บทที่ 96
การเผชิญหน้าของเทพอสูร
สาเหตุที่เย่เย่ไม่ลงมือฆ่าผู้อาวุโสทั้งสามแห่งตระกูลเจิ้งในทันทีเพราะเขาต้องการให้ทั้งสามรับบทลงโทษที่สาสมกับการกระทำอันต่ำช้าของพวกเขา เย่เย่จึงส่งไม้ต่อให้เจิ้งซูและปล่อยให้เด็กหนุ่มเป็นผู้กำจัดมะเร็งร้ายด้วยสองมือของเขาเอง
สำหรับเจิ้งเฉิงที่ตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับเจิ้งซูมาโดยตลอดนั้นเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะทำใจยอมรับการประหารจากเด็กผู้ที่เขาเกลียดเข้าไส้ได้ แต่นี่ก็เป็นผลกรรมจากการที่หักหลังจ้าวตระกูล
“แล้วเจ้าจะต้องเสียใจ!”
“ท่านโจวไท่ต้องมาล้างแค้นให้พวกเราแน่!”
ความพยายามดิ้นรนไต่เต้าจนกลายมาเป็นผู้บริหารตระกูลของพวกเขาทั้งสามต้องพังทลายลงเพียงเพราะเจ้าตระกูลเชื่อคนนอกมากกว่าพวกตน ดวงตาของพวกเขาทั้งสามจึงเต็มไปด้วยความเกลียดชัง และความคับแค้นใจอย่างหาที่สุดมิได้ เย่เย่เหลือบตามองวาระสุดท้ายของพวกเขาด้วยสายตาเหยียดหยาม ก่อนพูดขึ้นอย่างไร้ความปรานี “ไปเจอกันในนรก!”
“ไปเจอกันในนรกงั้นรึ?”
น้ำเสียงเยือกเย็นดังขึ้นแทรกคำพูดของเย่เย่จากด้านหลัง ทำให้แผ่นหลังของเขาสั่นสะท้าน
ฟู่ววววววววววว
เสียงแรงลมกระโชกแรงราวกับจะทำให้เกิดพายุขนาดย่อมๆพุ่งเข้าหาเย่เย่อย่างรวดเร็ว เขาไหวตัวทันและหันกลับไปตั้งรับการโจมตีทีเผลอของโจวไท่ได้ทันท่วงที
ตู้มมมมมมมมมม!
มวลอากาศโดยรอบระเบิดออกจากการปะทะกันของทั้งสองเทพอสูร ผู้คนที่อยู่บริเวณนั้นตั้งตัวไม่ทันจึงล้มลงอย่างระเนระนาดจากแรงลม แม้ว่าเทพอสูรไร้เงานั้นจะสามารถควบคุมลมปราณได้อย่างใจนึก แต่สำหรับเย่เย่ที่เพิ่งสำเร็จวิชาได้ไม่นานทำให้เขายังไม่เชี่ยวชาญศาสตร์นี้มากนัก
“รุนแรงอะไรอย่างนี้!?”
เย่เย่ที่ตั้งรับการโจมตีอันรุนแรงของโจวไท่ ก็ถอยออกไปหลายก้าวเพื่อตั้งหลักและปรับสมดุลพลังของเขาให้เตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ แม้ว่าพวกเขาทั้งสองจะเคยพบกันครั้งแรก แต่ เย่เย่เคยเห็นรูปลักษณ์ของโจวไท่ผ่านภาพวาดมาก่อน
จากการโจมตีของโจวไท่เมื่อสักครู่ทำให้เย่เย่ตระหนักขึ้นได้ว่าโจวไท่นั้นแข็งแกร่งกว่าเขาอยู่มาก และเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะเอาชนะได้โดยใช้วรยุทธ์เพียงอย่างเดียว
“ท่าทีมั่นใจเมื่อสักครู่ หายไปไหนหมดซะแล้วล่ะ?” โจวไท่เริ่มพูดถากถางเย่เย่ เมื่อรู้ว่าคู่ต่อสู้ของเขายังควบคุมลมปราณไม่เสถียร จากแหล่งข่าวล่าสุดเย่เย่ยังคงเป็นเพียงเทพยุทธ์ขั้นสูง ทำให้เขามองเย่เย่ด้วยสายตาเยาะเย้ย ตอนนี้เขาต้องการปิดบัญชีความแค้นของเขาให้เร็วที่สุดเพื่อกลับไปที่นิกายเพื่อไขปริศนาของหยกเจิ้งฮุนนี้เสียที
“สมแล้วที่เป็นอันดับที่ 98 แห่งมังกรสวรรค์ เลื่อมใส เลื่อมใส”
หลังจากรับการโจมตีแรกของโจวไท่ได้ สีหน้าของเย่เย่จึงเริ่มกลับมามีความมั่นใจอีกครั้งหนึ่ง เขาใช้ทักษะฝีปากที่ไม่ธรรมดาของเขาตอบโต้กลับโจวไท่ไปบ้าง ก่อนที่จะสวนหมัดกลับไป
ตู้มมมมมมมมม
สองกำปั้นประสานกันอย่างรุนแรง ต่างฝ่ายต่างถอยกลับไปคนละก้าวจากแรงปะทะ
“เหอะ! จะเก่งได้สักแค่ไหนกันเชียว!?”
โจวไท่กระทืบลงไปที่พื้นอย่างรุนแรง ทำให้หลุมขนาดใหญ่และเกิดรอยร้าวไปทั่ว
เย่เย่ถอยหลังหลบการโจมตีที่คาดไม่ถึงได้ทัน เขารวบรวมลมปราณให้เสถียรได้สำเร็จก่อนเริ่มตอบโต้โจวไท่ด้วยพลังทั้งหมดที่เขามี
“รนหาที่ตายชัดๆ”
โจวไท่เมื่อเห็นการโจมตีของเย่เย่ก็หาวหวอด ก่อนพูดออกมาอย่างเบื่อหน่าย เขาใช้ฝ่ามือรับการโจมตีของเย่เย่ได้อย่างไม่ยากเย็น
“อะไรกัน!?”
อย่างไรก็ตามการโจมตีของเย่เย่นั้นรุนแรงกว่าที่เขาคาดคิด สีหน้าสบายๆของโจวไท่เริ่มแสดงความประหลาดใจออกมาให้เห็น
“นี่เจ้า!? บรรลุขั้นเทพอสูรไร้เงาแล้วงั้นเรอะ!?”
เมื่อฝ่ามือเขาปะทะกับหมัดของเย่เย่โดยตรงเขาก็ไหวตัวทัน ก่อนปล่อยมือและเบี่ยงตัวหลบทำให้เขาไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากนัก
เย่เย่ชักหมัดกลับมา และตอบกลับโจวไท่อย่างใจเย็น
“เจ้ารู้ตัวช้าจริงนะ!”
“แล้วไงล่ะ ยังไงเจ้าก็หนีความตายไม่พ้นอยู่ดี”
ถึงแม้การเลื่อนขั้นของเย่เย่ทำให้เขาประหลาดใจอยู่ไม่น้อย แต่สำหรับโจวไท่ที่ประมือกับเทพอสูรมานับไม่ถ้วนนั้นไม่ทำให้เขาสูญเสียความมั่นใจแต่อย่างใด เมื่อเขาเห็นว่าคู่ต่อสู้ขอเขารับมือยากกว่าที่คิด เขาจึงเริ่มงัดกระบวนท่าออกมาใช้บ้าง
“เพลงหมัดเพลิงสุริยัน”
โจวไท่รวบรวมลมปราณที่ร้อนรุ่มดุจเปลวเพลิงลงบนที่กำปั้นทั้งสองข้าง ก่อนประสานมันเข้าด้วยกันที่หว่างอกของตน ทำให้เกิดแสงเจิดจ้าขึ้นรอบๆร่างกายของเขาราวกับเป็นรัศมีของดวงอาทิตย์ หยาดเหงื่อทุกเม็ดบนร่างกายของเขาและมวลอากาศโดยรอบระเหยกลายเป็นไออย่างรวดเร็วด้วยรัศมีความร้อนที่เขาแผ่ออกมา
“ตายซะ!”
โจวไท่ตะโกนด้วยน้ำเสียงอันทรงพลัง ก่อนปล่อยหมัดตรงไปที่เย่เย่ในทันที
หากเย่เย่ยังเป็นเพียงเทพยุทธ์ขั้นสูง ด้วยการโจมตีราวกับได้รับพรจากดวงอาทิตย์ของโจวไท่อาจทำให้เขาแหลกเหลวไปแล้ว แต่ด้วยวรยุทธ์เย่เย่ในตอนนี้ทำให้เขาควักดาบออกมาตั้งรับการโจมตีไว้ได้ทัน
เปรี้ยงงงงงงงงงงงงงง!!
กระบี่เทพอัสนีฟาดฟันลงไปที่ตัวของโจวไท่ก่อให้เกิดสายฟ้าเส้นใหญ่ผ่าลงมาจากท้องฟ้า ราวกับสอดประสานการเคลื่อนไหวของมันเข้ากับกระบี่
เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยงง!
โจวไท่เห็นท่าไม่ดีจึงชักหมัดของเขากลับมาเพื่อป้องกันวิถีการฟันของกระบี่เล่มนั้น แรงปะทะระหว่างไฟและสายฟ้าทำให้เกิดระเบิดเสียงดังสนั่นกึกก้องไปทั่วบริเวณ
“ไม่ยอมตายแต่โดยดีสินะ!”
ดวงตาที่บิดเบี้ยวไปด้วยความแค้นมองไปที่ศัตรูของเขา ก่อนที่เขาจะพุ่งโจมตีใส่เย่เย่อีกครั้งอย่างบ้าคลั่ง รังสีความร้อนของโจวไท่นั้นร้อนระอุราวกับจะแผดเผาสรรพสิ่งให้เป็นเถ้าถ่าน
ผู้อาวุโสสกุลเจิ้งทั้งสามที่นอนแน่นิ่ง ต่างก็จับจ้องไปที่การต่อสู้ครั้งนี้อย่างไม่ละสายตา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าพวกเขาทำให้พวกเขาไม่อยากเชื่อสายตาของตัวเอง
“เย่เย่บรรลุขั้นเทพอสูรตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!?”
“บ้าไปแล้วแน่ๆ! ข้าสับสนไปหมดแล้ว”
การมาของโจวไท่ทำให้บรรเทาความตึงเครียดของพวกเขาทั้งสามลง พวกเขาต่างคิดว่าเย่เย่ไม่มีทางรอดพ้นเงื้อมมือมังกรสวรรค์อย่างโจวไท่ไปได้แน่นอน แต่เมื่อเห็นการต่อสู้ที่ผลัดกันรุกผลัดกันรับอย่างสูสีของทั้งสองเทพอสูร ทำให้ทั้งสามเริ่มกระวนกระวายใจขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
ไม่ได้มีเพียงแต่พวกเขาทั้งสามที่คอยติดตามการต่อสู้อย่างใจจดใจจ่อ เสี่ยวหยู ซูฉีเจี่ยและพรรคพวกเมื่อเห็นเย่เย่เริ่มเป็นฝ่ายได้เปรียบจากความกังวล เริ่มกลายเป็นความตื่นเต้น และเริ่มส่งเสียงเชียร์เถ้าแก่ของพวกเขาแทน
เทพอสูรทั้งสองที่เข้าห้ำหั่นกันไม่ได้สนใจบรรยากาศรอบๆ หรือเสียงเชียร์แต่อย่างใด สิ่งเดียวที่พวกเขาสนใจคือศัตรูที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น
“ข้าขอยอมรับว่าข้าเคยปรามาสพลังของเจ้า! แต่ถ้าเจ้าคิดว่าอาวุธของเจ้าจะทำอะไรข้าได้ล่ะก็ ผิดถนัด!”
เมื่อโจวไท่เห็นว่าเพลงหมัดเพลิงสุริยันของเขาไม่ได้ผล เขาก็ได้พูดขึ้น ก่อนที่เขาจะงัดดาบวังวนเมฆาของเขาออกมาใช้บ้าง
“มาดูกันว่ากระบี่ของเจ้าหรือดาบของข้า อาวุธของใครจะได้ดื่มเลือดของศัตรูก่อนกัน!”
โจวไท่ควงดาบไร้รูปร่างของเขาเข้าโจมตีเย่เย่อย่างหนักหน่วง และต่อเนื่อง…