บทที่ 75
เล่ห์เหลี่ยม
หลังจากที่เย่เย่เอาชนะเฉินเทียนหนานลงได้ เย่เย่คาดการณ์ว่าปราการหลิงหยวนที่ขาดเสาหลักค้ำจุนต้องยอมพักศึกกับเขาไปสักระยะหนึ่งเพื่อจัดการกับปัญหารอบด้านก่อน แต่จากการโจมตีสายฟ้าแลบของหอการค้าหยวนเชินนั้น เย่เย่ก็ได้ตระหนักว่าการอ่านรูปการณ์ของเขานั้นยังอ่อนหัดนัก
แม้ว่าศึกระหว่างหอการค้าหยวนเชิน กับหอการค้าหยูเย่ของเขาจะเป็นเพียงสงครามเย็นขนาดย่อมๆ แต่เขาก็รับรู้ได้ว่าปราการหลิงหยวนไม่ได้ต้องการแค่ตอดเล็กตอดน้อยเป็นแน่ เขาจึงตัดสินใจนำรายได้จากการประมูลเพื่อวางรากฐาน และตระเตรียมหอการค้าของเขาให้พร้อมสรรพ
นอกจากนั้นเพื่อขยายอำนาจของหอการค้า เย่เย่จึงส่งกองกำลังของซูฉีเจี่ยไปทวงสัญญาที่เขาเคยเดิมพันกับตงเหรินเจ้าของหอการค้าตงอี้ฉีหยวน
“ซูฉีเจี่ย เจ้าหมายความว่ายังไง!? พวกเจ้าเป็นศัตรูทั้งกับปราการหลิงหยวน ไหนจะหอการค้าหยวนเชินอีก!? จะให้ข้ากล้าเซ็นสัญญารับข้อเสนอพวกเจ้าได้ยังไงกัน?”
ตงเหรินที่แกล้งทำเป็นไขสือ ดูเหมือนว่าจะไม่ยอมเซ็นสัญญาที่อาจทำให้หอการค้าของเขาตกอยู่ในที่นั่งลำบากแต่โดยดี อย่างไรก็ตามซูฉีเจี่ยที่เพิ่งบรรลุขั้นเทพยุทธ์ได้หมาดๆ และกำลังหาที่ระบายอารมณ์ของเขาอยู่นั้น ไม่ได้สนใจคำปฏิเสธของตงเหรินเลยแม้แต่น้อย
“เถ้าแก่ตง หวังว่าท่านคงไม่ลืมสัญญาที่ท่านให้ไว้กับท่านเย่ว่าหากหอการค้าหยูเย่ เจริญเติบโตทัดเทียมกับหอการค้าของท่านภายใน 3 เดือน ท่านจะยอมยุบหอการค้าของท่านรวมกับหอการค้าหยูเย่ของพวกข้าหรอกนะ!”
ซูฉีเจี่ยได้นำกองกำลังเจ้าวรยุทธ์รวม 9 นายของเขาเข้าปิดล้อมหอการค้าตงอี้ฉีหยวน พร้อมกับเหล่าลูกจ้างภายในจำนวนหนึ่ง มาทวงสัญญาแทนเย่เย่ผู้เป็นนายของพวกเขาในทันที
ก่อนที่ซูฉีเจี่ยและพรรคพวกของเขาจะเข้าบุกรุกหอการค้าตงอี้ฉีหยวนนั้น พวกเขาได้ประเมินกำลังของอีกฝ่าย และวางแผนอย่างละเอียดรอบคอบแล้ว นั่นทำให้ซูฉีเจี่ยมั่นใจเป็นอย่างมากว่าเขาจะสามารถบีบบังคับให้ตงเหรินรักษาสัญญาได้อย่างไม่มีบิดพลิ้ว
ตงเหรินที่ถูกกดดันให้เซ็นสัญญาก็ได้ปฏิเสธเสียงแข็งออกมาอีกครั้งหนึ่ง
“ท่านซูฉีเจี่ย ท่านไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นั้น วันนั้นข้ากับท่านเย่แค่หยอกล้อกันเล่นเท่านั้น ยังไงซะข้าจะให้พวกท่านคนละ 10,000 ตั๋วทองเพื่อเป็นการแสดงความยินดีกับความสำเร็จของพวกท่าน เพราะงั้นพวกท่านช่วยใจเย็นๆและกลับไปซะเถอะนะ ข้าขอร้อง!”
ตงเหรินที่ทำตัวไม่ถูกก็ได้แต่พยายามเจรจาอย่างประนีประนอม แต่ซูฉีเจี่ยนั้นไม่ใช่คนที่จะถูกซื้อได้ด้วยเงินอยู่แล้ว เขาจึงถามตงเหรินอย่างตรงไปตรงมา
“ข้าไม่สนหรอกนะว่าท่านจะเป็นใคร หรือใหญ่มาจากไหน แต่ข้าขอถามท่านเป็นครั้งสุดท้ายว่าเงิน 10,000 ตั๋วทองนั้นคือคำตอบของท่านใช่หรือไม่?” ซูฉีเจี่ยพูดด้วยน้ำเสียงที่ไร้เยื่อใย
ถึงแม้หอการค้าหยูเย่ของพวกเขาจะไม่ใช่หอการค้าอันดับต้นๆของหลิงเฉิง แต่ก็ไม่มีใครไม่รู้จักพวกเขาเลยสักคนเดียว แม้แต่หอการค้าตงอี้ฉีหยวนที่เคยถืออำนาจมากกว่าก็ตกเป็นรองหอการค้าหยูเย่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของขุมกำลัง หรือในแง่ของการค้าขายหอการค้าตงอี้ฉีหยวนก็เทียบเคียงหอการค้าหยูเย่ไม่ได้อีกต่อไป และต่อให้เถ้าแก่ตงเหรินจะเหลี่ยมจัดสักเพียงไหนพวกเขาก็ไม่หลงกลโดยง่าย และยังคงเรียกร้องให้ตงเหรินรักษาสัญญาที่เคยให้ไว้
“เหอะ! อย่าได้เหิมเกริมไปหน่อยเลย! จะบอกอะไรให้เอาบุญละกันนะ หอการค้าหยูเย่ของพวกเจ้าน่ะยังมีอุปสรรคมากมายที่พวกเจ้าต้องเผชิญ!! ไม่ใช่แค่ปราการหลิงหยวนเท่านั้น แต่ขั้วอำนาจทั้งห้าไม่ยอมให้พวกเจ้าเจริญงอกงามในเมืองของพวกเขาง่ายๆหรอก! เรื่องที่หอการค้าของข้าจะรวมกับพวกเจ้าน่ะ ข้าแค่หยอกเถ้าแก่ของพวกท่านเล่นเท่านั้นเอง อย่ามาใช้กำลังบังคับคนแก่กันแบบนี้เลยนะ”
ตงเหรินที่ถูกยั่วยุโดยคำพูดของซูฉีเจี่ย ก็ได้แสดงความไม่พอใจ และทำทีราวกับว่าตัวเองเป็นเหยื่อเสียเอง เขาตั้งใจจะกดดันให้ซูฉีเจี่ยล้มเลิกความตั้งใจ และถอนกำลังกลับไปให้เร็วที่สุด
ผู้คนที่เดินขวักไขว่อยู่แถวนั้น เมื่อได้ยินบทสนทนาดังกล่าวก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของหอการค้าหยูเย่โดยไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้สักนิด อย่างไรก็ตาม ซูฉีเจี่ยนั้นมีหลักฐานเด็ดเกี่ยวกับสัญญาระหว่างเย่เย่ และตงเหริน เขาได้นำออกมาแสดงให้เห็นเป็นที่
ประจักษ์ต่อหน้าจีนมุงเหล่านั้น เมื่อฝูงชนได้ล่วงรู้ความจริง สถานการณ์ก็ได้พลิกกลับจากหน้ามือเป็นหลังเท้าในทันควัน
“สมน้ำหน้าตาแก่ตงเหริน หลักฐานคาตาขนาดนี้ยังกล้าบิดพลิ้วอีกนะ!”
“เป็นผู้เฒ่าผู้แก่แท้ๆ แต่ไม่รักษาสัญญาเลยเนี่ยนะ หน้าด้านจริงๆ!”
“เขาเรียกเวรกรรมตามทันล่ะสินะแบบนี้”
แม้แต่ลูกจ้างของตงเหรินเองเมื่อได้รู้ความจริงพวกเขาก็ผิดหวังในตัวนายจ้างของพวกเขาไปตามๆกัน
ใบหน้าของตงเหรินที่ตกเป็นจำเลยของสังคมในขณะนี้ก็เริ่มมีสีแดงก่ำ เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตอนนี้เขาโกรธหรือขายหน้าอยู่กันแน่ แผนในการเรียกคะแนนจากสังคมของเขาพังทลายลงอย่างไม่เป็นท่า
“มารังแกคนแก่เช่นข้า เจ้าไม่ละอายแก่ใจบ้างเรอะ!? เห็นทีว่าคนแก่อย่างข้าต้องสอนมารยาทให้คนหนุ่มสาวอย่างพวกเจ้าบ้างสินะ” ตงเหรินที่อับจนหนทางเขาจึงเรียกกำลังเสริมของเขาออกมาเผชิญหน้ากับซูฉีเจี่ยและพรรคพวก
ตงเหรินนั้นไม่ได้มีความจริงใจให้กับเย่เย่เป็นทุนเดิม เขาไม่คาดคิดว่าเย่เย่จะชนะพนันเขาด้วยซ้ำ และต่อให้เย่เย่ชนะเดิมพันหัวเด็ดตีนขาดยังไงเขาก็ไม่ยอมรวมกลุ่มกับเย่เย่เด็ดขาด
ในหัวของตงเหรินตอนนี้มีแต่จะเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้ และจะหนีไปพึ่งใบบุญของปราการหลิงหยวนให้ได้
นอกจากซูฉีเจี่ยที่บรรลุเทพยุทธ์แล้วนั้น ผู้ติดตามอีกแปดคนของเขายังเป็นแค่จ้าววรยุทธ์ทั่วๆไป นอกจากนี้ยังมีจำนวนน้อยกว่าจ้าววรยุทธ์ฝั่งหอการค้าตงอี้ฉีหยวนเสียอีก ตงเหรินที่เห็นว่าได้เปรียบเรื่องจำนวนคนเขาก็เริ่มพูดจาหยิ่งยโสโอหังขึ้นมาทันที
“ถ้าเจ้ายังไม่ยอมถอยกลับไป และยืนกรานที่จะสู้กับพวกข้าให้ได้ละก็ ข้าก็ไม่รับประกันความปลอดภัยของพวกเจ้าล่ะนะ!”
ซูฉีเจี่ยผู้มีบุคลิกสุขุมเยือกเย็นได้ยินดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา เขาไม่นึกเลยว่าเขาจะถูกข่มขู่จากคนที่อ่อนแอกว่าอย่างตงเหรินแบบนี้ ก่อนที่เขาจะมองไปที่ตงเหรินและพูดยั่วยุขึ้นมา
“ย่อมได้ ! พวกเจ้าหน้าไหนที่ไม่รักชีวิตแล้วก็ดาหน้าเข้ามาได้เลย!”
“โอหัง! ท่าทีแบบนั้นเจ้ายังคิดว่าเจ้าเป็นซูฉีเจี่ยอัจฉริยะแห่งปราการหลิงหยวนอยู่อีกหรือไง? ดูเหมือนว่าเจ้าจะสติฟั่นเฟือนแล้วล่ะนะ”
ทันใดนั้นเองซูฉีเจี่ยก็เคลื่อนไหวเข้าหาตงเหรินอย่างรวดเร็วราวกับมวลอากาศรอบๆตัวเขาจะระเบิดออกมา
“ระ…เร็ว!? นี่เจ้าบรรลุขั้นเทพยุทธแล้วอย่างงั้นเรอะ!?”
ตงเหรินที่เผชิญหน้ากับซูฉีเจี่ยในระยะประชิดโดยที่ไม่ทันตั้งตัว ก็รับการโจมตีของซูฉีเจี่ยเข้าไปเต็มๆจนกระอักเลือด และกระเด็นออกไป ซูฉีเจี่ยไม่รอช้าเขาชักดาบเหล็กดำและพุ่งเข้าหา
ตงเหรินอีกครั้งอย่างไร้ความปรานี
ซู่มมมมม!
วิถีการฟันของเขาแหวกอากาศเป็นคลื่นพุ่งเข้าหา ตงเหรินด้วยความเร็วสูง ตงเหรินที่เหลือสติสัมปชัญญะอยู่บ้างก็เอี้ยวตัวหลบคลื่นคมดาบนั่นได้ทันท่วงที
“ใจเย็นพ่อหนุ่ม ไม่มีประโยชน์เลยที่เราจะมาห้ำหั่นกันเยี่ยงนี้!? ทำไมเราไม่ค่อยๆจิบน้ำชาแล้วพูดคุยเกี่ยวกับข้อตกลงกันต่อสักหน่อยล่ะ?” เฒ่าเหลี่ยมจัดเห็นว่าขืนต่อสู้ไปมากกว่านี้เขาได้ตายจริงๆแน่ เขาจึงพยายามต่อรองถ่วงเวลาเพื่อหาทางหนี
“เซ็นสัญญาซะ นี่คือทางออกสุดท้ายของท่าน!!”
ซูฉีเจี่ยไล่ตามตงเหรินพลางจัดการลูกน้องของเฒ่าชราลงทีละคน โดยหวังจะรีบปิดบัญชีนี้ให้เร็วที่สุด
“ใครฆ่าซูฉีเจี่ยได้ ข้าจะให้คนละ 800,000 ไม่สิเอาไปเลย 1 ล้านตั๋วทอง!!”
ตงเหรินที่ลุกลี้ลุกลนรีบสั่งลูกน้องที่เหลืออยู่ของเขาให้มาหยุดยั้งความบ้าคลั่งของซูฉีเจี่ย เขาไม่เชื่อว่าผู้ที่เพิ่งฟื้นคืนวรยุทธ์คืนกลับมาไม่นานอย่างซูฉีเจี่ยจะรับมือจ้าววรยุทธ์นับสิบคนของเขาไหว แต่หลังจากนั้นได้ไม่นานสีหน้าของตงเหรินก็ถอดสีด้วยความหวาดกลัว…