าประเด็นหลักต่อในทันที “ถ้าหากข้าช่วยเจ้าปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ได้แล้ว เจ้ามั่นใจขนาดไหนว่าจะสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้และทวงคืนตระกูลเจิ้งกลับมาได้?”
เจิ้งซูเงยหน้ามองเย่เย่ด้วยความปลาบปลื้มใจก่อนจะพูดด้วยความหนักแน่น “ตราบใดก็ตามที่ข้าสามารถปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ขึ้นมาได้ ข้าก็จะพยายามโค่นเจิ้งเทียนไช่ ลูกชายของหลิวชีเฟินเพื่อชิงเอาตำแหน่งเจ้าตระกูลเจิ้งคนต่อไปในพิธีสืบทอดให้ได้!”
ตั้งแต่ที่โดนขับไล่ออกมาจากตระกูลเจิ้ง เจิ้งซูนั้นไม่เคยลดความสนใจในการกลับไปยังตระกูลของตนลงเลยแม้แต่น้อย ไม่นานก่อนหน้านี้ เขาได้ยินข่าวเรื่อง เจิ้งฮวน เจ้าตระกูลคนปัจจุบันของตระกูลเจ้าประกาศจะยกตำแหน่งเจ้าตระกูลเจิ้งให้แก่เจิ้งเทียนไช่ในพิธีส่งมอบตระกูลที่จะจัดขึ้นนี้ ภายในพิธี ถ้าหากมีเด็กในตระกูลคนไหนที่ไม่เห็นด้วย ก็จะสามารถท้าประลองกันในงานได้เลย และถ้าหากเด็กคนไหนสามารถเอาชนะผู้ถูกเลือกได้ เด็กคนนั้นก็จะได้ตำแหน่งเจ้าตระกูลไปทน
นี่จึงเป็นเหตุผลหลักที่หลิวชีเฟินนั้นขวนขวายทุกวิถีทางเพื่อที่จะทำให้เจิ้งซูหายไปจากโลกนี้ให้ได้ทันทีหลังจากรู้ว่าเขาอยู่ไหน ถึงแม้ว่าเจิ้งซูนั้นจะยังปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ไม่ได้และไม่สามารถสู้ทัดเทียมกับเจิ้งเทียนไช่ได้เลย แต่หลิวชีเฟินก็ยังคงส่งนักฆ่ามาตามจองล้างจองผลาญเขาอยู่เรื่อยๆเหมือนเช่นเมื่อครั้งล่าสุดนี้
แต่สิ่งหนึ่งที่หลิวชีเฟินไม่รู้นั่นก็คือ ตั้งแต่ที่เขาถูกขับไล่ออกมาจากตระกูล แม้จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเจิ้งซูจะยังไม่ตื่นมาก็จริงแต่ด้วยความพยายามของเขาเอง เขาสามารถเรียนรู้กระบวนท่าสายลมซ่อนเร้นได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
กระบวนท่าสายลมซ่อนเร้นนั้นคือกระบวนท่าที่ผสมผสานร่างกายกับวิธีการต่อสู้เข้าไว้ด้วยกัน มันเป็นกระบวนท่าเดียวที่สามารถฝึกได้ในระดับขั้นผู้ฝึกวรยุทธ์ แต่อย่างไรก็ตาม กระบวนท่านี้มันถือว่ายากมากๆที่จะฝึกฝนสำเร็จ นอกจากนั้น ผู้คนส่วนใหญ่ยังเลือกที่จะไม่เสียเวลาอยู่ในขั้นนี้กันนานๆด้วย ดังนั้นแล้วกระบวนท่านี้จึงสามารถเรียกได้ว่าเป็นไพ่ตายของเหล่าผู้ฝึกฝนวรยุทธ์ที่มีความพยายามกับมันได้เลยทีเดียว
ถึงตลอดมา เจิ้งซูจะต้องตกอยู่ในปัญหามากมาย แต่เขาก็ยังเชื่อว่าสักวันหนึ่งเขาจะสามารถปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ขึ้นมาได้ และเพื่อที่จะโค่นล้มเจิ้งเทียนไช่ ผู้ที่เป็นจ้าววรยุทธ์ไปแล้วนั้น เขาจึงทุ่มเททั้งกายและใจให้กับการฝึกฝนกระบวนท่าสายลมซ่อนเร้นอยู่อย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากการฝึกฝนกระบวนท่านี้นั้นใช้กำลังกายเป็นอย่างมาก มันจึงทำให้ร่างกายของผู้ฝึกฝนที่อยู่ในระดับผู้ฝึกวรยุทธ์ต้องรับภาระความเหนื่อยล้าหนักมากๆ รวมไปถึงเขาไม่อยากจะให้ใครรู้ถึงเรื่องที่เขากำลังฝึกฝนกระบวนท่านี้อยู่ด้วย ดังนั้นเจิ้งซูจึงไม่ได้ฝึกฝนวิชานี้ต่อหน้าคนอื่นแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม เพื่อที่จะทำให้เย่เย่เชื่อในศักยภาพของเขา เจิ้งซูจึงไม่ปิดบังเรื่องนี้อีกต่อไป
หลังจากที่เขายืนขึ้นมา เขาก็เริ่มแสดงกระบวนท่าสายลมซ่อนเร้นนี้ให้เย่เย่ได้เห็น
“ดี! ดีจริงๆ! ข้ายอมรับเลยว่าก่อนหน้านี้ข้าประเมินเจ้าต่ำไป! ตอนนี้เจ้าไม่ต้องเรียนรู้อะไรจากข้าอีกแล้ว! ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะช่วยเจ้า! เช่นนั้นแล้วข้าหวังว่าหลังจากที่เจ้าได้ตระกูลเจิ้งของเจ้าคืนมาแล้วเจ้าจะไม่ลืมสิ่งที่เจ้าพูดไว้ในวันนี้เสียล่ะ!”
เมื่อได้ดูฝีมือของเจิ้งซูเรียบร้อยแล้ว สีหน้าของเย่เย่ก็ดูจะเป็นสุขและตื่นเต้นเป็นอย่างมากครั้งแรก เขานั้นได้ยินเรื่องกระบวนท่าสายลมซ่อนเร้นมานานแล้วแต่นี่เป็นครั้งแรกเลยจริงๆที่ได้เห็นว่ามีคนฝึกฝนมันสำเร็จด้วย มันเลยทำให้เย่เย่อดไม่ได้ที่จะคาดหวังในตัวเจิ้งซูไว้สูงสุดๆ
ในวันเดียวกัน หลังจากที่ให้เจิ้งซูไปพักผ่อนแล้ว เย่เย่ก็ขอให้เสี่ยวหยูนำเงินออกมาให้เขา 100,000 เหรียญทองทันทีจากในคลังของหอการค้าเพื่อที่จะเติมเงินเข้าไปในระบบ เขาใช้เหรียญจักรวาลจำนวน 998 เหรียญเพื่อแลกยากระตุ้นจิตวิญญาณออกมาให้เจิ้งซู ไม่กี่วันหลังจากที่เจิ้งซูได้รับยากระตุ้นจิตวิญญาณจากเย่เย่ เขาก็กลับไปยังบ้านตระกูลเจิ้งพร้อมกับ เย่เย่เพื่อที่จะทวงทุกสิ่งทุกอย่างของเขาคืนมา
วันนี้เป็นวันที่ทางตระกูลจัดพิธีสืบทอดตามวาระพอดี จึงทำให้ภายในบ้านตระกูลเจิ้งมีคนจากหลายฝ่ายที่เป็นพันธมิตรกับตระกูลเจิ้งมาเฝ้าชมพิธีสืบทอดนี้ด้วยแต่เย่เย่และเจิ้งซูกลับถูกหยุดรั้งไว้ที่หน้าทางเข้าบ้านตระกูลเจิ้งโดยยามเฝ้าประตูหนำซ้ำอีกฝ่ายยังพยายามไล่พวกเขาให้ออกไปอีกด้วย ดูเหมือนว่าคนพวกนี้จะจำไม่ได้แล้วว่าเจิ้งซูคือลูกหลานตระกูลเจิ้งอีกคนหนึ่ง
“ไปๆๆ! ตระกูลเจิ้งจะรับแขกที่ได้ส่งจดหมายเทียบเชิญไปแล้วเท่านั้น ไม่ได้ต้อนรับทุกคน!”
ไม่ว่าคนรับใช้ตระกูลเจิ้งคนนี้จะพยายามปิดกลั้นบางสิ่งบางอย่างไว้ได้ดีขนาดไหน แต่ในสายตาเย่เย่นั้นก็ยังสามารถเห็นถึงความกังวลบนใบหน้าของพวกเขาได้อย่างชัดเจน ชายคนนี้…ชัดเจนเลยว่าจำเจิ้งซูได้แต่ปฏิเสธที่จะให้เขาเข้าไปภายในบ้าน คงจะเป็นคนของหลิวชีเฟินสินะ
*ผั้วะ!*
ในเมื่ออีกฝ่ายแสดงจุดยืนชัดเจนแล้วว่าจะแสร้งทำเป็นไม่รู้จักเช่นนี้ เย่เย่เองก็ตัดสินใจที่จะไม่สนใจเขาเช่นกัน ทันทีที่ยามเฝ้าประตูคนนี้เงียบเสียงลง เย่เย่ก็ใช้ฝ่ามือปะทะเข้าไปยังอีกฝ่ายจนกระเด็นลอยไปไกลในทีเดียว
“แหกตาดูซะบ้างว่านี่ใคร เห็นๆกันอยู่ว่าเขาคือเจิ้งซู บุตรแห่งเจ้าตระกูลเจิ้งคนปัจจุบัน! ไม่ว่าใครหน้าไหนรวมไปถึงนายหญิงหลิวฉีเฟินยังไม่สามารถกีดกันเขาไม่ให้เข้าพิธีอันสำคัญนี้ได้ แล้วเจ้าเป็นใคร?”
เสียงของเย่เย่มันดังกังวานไปทั่ว ไม่เพียงแต่มันจะทำให้เหล่าคนรับใช้คนอื่นๆตื่นตัว แต่มันยังดึงความสนใจของแขกผู้มาเยือนที่นั่งอยู่ภายในได้ด้วย
เพื่อที่จะไม่ทำให้เกิดการจลาจลขึ้น เหล่าคนรับใช้ทั้งหลายจำเป็นต้องรีบมาพาตัวเย่เย่และเจิ้งซูไปยังโถงบรรพชนแห่งตระกูลเจิ้งอันเป็นที่จัดพิธีในทันที
ณ ที่แห่งนั้น ผู้ร่วมพิธีมากมายนั่งเรียงกันเป็น 2 แถวโดยเจิ้งฮวนผู้เป็นอัมพาตและไม่สามารถพูดอะไรได้นั่งอยู่บนรถเข็ตและรวมอยู่ในที่นี้ด้วย เมื่อเจิ้งซูเห็นเจิ้งฮวนนั่งอยู่บนรถเข็น ดวงตาของเขาก็เริ่มชื้นขึ้นมาพร้อมกับความต้องการที่จะฆ่า หลิวชีเฟินเพื่อล้างแค้นที่ปะทุขึ้นด้วย
“เย็นไว้ก่อน หากเจ้าปล่อยให้อารมณ์ครอบงำการกระทำแล้วล่ะก็ สิ่งที่เจ้าพยายามมาตลอดหลายปีจะพังทลายไม่เป็นชิ้นดีเลยนะ”
เย่เย่เข้ามาปรามเจิ้งซูไว้ก่อนพร้อมกับหันมองสตรีวัยกลางคนที่มีสีหน้าหดหู่ข้างๆเจิ้งฮวน
คนคนนี้คือ หลิวชีเฟิน ผู้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนเจ้าตระกูลคนปัจจุบัน เพราะนางเป็นผู้คุมอำนาจทุกอย่างในตระกูลตอนนี้ ทำให้เหล่าสมาชิกในตระกูลคนอื่นๆที่แม้จะรู้ว่านางทำอะไรลงไป พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะเปิดโปงแต่อย่างใด
“เจิ้งซู เจ้าถูกขับไล่ออกจากตระกูลนี้ไปตั้งนานแล้ว นี่เจ้ายังมีหน้ามาปรากฎยังโถงบรรพชนแห่งตระกูลเจิ้งอีกงั้นเหรอ?”
บริเวณตรงกลางของโถงบรรพชนแห่งนี้ ชายหนุ่มที่เห็นเจิ้งซูปรากฎตัวก็ได้แสดงแววตาที่ดูไม่เป็นมิตรสุดๆออกมาทันทีพร้อมกับว่ากล่าวเจิ้งซูด้วยความก้าวร้าวทันที
ทว่าเมื่อสายตาของเขาเหลือบไปมองเย่เย่ที่อยู่ข้างๆเจิ้งซู สัญชาตญาณของตัวเขาเองกลับบอกให้เขากลัวเย่เย่จนเห็นชัดผ่านสีหน้า และเมื่อตระหนักได้ถึงสิ่งนั้น เขาก็หยุดพูดเหยียดหยามเจิ้งซูไปโดยปริยาย
“เจิ้งเทียนไช่ พวกเราเจอกันอีกแล้วนะ!”
เมื่อเจิ้งซูเห็นเจิ้งเทียนไช่ เขาก็ผลิยิ้มให้บางๆราวกับเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมาเนิ่นนาน ใครก็ตามที่ไม่รู้เบื้องหลังก็คงจะคิดกันไปเรื่อยว่าเด็ก 2 คนนี้นั้นมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันเป็นแน่แท้ อย่างไรก็ตาม ทาง
เจิ้งเทียนไช่นั้นยังคงจำได้ถึงความแข็งแกร่งของเย่เย่เมื่อครั้งล่าสุดที่เขาไปเจอกันที่หอการค้าตงหยวน แต่การที่ได้มาเห็นสีหน้าหยอกเย้าของเย่เย่ในวันนี้มันกลับทำให้เจิ้งเทียนไช่เริ่มรู้สึกไม่พอใจและรู้สึกเกรงกลัวเย่เย่มากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
ก่อนที่จะเข้ามายังบ้านตระกูลเจิ้งนี้ เย่เย่ได้เล่าเรื่องที่เขาและเจิ้งเทียนไช่เคยปะทะกันมาก่อนที่หอการค้าตงหยวนให้เจิ้งซูฟังแล้ว ดังนั้นแล้วเจิ้งซูจึงไม่ได้รู้สึกประหลาดใจอะไรเมื่อเขาได้ยินเจิ้งเทียนไช่ด่าทอเขาในครั้งนี้ หนำซ้ำตอนนี้เขายังโต้กลับโดยไม่ไว้หน้าใครอีกด้วย “ข้า เจิ้งซู ไม่เคยทำอะไรที่ต้องให้ตระกูลเจิ้งต้องอับอายทั้งนั้น เหตุใดพวกท่านถึงได้ไล่ข้าออกจากตระกูลเช่นหมูเช่นหมาแบบนี้เล่า? วันนี้เป็นวันดี วันสืบทอดวงศ์ตระกูลของตระกูลเจิ้ง เป็นวันที่ลูกหลานในตระกูลต้องให้ความใส่ใจ เช่นนี้แล้วจะให้ข้าไม่มาได้อย่างไร!”
เมื่อครั้งที่หลิวชีเฟินขับไล่สองแม่ลูกนี้ออกไปจากตระกูลและเข้าควบคุมตระกูลเจิ้งไว้โดยสมบูรณ์นั้น นางไม่ได้หาเหตุผลอะไรมารองรับเรื่องที่นางขับไล่คนออกไปจากตระกูล นั่นจึงทำให้เจิ้งซูนั้นยังถือเป็นคนในตระกูลเจิ้งได้ หรือถ้าจะให้พูดแบบถูกต้องที่สุด เขานั้นยังคงเป็นลูกชายของเจิ้งฮวนแห่งตระกูลเจิ้งเพียงแค่หายไปในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น
หลิวชีเฟินรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี แต่ถึงแม้ว่านางจะรู้สึกไม่ดี นางก็ไม่มีเหตุผลที่จะหยุดและขับไล่เจิ้งซูไม่ให้เข้าร่วมพิธีสืบทอดนี้ ดังนั้นแล้วนางจึงเลือกส่งนักฆ่าไปยังหอการค้าหยูเย่เมื่อก่อนหน้านี้ หลังจากที่นางมั่นใจแล้วว่าเจิ้งซูยังไม่สามารถปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ขึ้นมาได้ นางจึงเลือกที่จะไม่นำเรื่องนี้มาคิดให้มากความและยังคงนั่งอยู่ที่เดิมอย่างมั่นคง
นางหยุดเจิ้งเทียนไช่ไม่ให้ทะเลาะกับเจิ้งซูในที่สาธารณะ และหลังจากที่ขยิบตาให้เหล่าสมาชิกตระกูลเจิ้งคนอื่นๆเริ่มพิธีต่อ พิธีนี้จึงได้เริ่มขึ้นเสียที
เจิ้งฮวนที่นั่งอยู่บนรถเข็นนั้นมีสีหน้าหมองคล้ำ นอกจากลูกตาที่พอจะกลอกไปมาแล้วเขาก็ไม่ต่างอะไรกับผักที่วางอยู่ในถาดเลย เขาควรจะเป็นผู้ที่ดำเนินงานพิธีหลักในวันนี้ด้วยตนเอง แต่เพราะหลิวชีเฟินเป็นผู้คุมอำนาจ มันเลยทำให้สมาชิกตระกูลเจิ้งและแขกทั้งหลายไม่ได้สนใจเขาเลย
จะมีก็แต่เจิ้งซูที่คอยหันมามองเจิ้งฮวนบ้างเป็นครั้งคราวขณะที่พิธีกำลังดำเนินอยู่ แววตาของเขานั้นเปี่ยมไปด้วยความเจ็บหัวใจซึ่งเจิ้งฮวนเองก็รับรู้ถึงความรู้สึกของเจิ้งซูได้ผ่านแววตาพร้อมกับค่อยๆหลั่งน้ำตาออกมาจากหางตาโดยที่เขาไม่สามารถทำอะไรได้
หากเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้น หลังจากที่เจิ้งเทียนไช่ได้ตำแหน่งเจ้าตระกูลไปแล้ว เจิ้งฮวนเองก็คงจะถูกรายงานว่าตายในไม่ช้าเช่นกันเพราะหลิวชีเฟินนั้นคงจะไม่ยอมให้เขามาขัดขวางการควบคุมตระกูลนี้ของเจิ้งเทียนไช่อย่างแน่นอน แต่ในตอนนี้เจิ้งซูได้กลับมายังตระกูลเรียบร้อยแล้ว ถ้าหากเจิ้งซูสามารถทวงคืนสิทธิ์ในการปกครองตระกูลจากหลิวชีเฟินมาได้ ความหวังที่จะช่วยเจิ้งฮวนก็จะยังคงมีอยู่บ้าง
“การเคารพบรรพชนของพวกเราเสร็จสิ้นแล้ว ต่อจากนี้คือการรับช่วงต่อมรดกที่สืบทอดกันมา! เจิ้งเทียนไช่ บุตรชายของเจ้าตระกูลเจิ้งฮวน ถือเป็นบุตรชายคนเดียวที่สามารถปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ได้ในปัจจุบัน ดังนั้นเขาเหมาะสมแล้วที่จะได้รับตำแหน่งนี้ไป ข้า หลิวชีเฟิน ในฐานะผู้แทนของท่านเจิ้งฮวน จะขอส่งมอบตำแหน่งเจ้าตระกูลเจิ้งให้แก่เจิ้งเทียนไช่นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป!”
เมื่อพิธีส่งมอบตำแหน่งดำเนินมาถึงจุดสุดท้าย หลินชีเฟินที่มีฐานะเป็นผู้อาวุโสของตระกูลเจิ้งก็เดินไปยังจุดกลางของโถงบรรพชน จากนั้นก็กล่าวข้ามขั้นตอนการท้าประลองและประกาศให้เจิ้งเทียนไช่เป็นเจ้าตระกูลเจิ้งคนใหม่ในทันทีซึ่งทำให้ความโกลาหลก่อกำเนิดขึ้นมาอีกครั้ง
เจิ้งซูลุกขึ้นเดินไปยังกลางโถงแห่งนี้ในทันทีพร้อมกับพูดกับหลิวชีเฟินด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ช้าก่อน ก่อนที่จะส่งมอบตำแหน่งเจ้าตระกูลน่ะ ทายาทต้องยอมรับการท้าประลองจากคนอื่นๆอยู่ด้วยนะ นี่เป็นกฎของตระกูลเจิ้งของพวกเราที่สืบทอดกันมานับร้อยปีแล้ว! ท่านไม่มั่นใจในตัวเจิ้งเทียนไช่หรืออย่างไรถึงได้รีบประกาศให้เขาขึ้นเป็นเจ้าตระกูลคนต่อไปเร็วขนาดนี้?”
คำถามของเจิ้งซูนั้นเปรียบเสมือนตัวแทนของข้อสงสัยในใจของสมาชิกตระกูลเจิ้งหลายๆคนที่ติดตามพิธีมาโดยตลอด พวกเขาล้วนหันไปจับจ้องยังหลิวชีเฟินและไม่ต้องการให้นางทำลายกฎที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานของตระกูลเจิ้งแต่อย่างใด ในส่วนของแขกที่ได้รับการเชิญให้มาร่วมพิธีในวันนี้ พวกเขาส่วนใหญ่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรมากอนึ่งก็เพราะไม่อยากเอาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายในตระกูลคนอื่นเช่นนี้
หลิวชีเฟินที่เห็นว่าเจิ้งซูนั้นไม่ได้ตั้งใจแค่มาร่วมงานเงียบๆ นางก็แสดงให้เห็นถึงแววตาแห่งการถากถางทันที “อย่างที่ข้าได้พูดไปแล้ว บุตรชายของข้า เจิ้งเทียนไช่ นั้นเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวในตระกูลเจิ้งที่สามารถปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ได้เป็นที่สำเร็จเรียบร้อบแล้วในขณะที่เด็กคนอื่นๆในรุ่นราวคราวเดียวกันนั้นยังคงเป็นเพียงผู้ฝึกฝนวรยุทธ์อยู่ เช่นนั้นแล้วเจ้ายังอยากที่จะสู้กับเขาอยู่อีกหรือไร? นี่เจ้ากำลังรนหาที่ตายให้ตัวเองนะ”
เจิ้งซูพูดต่อโดยไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอแม่แต่นิดเดียว “กฎที่สืบทอดกันมาก็ควรจะสืบทอดต่อไป! ต่อให้สถานการณ์มันจะไม่เหมือนกับสมัยก่อน แต่ก็ควรเปิดโอกาสให้พวกเขาได้เลือกหนทางของตนเอง! นี่ท่านเล่นไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้เอ่ยพูดเลย เช่นนี้มันแสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่าท่านไม่ได้ใส่ใจสมาชิกตระกูลเจิ้งคนอื่นๆเลยแม้แต่นิดเดียว!”