บทที่ 63
วิชาลับหลิงหยวน
ในเพลานี้ โจวซง ผู้เป็นใหญ่ในปราการหลิงหยวนนั้นกำลังเผชิญหน้ากับปัญหา ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สนใจเรื่องที่เกิดขึ้นกับคนภายในปราการหลิงหยวนนัก เพราะหากเขาร้อนไปกับทุกเรื่องตอนนี้ มีหวังความยิ่งใหญ่ที่สั่งสมมานานได้พังทลายลงอย่างง่ายๆแน่ ดังนั้นแล้วนี่จึงถือเป็นช่วงเวลาและโอกาสอันน้อยนิดของเหล่าผู้มีความแค้นกับปราการหลิงหยวนที่จะได้แก้แค้นเสียที
ยามใดที่ไม้ใหญ่ล่ม เหล่าฝูงลิงจะกระจัดกระจายกันไปหาต้นไม้ใหม่ แต่ยามใดที่กำแพงพังทลาย ฝูงชนจะพากันรุดหน้าเข้ามาเพื่อให้ได้ในสิ่งที่เขาหวัง โชคดีของเย่เย่ที่ปราการ หลิงหยวนนั้นสามัคคีกันทำเพื่อชื่อเสียงของพวกเขาเองก่อน ดังนั้นแล้วในช่วงนี้เย่เย่จึงไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น อย่างน้อยๆมันก็ยังมีเวลาให้แก้ปัญหาหลายๆอย่างได้
หลังจากที่ตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว เย่เย่ก็เริ่มเตรียมตนเองให้พร้อมสำหรับงานชุมนุมหลิงหยวนทันที
ด้วยความที่ช่วงนี้หอการค้าหยูเย่นั้นมีคนเข้ามาเยอะเป็นพิเศษ และเย่เย่ก็ถือเป็นเป้าหมายของเหล่าฝ่ายใหญ่ๆทั้งหลายในหลิงเฉิง ดังนั้นไม่นานนักข่าวเรื่องที่เขาปฏิเสธการเข้าร่วมกับประตูเพลิงสวรรค์และเฉินอี้ตันก็แพร่กระจายไปจนเกือบจะทั่วเมืองแล้ว
บางคนนั้นคิดว่าเย่เย่ปฏิเสธที่จะถูกปกครองโดยคนอื่นในขณะที่คนส่วนมากกลับมองว่าเย่เย่นั้นมีปัญหากับสมอง เพราะไม่ว่าจะเป็นประตูเพลิงสวรรค์หรือหอการค้าตันเซียงต่างก็ล้วนเป็น 1 ใน 5 ฝ่ายใหญ่ของหลิงเฉิงกันทั้งนั้น การได้รับความช่วยเหลือจากฝ่ายเหล่านี้ถือว่าสำคัญกับเย่เย่ในตอนนี้มากๆ แต่ท้ายสุดเย่เย่ก็ปฏิเสธพวกเขา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่เฉินอี้ตันผู้เป็นผู้อาวุโสสูงสุดแห่งหอการค้าตันเซียงเป็นฝ่ายเอ่ยปากชวนเองเช่นนี้ หลายต่อหลายคนนั้นต่างใฝ่ฝันถึงแต่ไม่มีโอกาส ทว่าเย่เย่กับปฏิเสธอย่างเดียวเลย ใครก็ตามที่รู้เรื่องต่างก็ตกใจไปตามๆกันและอิจฉาเย่เย่พร้อมๆกันด้วย พวกเขาจึงเริ่มจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเย่เย่และหอการค้าตันเซียงครุกรุ่น โดยหวังว่าจะทำให้เย่เย่อยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกบ้าง
อย่างไรก็ตาม เฉินอี้ตันแห่งหอการค้าตันเซียงก็ยังมีความหวังเล็กๆน้อยๆว่าเย่เย่จะกลับใจอยู่ ดังนั้นเขาจึงไม่เลิกที่จะมองเย่เย่ในแง่ดีซึ่งเขานั้นเป็นคนบอกเหล่าศิษย์ของเขาเองในหอการค้าตันเซียงว่าให้เลิกพูดเรื่องของเย่เย่เสียที
ในส่วนของสำนักประตูเพลิงสวรรค์นั้น เหล่าศิษย์เกือบจะทุกคนมองเย่เย่เป็นศัตรูกันไปหมดแล้วเพราะเซียงเฉิงหลงผู้ที่โดนเตะกระเด็นออกจากร้านนั้นใส่สีเติมแต่งเพื่อทำให้ เย่เย่เสื่อมเสีย จนบางคนก็คิดจะสั่งสอนบทเรียนให้เย่เย่ในงานชุมนุมหลิงหยวนที่กำลังจะจัดขึ้นนี้ พวกเขาตั้งใจจะสั่งสอนให้ เย่เย่ต้องจดจำไปจนวันตายเลย
เย่เย่ผู้ตกเป็นจำเลยสังคมนั้นหาได้สนใจสิ่งที่คนนอกพูดถึงเขาแต่อย่างใดแถมยังส่งคนไปลงทะเบียนเข้าร่วมงานชุมนุม หลิงหยวนขณะที่ตัวเขาเองยังง่วนอยู่กับการฝึกฝนฝ่ามือคลื่นพิโรธอีกด้วย
งานชุมนุมหลิงหยวนนั้นจะถูกจัดขึ้นในอีก 3 วันข้างหน้าแล้ว ดังนั้นเหล่าฝ่ายใหญ่ๆในหลิงเฉิงจึงเริ่มลดความสนใจในตัวเย่เย่ลง แม้แต่ปราการหลิงหยวนที่เป็นศัตรูกับเย่เย่เองยังง่วนอยู่กับการเตรียมงานที่ตนเป็นเจ้าภาพเพื่อให้ออกมาอย่างไร้ที่ติ ด้วยเหตุนี้เองช่วงนี้หอการค้าหยูเย่จึงสงบสุขอยู่เรื่อยๆ
ทุกๆคนที่ลงสมัครเข้าร่วมงานชุมนุมหลิงหยวนแต่ละคนล้วนแต่ต้องการผลลัพธ์ที่ดีกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงเริ่มกักตุนอาวุธและยาชั้นยอดเสียตั้งแต่เนิ่นๆ ด้วยเหตุนี้เองหอการค้าหยูเย่จึงสามารถสร้างเม็ดเงินมหาศาลจากการที่ของในร้านแต่ละอย่างนั้นล้วนแต่มีประสิทธิภาพอยู่ในระดับสูงกันทั้งหมด ทุกๆวันที่โถงค้าขายก็จะมีลูกค้าเข้ามาเต็มแน่นจนขายของกันแทบไม่ทันเลยทีเดียว
วันหนึ่ง จู่ๆก็มีชายชุดดำปรากฏตัวขึ้นมาที่หน้าประตูทางเข้าของหอการค้าหยูเย่
เห็นดังนั้นซูฉีเจี่ยก็รีบเข้าไปประกบคนคนนั้นเอาไว้พร้อมทั้งผายมือต้อนรับอย่างสุภาพ “มีอะไรให้ข้าช่วยไหมขอรับ?”
เวลาที่ซูฉีเจี่ยอยู่เวรนั้น เขาค่อนข้างจะตาไวกับลูกค้าทุกคนมากๆ ดังนั้นเมื่อเห็นว่าชายชุดดำคนนี้ดูแล้วน่าจะต้องจับตามอง ในจังหวะที่ก่อนที่อีกฝ่ายจะได้แสดงท่าทีผิดปกติออกมามากกว่านี้ ซูฉีเจี่ยก็เข้าประชิดตัวอีกฝ่ายไปแล้ว
“พาข้าไปหาเจ้าของของหอการค้าแห่งนี้แล้วบอกเขาว่าข้ามีเรื่องสำคัญบางอย่างที่จำเป็นต้องคุยกับเขา”
ชายชุดดำคนนั้นไม่ได้พูดอ้อมค้อมแต่อย่างใด เขาบอกซูฉีเจี่ยไปตรงๆว่าเขาต้องการพบเย่เย่ อย่างไรก็ตาม ซูฉีเจี่ยนั้นไม่สามารถปล่อยให้เขาไปหาเย่เย่ได้อย่างง่ายๆ แต่เลือกที่จะถามต่ออย่างสุภาพ “ตอนนี้ท่านเย่อยู่ในช่วงเวลาส่วนตัว ไม่สะดวกให้ใครรบกวนทั้งนั้น หากท่านมีอะไรสำคัญที่จะบอกกับท่านเย่ ท่านสามารถบอกข้าได้นะขอรับ แล้วข้าจะไปรายงานให้!”
เขามองไปยังซูฉีเจี่ยและไม่ได้ตั้งใจจะบอกอะไรแก่ ซูฉีเจี่ยในเรื่องนี้เพิ่มนอกจากย้ำประโยคเดิมด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เจ้าแค่ไปบอกนายของเจ้า ว่าเขาและข้ามีศัตรูเป็นกลุ่มเดียวกัน!”
ทันทีที่ได้ยิน แววตาของซูฉีเจี่ยก็เบิกโพลงและมองคนตรงหน้าด้วยความร้อนรุ่มใจ “เช่นนั้นช่วยรอสักครู่นะขอรับ ข้าจะรีบกลับมา!”
ซูฉีเจี่ยรีบไปบอกเสี่ยวหยูถึงเรื่องนี้ และเสี่ยวหยูก็รีบวิ่งไปยังสวนด้านหลังเพื่ออธิบายให้เย่เย่ฟัง ไม่นานนักเย่เย่ก็ให้ ซูฉีเจี่ยพาตัวชายชุดดำเข้ามาหาเขาด้านหลัง
“เจ้าไปออกไปก่อน ขอข้าอยู่กับเขาตามลำพัง”
สิ้นเสียงเย่เย่ ซูฉีเจี่ยก้รีบเดินออกจากที่แห่งนั้นและปล่อยให้เย่เย่เผชิญหน้ากับชายชุดดำโดยลำพังทันที
ถึงแม้ว่าตัวเขานั้นจะมีหน้าที่เป็นยามประจำการที่หอการค้าหยูเย่แห่งนี้เพื่อคอยดูแลรักษาความปลอดภัยก็จริง แต่คนเดียวภายในหอการค้าหยูเย่ผู้ที่ไม่จำเป็นต้องให้เขาปกป้องนั้นก็คือเย่เย่ เช่นนั้นแล้วซูฉีเจี่ยจึงไม่ได้กังวลเรื่องความปลอดภัยของเย่เย่อยู่แล้ว
“ไหน ลองว่าจุดประสงค์ของเจ้ามาซิ”
ภายหลังจากที่ซูฉีเจี่ยออกไปแล้ว เย่เย่ก็ไม่ได้ให้ชายชุดดำเปิดหน้าแต่อย่างใด แต่เขาเลือกที่จำถามจุดประสงค์ของอีกฝ่ายไปตรงๆเลย
ชายชุดดำเพียงแค่หัวเราะและไม่ได้ตอบคำถามในทันที นอกจากนั้นเขายังหาที่นั่งและถามเย่เย่กลับด้วย “เจ้ารู้หรือเปล่าว่าทำไมปราการหลิงหยวนถึงได้กลายมาเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดา 5 ฝ่ายในหลิงเฉิง?”
“ถ้าเจ้ามีอะไรจะพูดก็พูดออกมาเลย!”
เย่เย่ขมวดคิ้วและแสดงให้เห็นว่าเขาไม่พอใจกับท่าทีที่ทำเหมือนความลับเยอะของชายชุดดำผู้นี้ หากไม่ใช่เพราะตัวเขานั้นยังสงสัยในเรื่องที่อีกฝ่ายจะพูดอยู่ ป่านนี้คงเรียกให้ซูฉีเจี่ยมาลากคอออกไปแล้ว
ซึ่งทางชายชุดดำเองก็ไม่ได้พอใจกับท่าทีของเย่เย่เสียเท่าไหร่หรอก กระนั้นแล้วเขาก็เพียงตอบคำถามที่เขาเพิ่งจะถามไปเองแทน “นอกจากจะเป็นสถานที่ที่ดูแลเหล่าผู้มีความสามารถทั้งหลายอย่างดีจนกลายเป็นจุดที่ดึงดูดให้เหล่าผู้มีความสามารถสมัครเข้าไปเป็นศิษย์ภายในแล้ว พวกเขายังมีกระบวนท่าลับที่จัดเตรียมไว้ให้เหล่าเทพยุทธ์ทั้งหลายได้ฝึกกันอีกด้วย”
“มันเป็นกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่รวมเอาพลังกายและกระบวนท่าเข้าด้วยกัน เทพยุทธ์คนใดก็ตามที่ฝึกฝนกระบวนท่านี้สำเร็จก็จะสามารถรับมือกับการต่อสู้ที่เสียเปรียบเรื่องจำนวนได้อีกด้วย ถือเป็นสมบัติล้ำค่าประจำปราการหลิงหยวนเลย ตราบใดก็ตามที่ศิษย์คนนั้นๆก้าวเข้าสู่การเป็นเทพยุทธ์ พวกเขาจะสามารถฝึกวิชานี้ได้อย่างไม่มีข้อยกเว้น ด้วยเหตุนี้ผู้มีพรสวรรค์มากมายจึงอยากจะเข้าไปเรียนรู้ถึงแก่นแท้วิชานี้กันทั้งหมด”
เมื่อชายชุดดำพูดมาถึงจุดนี้ น้ำเสียงของเขาก็เผยให้สัมผัสได้ถึงความกลัวที่ปกปิดไม่นิด ทางฝั่งเย่เย่ก็รู้สึกประหลาดใจพร้อมกับตระหนักได้ว่าศัตรูของเขานั้นแข็งแกร่งกันขนาดไหน
แม้ว่าเขาจะเคยได้ยินมาบ้างว่าหลิงหยวนนั้นมีกระบวนท่าลับอยู่ กระนั้นแล้วก็ไม่เคยได้ยินเสียทีว่ามันคืออะไร ดังนั้นแล้วเย่เย่จึงไม่มั่นใจนักว่าชายชุดดำตรงหน้าเขานี่รู้เรื่องนี้มาจากไหนแต่เขาก็เข้าใจได้ว่าชายตรงหน้านี้ต้องเป็นศัตรูกับปราการ หลิงหยวนอยู่เช่นกัน
“แล้วที่มาวันนี้คือเจ้าอยากจะร่วมมือกับข้าเพื่อจัดการกับปราการหลิงหยวนงั้นเหรอ?”
เย่เย่ไม่รู้ว่าคนคนนี้มีความบาดหมางกับปราการ หลิงหยวนถึงขนาดไหน แต่ในเมื่อเขายอมพูดข้อมูลที่เป็นประโยชน์เช่นนี้ให้ฟังแล้ว หากชายชุดดำคนนี้ต้องการจะร่วมมือกับเขาล่ะก็ เขาก็ไม่ปฏิเสธหรอกนะ
ทว่าหลังจากที่ได้ยินคำถามของเย่เย่ ชายชุดดำก็ไม่ได้ทั้งพยักหน้าหรือส่ายหน้าแต่อย่างใด กลับกันเขาก็เลือกที่จะหยิบเอาตำราเล่มหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อและส่งมันให้เย่เย่ก่อนจะพูด “นี่คือตำรากระบวนท่าหลิงหยวน หากเจ้าคิดจะสู้กับศิษย์จากปราการหลิงหยวนในอนาคต ข้าเชื่อว่าสิ่งนี้จะต้องช่วยเจ้าได้มากเลยทีเดียว”
หลังจากที่รับตำราเล่มนั้นมาแล้ว สีหน้าของเย่เย่ก็ดูจะแบกรับความกดดันแปลกๆขึ้นมา
เขาปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสิ่งที่ถูกจดบันทึกไว้ในตำราเล่มนี้นั้นมีประโยชน์มากๆ ถ้าหากเย่เย่สามารถทำความเข้าใจถึงหัวใจหลักของกระบวนท่านี้ได้ มันก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะฝึกฝนวิชานี้ให้สำเร็จ ทว่าตัวเย่เย่กลับไม่สามารถรับตำราเล่มนี้ไว้ด้วย เขาเพียงอ่านแค่นิดหน่อยและส่งมันคืนให้ชายชุดดำดังเดิม
“ไม่มีรางวัลสำหรับคนไม่ทำงาน! ข้าไม่สามารถรับตำรานี่จากเจ้าได้โดยที่ยังไม่รู้ถึงจุดประสงค์ที่เจ้าทำเช่นนี้”
ถึงสีหน้าจะดูหลงใหลตำราเล่มนี้มากขนาดไหน แต่เย่เย่ก็ยังคงพึ่งสัญชาตญาณของตนเองอยู่ดี ชายชุดดำคนนี้ดูน่าสงสัยไปหมดจนทำให้เขานึกถึงเฉินอี้ตันขึ้นมา
โจวซง ผู้ปกครองแห่งปราการหลิงหยวนนั้นว่ากันว่าถูกศัตรูลึกลับคอยสกัดไว้ทำให้ไม่สามารถลงไม้ลงมือกับคนที่เป็นศัตรูกับในตอนนี้ได้ ซึ่งผลของมันก็ทำให้เหล่าลูกศิษย์ในปราการหลิงหยวนไม่ได้กระทำการใดๆด้วย แล้วถ้าหากศัตรูที่ว่าของโจวซงนั้นคือชายชุดดำคนนี้จริงๆหรือผู้ที่กำลังสมคบคิดกับคนคนนี้ บางทีเย่เย่และพวกเขาอาจจะได้เป็นพันธมิตรกันจริงๆ
กระนั้นแล้วเย่เย่ก็ไม่ได้คิดจะตกลงปลงใจกับอะไรง่ายๆถ้ายังไม่รู้เรื่องใดๆเลย แม้ตำรากระบวนท่าลับหลิงหยวนนั้นจะมีประโยชน์สำหรับตัวเขามากๆ แต่ต่อให้ไม่มีตำราเล่มนี้ เย่เย่ก็ยังมั่นใจว่าตัวเขาจะสามารถรับมือกับพวกปราการหลิงหยวนได้อยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้น ในตอนนี้สิ่งที่เขาสนใจมากที่สุดก็คือตัวตนของชายชุดดำคนนี้นี่แหละ ดังนั้นเย่เย่จึงเลือกที่จะยังไม่รับตำรานี้มาจนกว่าจะได้รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของอีกฝ่ายก่อน
“ช่างแปลกคนจริงๆ เจ้าเป็นพวกไม่สะดวกใจรับของโดยไม่มีสิ่งใดตอบแทนสินะ?”
ชายชุดดำมองมายังเย่เย่ด้วยความประหลาดใจ หลังจากที่ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พูดกับเย่เย่อีกครั้ง “เจ้าถามว่าข้าต้องการจะร่วมมือกับเจ้าเพื่อจัดการกับปราการหลิงหยวนหรือเปล่าใช่ไหม? ข้าบอกเจ้าได้เพียงแค่ว่า เจ้าในตอนนี้ยังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะร่วมมือกับพวกข้าหรอก! ดังนั้นข้าถึงได้นำตำราวิชาลับหลิงหยวนมาให้เจ้าได้ศึกษาไว้เพื่อต่อกรกับเหล่าศิษย์ของปราการหลิงหยวน ซึ่งตัวข้านั้นหวังว่าเจ้าจะสามารถดึงดูดคนที่มีอุดมการณ์เดียวกันจากหลิงเฉิงให้ได้มากกว่านี้ เพียงเท่านั้น”
น้ำเสียงของอีกฝ่ายนั้นตรงไปตรงมาและไม่ได้แฝงไปด้วยความมุ่งร้ายแต่อย่างใด ซึ่งมันทำให้ความร้อนรุ่มของเย่เย่นั้นลดลงไปอย่างรวดเร็ว รวมไปถึงความอคติก่อนหน้าที่มีให้กับชายชุดดำด้วย ในเมื่อเขาไม่ต้องการจะบอกถึงจุดประสงค์ที่แท้จริง เย่เย่ก็ขี้เกียจจะสืบหาต่อ
“ถ้าเช่นนั้นรอข้าตรงนี้ก่อน ข้าจะไปหาบางสิ่งบางอย่างมาให้”
เย่เย่พูดกับชายชุดดำก่อนจะกลับไปยังห้องของเขาเอง
เห็นดังนั้นชายชุดดำก็ไม่ได้คิดมาก แน่นอนว่าเขาเข้าใจว่าเย่เย่คงจะไปหาสิ่งของในคลังสมบัติของหอการค้าหยูเย่มาเพื่อแลกเปลี่ยนกับตำราเล่มนี้แน่ๆ เพราะยังไงเสียสิ่งนี้ก็เปรียบเสมือนได้กับกุญแจที่ไขความลับของปราการหลิงหยวนให้เขาได้เลย ถ้าหากไม่ใช่เพราะคนเหล่านี้ตั้งใจจะจัดการโจวซงในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ พวกเขาอาจจะไม่นำสิ่งนี้ออกมาให้เย่เย่แบบไม่มีข้อแลกเปลี่ยนเลยก็ได้
หลังจากที่เย่เย่กลับไปยังห้องของตนแล้ว เขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือของเขาขึ้นมาและเข้าไปยังหน้าอาวุธและสิ่งของเครื่องใช้ เขาใช้เหรียญจักรวาลจำนวน 700 เหรียญในการแลกเปลี่ยนอาวุธระดับสูงสำหรับเหล่าเทพยุทธ์ออกมา ไม่นานนักเขาก็ออกไปจากห้องส่วนตัวพร้อมกับดาบเล่มหนึ่งที่คิดว่ามันน่าจะมีค่าพอที่จะแลกเปลี่ยนกับตำราวิชาลับหลิงหยวนของชายชุดดำได้
ดาบสะบั้นกะโหลกนั้นถือเป็นดาบที่มีพลังร้ายกาจมากๆเมื่อเทียบกับฝ่ามือคลื่นพิโรธระดับสูงที่เย่เย่กำลังพยายามฝึกฝนอยู่ ณ ปัจจุบันนี้ ตามแผนเดิมคือถ้าหากเย่เย่ไม่ได้ฝึกฝนฝ่ามือคลื่นพิโรธในระดับสูงให้สำเร็จได้ก่อนวันที่งานชุมนุมหลิงหยวนถูกจุดขึ้น เขาก็จะแลกเอาดาบสะบั้นกะโหลกนี้ออกมาช่วยเสริมพลัง
แต่ในตอนนี้เย่เย่มั่นใจ 100% แล้วว่าเขาสามารถสำเร็จกระบวนท่าฝ่ามือคลื่นพิโรธได้อย่างทันเวลาแน่นอน ดังนั้นแล้วตอนนี้เขาไม่ต้องการดาบสะบั้นกะโหลกอีกต่อไป อนึ่งความรู้ความเข้าใจของเขาเกี่ยวกับวิชาดาบของเย่เย่นั้นยังไม่ถึงระดับที่สามารถดึงพลังของดาบสะบั้นกะโหลกออกมาได้ทั้งหมดแถมการใช้ดาบมันยังทำให้เย่เย่รู้สึกว่ามือไม่ว่างเหมือนกับสู้ด้วยมือเปล่าด้วย