บทที่ 52
ตัวแทน
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เจิ้งซูฆ่าเจิ้งเทียนไช่และได้รับชัยชนะในการประลองแล้ว เจิ้งฮวนก็ดูเหมือนจะได้พบกับผลลัพธ์ที่เขารอคอยมาอย่างเนิ่นนานเสียที เขาพยายามขยับปากอยู่นิดๆหน่อยๆก่อนจะค่อยๆหลับตาลงและตายลงอย่างสงบ
เจิ้งซูที่เห็นว่าเจิ้งฮวนค่อยๆหลับตาลงและแน่นิ่งไปเช่นนั้น เขาก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้อีกต่อไป หยาดน้ำตาของลูกผู้ชายมันหลั่งไหลออกมาในที่สุด แม้จะไม่ได้ยินเสียงใดๆจากการขยับปากครั้งสุดท้ายนั้น แต่เขาก็รู้ดีว่า เจิ้งฮวนอยากจะพูดอะไรกับเขา มันคือคำขอโทษในสิ่งที่ได้ทำให้เขาและแม่ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่หลายปี และนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงยังพยายามแข็งใจสู้ไว้จนถึงตอนนี้
“เจ้ามันลูกนังแพศยา! กล้าดีอย่างไรถึงมาฆ่าลูกของข้า! ข้าจะฆ่าเจ้า!”
ในขณะที่เจิ้งซูกำลังมองเจิ้งฮวนที่เพิ่งจากโลกนี้ไป หลิวชีเฟินที่นั่งอยู่กลางโถงบรรพชนมาครู่ใหญ่ๆก็ดูเหมือนจะระลึกได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น นางรีบลุกขึ้นมาแล้วพุ่งเข้าหาเจิ้งซูทันที
เขาหันกลับไปและมองด้วยความไม่แยแส แต่ก่อนที่เขาจะลงไม้ลงมืออะไร ผู้อาวุโสทั้งสามแห่งตระกูลเจิ้งก็เข้ามาช่วยหยุดหลิวชีเฟินเอาไว้ก่อน
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ! การประลองจบลงแล้ว เจิ้งซูคือเจ้าตระกูลรุ่นต่อไป เพราะฉะนั้นพวกข้าไม่อนุญาตให้มีการต่อสู้ใดๆเกิดขึ้นอีกทั้งนั้น!”
หลังจากที่จ้องมองหลิวชีเฟินด้วยความเยือกเย็นแล้ว ผู้เป็นใหญ่ท่ามกลางผู้อาวุโสทั้ง 3 คนนี้ก็ประกาศออกมาด้วยเสียงที่ดังฟังชัดจนทุกๆคนภายในโถงบรรพชนได้ยินกันถ้วนหน้า
เพราะผู้อาวุโสทั้งสามคนนี้นั้นล้วนเป็นเทพยุทธ์ที่แข็งแกร่งกันทั้งสิ้น มันจึงทำให้สมาชิกตระกูลเจิ้งล้วนแต่ไม่มีใครกล้าที่จะคัดค้านและยอมก้มหัวให้โดยสงบ
นี่เป็นอิทธิพลของเหล่าผู้อาวุโสในตระกูลนี้ ภายในตระกูลเจิ้งก็มีเพียงแค่เจ้าตระกูลเท่านั้นที่จะได้รับศักดิ์ทัดเทียมพวกเขาทั้งสามให้สามารถเดินอยู่ในระดับเดียวกันได้
เหตุผลที่ทำไมก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสทั้งสามมองหลิวชีเฟินควบคุมอำนาจตระกูลเจิ้งทั้งหมดเฉยๆโดยไม่ทำอะไรนั่นก็เพราะพวกเขามองว่าเจิ้งเทียนไช่นั้นคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในเวลานั้น ซึ่งความแข็งแกร่งนี้เองที่จะช่วยนำพาชัยชนะมาสู่ตระกูลเจิ้งในอนาคต ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ติดตามเรื่องอาชญากรรมที่สองแม่ลูกต้องได้รับเลย
แต่ในตอนนี้เจิ้งเทียนไช่ได้ตายไปแล้ว และเจิ้งซูเองก็ดูจะมีศักยภาพสูงกว่าเจิ้งเทียนไช่เสียอีก เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจที่จะหยุดหลิวชีเฟินเอาไว้และแสดงให้เห็นว่าตัวพวกเขานั้นสนับสนุนเจิ้งซูกันแล้ว ทว่าเพราะหลิวชีเฟินได้ทำการควบคุมตระกูลเจิ้งมาอยู่หลายปี มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะมีใครนิยมชมชอบนางอยู่บ้าง แม้ว่าจะมีผู้อาวุโส 3 คนที่สนับสนุนในตัว เจิ้งซู แต่ผู้อาวุโสอีก 2 คนก็กลับลุกเดินมายังกลางโถงบรรพชนและประกาศให้รู้ว่าพวกเขาไม่ให้การยอมรับเจิ้งซูพร้อมกับเลือกอยู่กับหลิวชีเฟินดังเดิม
“ถึงแม้ว่าเจิ้งซูนั้นจะเป็นบุตรแห่งตระกูลเจิ้งก็จริง แต่เขานั้นก็ใช้อาวุธอันตรายในการประลองเมื่อครู่ และซึ่งวิธีการของมันก็โหดร้ายทารุณเอาเสียมากๆ เพราะงั้นแล้วพวกเขาไม่คิดว่าเขาคนนี้มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้เป็นเจ้าตระกูลเจิ้งหรอกนะ!”
หนึ่งในสองผู้อาวุโสผู้อยู่เคียงข้างหลิวชีเฟินนั้นชัดเจนเลยว่าได้รับผลประโยชน์มากมายมาจากนาง ดังนั้นเขาจึงลำเอียงช่วยนางอยู่แบบนี้ ในขณะที่อีกคนหนึ่งที่ไม่ได้พูดอะไรนั้น เขาเลือกที่จะยืนอยู่ใกล้ชิดหลิวชีเฟินเพื่อแสดงให้เห็นว่าตนเองเชื่อมั่นกับสิ่งที่ได้เลือกแล้ว
ในตอนนี้ผู้อาวุโสทั้ง 5 ถูกแบ่งออกเป็นฝั่งหนึ่ง 3 และอีกฝั่งหนึ่ง 2 กันแล้ว ไม่ว่าผลลัพธ์ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร แต่นี่มันก็ทำให้พวกเขาเห็นหายนะของตระกูลเจิ้งกันได้รางๆแล้ว ดังนั้นไม่มีใครในตระกูลที่อยากให้คนเหล่านี้ทะเลาะกันเองหรอก โดยเฉพาะศึกระหว่างตัวพวกเขาเองด้วยแล้ว
ผู้อาวุโสทั้งสองที่ยืนยันจะสนับสนุนหลิวชีเฟินนั้นรู้ดีว่าพวกเขาอยู่ในตำแหน่งที่อ่อนด้อยกว่าแต่การที่พวกเขาเลือกที่จะออกมายืนกรานด้วยความมั่นใจเช่นนี้ก็เพราะพวกเขาเชื่อว่าผู้อาวุโสอีก 3 คนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามจะไม่กล้าโจมตีเขาเช่นกัน
“ใครเป็นคนออกกฎที่ว่าห้ามนำอาวุธทำลายล้างมาใช้ในการประลองน่ะ? ถ้าหากท่านบอกว่าการกระทำของข้ามันโหดแล้ว แล้วที่หลิวชีเฟินทำกับข้าแล้วก็แม่ข้านั่นล่ะท่านว่าอย่างไร? ทำไมท่านถึงไม่ออกมาพูดแบบนี้บ้าง?”
หลังจากที่ได้สติจากการสูญเสียเจิ้งฮวนไปแล้ว ความใจเย็นของเจิ้งซูก็ฟื้นกลับคืนมาอีกครั้ง เขารีบเปิดปากพูดเพื่อจะโต้กลับในสิ่งที่ได้ยินโดยที่ไม่ทำตัวอ่อนแอแต่อย่างใด ตัวเขานั้นจะไม่ยอมให้ผู้อาวุโสเหล่านี้ต้องมาปะทะกันเองแน่ๆ
ก่อนที่เขาจะโดนขับไล่ไปจากตระกูลนั้น เขาพอจะเคยได้เห็นใบหน้าของผู้อาวุโสเหล่านี้อยู่บ้าง คนพวกนี้เป็นพวกตลบตะแลง แม้จะสำเร็จวรยุทธ์ในขั้นสูงก็จริงแต่ก็ไม่เคยชักนำตระกูลให้สูงส่งขึ้นเลย กลับกันพวกเขายังทำตัวน่าสมเพชเหมือนคนแก่ที่ป่วยออดๆแอดๆอยู่ภายในตระกูลจนไม่ค่อยมีใครอยากจะเคารพอีกด้วย
แต่เพราะเจิ้งซูจำเป็นต้องใช้ความช่วยเหลือจากคนเหล่านี้ในช่วงนี้ เขาจึงเลือกที่จะยังไม่ฆ่าพวกเขาทิ้งในตอนนี้เลยรวมไปถึงทั้งสองคนที่ไม่เห็นด้วยกับการที่เขาจะขึ้นเป็นเจ้าตระกูลรุ่นถัดไปด้วย หากจะทำอะไรกับเหล่าผู้อาวุโส เขาคงจะรอให้ผ่านช่วงส่งผ่านตระกูลนี่เสียก่อน
“เจิ้งซู เจ้าพูดอะไรน่ะ? อย่าพูดเหมือนเจ้าเป็นเจ้าตระกูลแล้วสิ หรือต่อให้เจ้าจะเป็นเจ้าตระกูลแล้ว เจ้าก็ต้องเคารพเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกข้าที่เป็นผู้อาวุโสสูงสุด!”
ผู้อาวุโสที่สำลักกับคำพูดของเจิ้งซูนั้นดูจะโกรธจัดขึ้นมาทันที เขาดูเหมือนจะอยากเข้ามาสั่งสอนบทเรียนให้แก่เจิ้งซูแต่ก็ต้องหยุดลงไปก่อนเมื่อเห็นว่าผู้อาวุโสทั้งสามยังคงปักหลักที่จะสนับสนุนเจิ้งซูอยู่
สำหรับการทะเลาะกันของทั้งสองฝั่งนั้น ดูเหมือนมันจะถูกชะงักไว้แค่เท่านี้แล้ว
ในตอนนั้นหลิวชีเฟินเองก็เริ่มจะกลับมาใจเย็นลงแล้ว แต่แววตาที่มองไปยังเจิ้งซูนั้นก็ยังเปี่ยมไปด้วยความไม่พอใจอยู่ หากไม่ใช่เพราะพลังของเหล่าผู้อาวุโสแห่งตระกูลเจิ้งแล้วนั้น บางทีนางอาจจะพุ่งเข้าหาเจิ้งซูอีกรอบก็ได้
เพราะตอนนี้เจิ้งซูถูกสนับสนุนโดยผู้อาวุโสถึงสามคน ดังนั้นแล้วมันเกือบจะเป็นไปไม่ได้แล้วที่หลิวชีเฟินจะเข้ามาพยายามฆ่าเขาอีกครั้ง อย่างไรก็ตามนางเองก็ตระหนักได้ถึงอิทธิพลของเหล่าผู้อาวุโสสูงสุดแห่งตระกูลเจิ้ง ดังนั้นต่อให้นางไม่พอใจกับผู้อาวุโสทั้งสามที่สนับสนุนเจิ้งซู นางก็ไม่กล้าที่จะจัดการกับเจิ้งซูและทำตัวเป็นศัตรูต่อไป
ขณะที่เหมือนว่าความบาดหมางภายในตระกูลนั้นจะสงบลงแล้วนั้นเอง ชายวัยกลางคนก็ปรากฎตัวขึ้นมาจากเหล่าแขกที่ถูกเชิญมา เขาคนนี้ไว้หนวดและดูเป็นคนที่หักหลังคนอื่นได้อย่างง่ายดาย กระนั้นเย่เย่เองก็ได้ประเมินเขาจากความแข็งแกร่งของวรยุทธ์แล้วและสรุปได้ว่าเขาเองก็เป็นเทพยุทธ์ที่แข็งแกร่งอีกคนหนึ่ง มันจึงทำให้เย่เย่อาจจะไม่สามารถจัดการกับเรื่องนี้ได้อย่างง่ายๆเหมือนที่ชอบทำแน่ๆ
“แค่ก—ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทั้งหลายขอรับ ถึงแม้ว่านี่จะไม่ใช่ธุระกงการอะไรของข้า เพราะแต่เดิมข้าก็ไม่ใช่คนของตระกูลเจิ้งอยู่แล้ว แต่การที่จะต้องมาเห็นพวกท่านทะเลาะกันเองนั้นมันเสียเวลาเปล่านะขอรับ ถ้ายังไงข้ามีข้อเสนอมาให้ พวกท่านจะสนใจกันหรือเปล่า?”
ชายวัยกลางคนคนนั้นเดินเข้าไปหาหลิวชีเฟินที่อยู่กลางโถงบรรพชน ถึงแม้เขาจะดูไม่มีพิษภัย แต่เขากลับมีข้อเสนอมายื่นตั้งแต่ต้นเลย
“ถ้าท่านมีข้อเสนออะไรก็เชิญพูดมาได้เลย หอการค้ายักษ์หยวนชานเต็มใจจะช่วยทั้งที ถือเป็นเกียรติแก่ตระกูลเจิ้งของพวกข้ายิ่งนัก!”
หลิวชีเฟินมองไปยังใบหน้าของชายวัยกลางคนที่ปรากฏตัวขึ้นมา สีหน้าของนางค่อยๆเผยแววของความสุขขึ้นมาให้เห็นเด่นชัดพร้อมกับรีบเยินยอชายผู้นี้ทันที
ชิวหยวนตง ชายวัยกลางคนผู้เป็นคนคอยจัดการทรัพย์สินต่างๆแห่งหอการค้ายักษ์ประจำหลิงเฉิง เขาและตระกูลเจิ้งนั้นมีการติดต่อซื้อขายกันมากมาย นั่นจึงทำให้เขานั้นคุ้นเคยกับหลิวชีเฟินเป็นอย่างดี
ถึงแม้ว่าหอการค้ายักษ์หยวนชานจะไม่ใช่หอการค้าระดับต้นๆของหลิงเฉิง แต่ด้วยขนาดที่เปรียบเสมือนวิหารยักษ์เมื่อเทียบกับหอการค้าตงหยวน หนึ่งในผู้จัดการของที่แห่งนี้นั้นคือผู้ที่มีวรยุทธ์แข็งแกร่งในระดับเทพยุทธ์ ซึ่งเปรียบเสมือนเสาหลักอีก 1 ต้นที่ทำให้หอการค้ายักษ์หยวนชานยิ่งใหญ่ได้ระดับนี้ ดังนั้นแล้วหลิวชีเฟินจึงพยายามสร้างไมตรีจิตอันดีงามกับหอการค้ายักษ์หยวนชานอย่างไม่ขาดตกบกพร่องใดๆ และการที่ตัวชิวหยวนตงนั้นออกมาพูดด้วยตนเองในครั้งนี้ก็ทำให้นางตกใจไม่น้อยเลยด้วย
“ข้าคิดว่า ในเมื่อเหล่าผู้อาวุโสทั้ง 5 ท่านนั้นกำลังเจอกับทางตันกันทั้งหมด พวกท่านก็เลือกเอาตัวแทนของแต่ละฝ่ายออกมาเลย แล้วให้ตัวแทนนั้นเป็นผู้ประลองแทน จากนั้นหากตัวแทนของฝั่งไหนชนะก็ให้กรรมสิทธิ์ตกเป็นของผู้ชนะไป เพราะฉะนั้นแล้วตัวแทนที่จะเลือกมานั้นถือว่าสำคัญต่อตระกูลเจิ้งเป็นอย่างมาก เลือกตัวแทนให้ดีจากนั้นผลประโยชน์ก็จะตกเป็นของพวกท่านโดยไม่ต้องมีใครในตระกูลต้องได้รับบาดเจ็บ!”
คำพูดของชิวหยวนตงนั้นทำให้การประลองก่อนหน้าของเจิ้งซูและเจิ้งเทียนไช่นั้นกลายเป็นเหมือนโฆษณาคั่นเวลาไปเลย เขาเพิกเฉยต่อจุดประสงค์ที่แท้จริงของกฎที่ตั้งไว้ภายในตระกูลเจิ้งแห่งนี้ไปเสียแล้วแถมยังยื่นข้อเสนอที่ฟังดูแล้วยังไงก็เข้าข้างหลิวชีเฟินอีกด้วย
เพราะฉะนั้นก่อนที่เจิ้งซูจะได้พูดอะไร เหล่าผู้อาวุโสที่คอยสนับสนุนเขาก็รีบยืนขึ้นและคัดค้านอย่างแข็งขันทันที “จุดประสงค์ของพิธีส่งมอบเจ้าตระกูลนั้นทำเพื่อเฟ้นหาเจ้าตระกูลคนใหม่อยู่แล้ว ในเมื่อตอนนี้เจิ้งเทียนไช่ตายแล้ว ทำไมยังต้องมีการประลองถูกจัดขึ้นอีก?”
ผู้อาวุโสทั้งสามไม่สามารถนั่งอยู่เฉยๆได้อีกต่อไปหากจะต้องทนยอมรับให้ตระกูลเจิ้งกลับไปอยู่ภายใต้การควบคุมของหลิวชีเฟินอีกครั้ง ดังนั้นทันทีที่เห็นว่าเจิ้งเทียนไช่ตายแล้ว พวกเขาจึงไม่ลังเลที่จะหันมาสนับสนุนเจิ้งซูแทนทันที
“แบบนี้มันก็ไม่ถูกต้องเหมือนกันนั่นแหละ! พวกเราสามารถจัดงานเฟ้นหาเจ้าตระกูลคนใหม่ได้ในภายหลัง ระหว่างนั้นก็ให้ตระกูลเจิ้งอยู่ภายใต้การดูแลของท่านหญิงหลิวชีเฟินไปก่อนก็ยังได้! ตัวข้าน่ะเชื่อว่าภายใต้การนำของท่านหญิง ตระกูลเจิ้งจะต้องเจริญไปมากกว่านี้อีกแน่นอน”
ทางฝั่งที่ไม่สนับสนุนเจิ้งซูก็ดูเหมือนจะเห็นชอบที่จะให้หลิวชีเฟินดำเนินการเป็นเจ้าตระกูลต่อดังเดิมและยกเลิกผลการประลองครั้งนี้ไป
เมื่อความเห็นของทั้งสองฝ่ายมันคนละขั้วแบบนี้ มันจึงทำให้พวกเขาเตรียมที่จะทะเลาะกันอีกครั้ง เจิ้งซูที่เงียบและไตร่ตรองมาครู่ใหญ่ๆก็ตัดสินใจพูดกับหลิวชีเฟินและชิวหยวนตงทันที “เอาสิ ข้าเห็นด้วยกับข้อเสนอของท่าน”
ได้ยินดังนั้นเหล่าผู้สนับสนุนเจิ้งซูทั่วทั้งโถงบรรพชนก็พากันตกตะลึงไปหมด
แขกที่ถูกเชิญมาเกือบจะทั้งหมดนั้นล้วนแต่เป็นพันธมิตรกับหลิวชีเฟินกันทั้งนั้น และท่ามกลางพวกเขา หอการค้ายักษ์หยวนชานที่ชิวหยวนตงดูแลอยู่นั้นก็ถือว่ามีอิทธิพลสูงสุดอีกด้วย
พวกเขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเจิ้งซูถึงยอมรับข้อเสนอนี้ได้ เห็นได้ชัดเลยว่าปลาหมอตายเพราะปากชัดๆ
อย่างไรก็ตาม เย่เย่ที่ยืนมองอยู่เงียบๆที่มุมหนึ่งของโถงบรรพชนนั้นก็ค่อยๆผลิยิ้มออกมา เขารู้แล้วว่าเจิ้งซูกำลังคิดอะไรอยู่ ดังนั้นแล้วเขาจึงค่อยๆเดินช้าๆผ่านความวุ่นวายเข้าไปยังกลางโถงบรรพชน ต่อให้เจิ้งซูไม่ได้พูดอะไร เขาก็รู้ได้ว่าตัวแทนที่เจิ้งซูจะเลือกก็คือเขานั่นแหละ
“ดีล่ะ! ในเมื่อท่านเจิ้งซูมั่นใจในตัวแทนที่เลือกมาแล้ว ข้า ชิวหยวนตงก็จะขอเสนอตนเองเป็นตัวแทนของทางฝั่งท่านหญิงเพื่อประลองกับตัวแทนของท่านเองก็แล้วกัน”
ชิวหยวนตงมองเย่เย่ที่เดินเข้ามาด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความเหยียดหยาม
ถึงแม้ว่าที่เขายอมเสนอตัวช่วยหลิวชีเฟินเพื่อผลประโยชน์ในอนาคตก็จริง แต่เขาก็คอยแบกชื่อเสียงของหอการค้ายักษ์หยวนชานไว้บนหลังตลอดด้วย หากเรื่องในครั้งนี้ผลออกมาด้วยดี ชื่อเสียงหอการค้าของเขาก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีก และท่ามกลางแขกที่มางานทั้งหมดซึ่งถูกเชิญมาโดยตระกูลเจิ้ง ชิวหยวนตงนั้นก็คิดว่าเรื่องความแข็งแกร่ง ตัวเขานั้นเป็นที่ 1 ในย่านนี้แล้ว หากใครก็ตามที่มีปัญหากับการตัดสินใจของเขา เขาก็จะใช้หมัดอันร้อนแรงของเขาสั่งสอนถึงความจริงให้คนคนนั้นรู้จะได้เลิกสงสัยอีก
“ขอบคุณท่านมากจริงๆ ตราบใดก็ตามที่ท่านนำมาซึ่งชัยชนะให้แก่ข้า ตระกูลเจิ้งจะตอบแทนท่านอย่างสาสมเลย!”
หลิวชีเฟินที่เห็นชิวหยวนตงเข้ามาช่วยสู้ให้ตน นางก็รีบโค้งทำความเคารพอีกฝ่ายด้วยความทราบซึ่งใจ และหลังจากที่เงยหน้ากลับคืนมาแล้ว หลิวชีเฟินก็หันไปมองเจิ้งซูและเย่เย่ราวกับคนเหล่านี้กำลังรนหาที่ตาย นางไม่คิดว่าพวกเขามีโอกาสที่จะชนะแม้แต่นิดเดียว
แม้หลิวชีเฟินจะไม่รู้ถึงสาเหตุที่แท้จริงที่เจิ้งซูยอมรับในข้อเสนอนี้ แต่นางก็มั่นใจในความแข็งแกร่งของชิวหยวนตงอยู่มากๆ รวมไปถึงภายในหอการค้ายักษ์หยวนชานเองก็มีสมบัติอยู่มากมาย นางไม่เชื่อหรอกว่าคนอย่างเขาจะไม่พกไม้ตายไว้บ้าง ส่วนสำหรับตัวนางในตอนนี้นั้นกำลังเห็นจุดจบของเจิ้งซูอยู่ร่ำไรแล้ว
ไม่ว่าคนภายในโถงบรรพชนจะกำลังคิดอะไรอยู่ แต่เรื่องนี้มันลามมาถึงขั้นนี้แล้วซึ่งมันแก้ไขอะไรไม่ได้อีก เพื่อไม่ให้ผู้อาวุโสทั้งสองฝ่ายต้องมาประลองกันเอง ในตอนนี้มันกลายเป็นเวทีประลองของเย่เย่และชิวหยวนตงเพื่อหาผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นไปแล้ว
ความแออัดค่อยๆกระจายออกจนเกิดเป็นพื้นที่ว่าบริเวณจุดกลางของโถงบรรพชนอีกครั้งเพื่อให้เย่เย่และชิวหยวนคงได้มีพื้นที่ประลอง เจิ้งซูนั้นไม่เคยกังวลเลยว่าเย่เย่จะชนะหรือไม่ เพราะงั้นเขาจึงถอยออกมาจากตรงกลางโถงบรรพชนเงียบๆ ทางฝั่งหลิวชีเฟินนั้นมีแววตาที่ดูจะมีชีวิตชีวาแบบสุดๆ นั่นเพราะเย่เย่สนับสนุนเจิ้งซู ดังนั้นนางจึงเกลียดเย่เย่ด้วย และนางก็หวังจะให้เขาตายคามือชิวหยวนตงไปเลย
“ข้า ชิวหยวนตง ข้าไม่เคยฆ่าใครทั้งนั้น เอาเป็นว่าข้าเอ่ยชื่อของข้าไปแล้วนะ!”
ชิวหยวนตงมองไปยังเย่เย่ด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มแปลกๆแสยะอยู่ราวกับว่าเขานั้นกุมผลลัพธ์ของการประลองครั้งนี้เอาไว้แล้ว