บทที่ 98
ปริศนาหยกเจิ้งฮุน
หลังจากชัยชนะของเย่เย่ ทำให้หอการค้าหยูเย่ทรงอิทธิพลกว่าขั้วอำนาจทั้งห้าดั้งเดิมของหลิงเฉิงไปโดยปริยาย ต่างจากจิ้นเฉิงเมืองที่อยู่ใกล้กับหลิงเฉิงมากที่สุดในภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ของแผ่นดินใหญ่
จิ้นเฉิงนั้นถูกปกครองภายใต้ตระกูลมู่หรงเพียงตระกูลเดียวเท่านั้น แม้พวกเขาจะมีข้อพิพาทกับหอการค้าจงเหมินอยู่บ้างเป็นครั้งเป็นคราว แต่ก็ดูเหมือนว่าปัญหาเล็กๆเหล่านั้นจะไม่ควรค่าให้พวกเขาชายตามองเลยสักนิด
ภายใต้การปกครองของมู่หรงตู่เฟิง เจ้าตระกูลมู่หรงคนปัจจุบันนั้นทำให้เมืองจิ้นเฉิงเจริญเติบโตเป็นอย่างมาก จนตู่เฟิงได้รับขนานนามว่าเป็นหนึ่งในสามยักษาแห่งตะวันตกเฉียงใต้
อย่างไรก็ตามสมญานามนี้ไม่ได้ตอบสนองต่อความมักใหญ่ใฝ่สูงของเขา เป้าหมายสูงสุดของเขาคือขึ้นปกครองภูมิภาคนี้ให้จงได้ และเขายังมั่นใจอีกว่าอีกสองยักษานอกเหนือจากเขาแล้วต้องมีความคิดเฉกเช่นเดียวกับเขาเป็นแน่ แต่ตู่เฟิงก็ได้เริ่มดำเนินการเร็วกว่าพวกเขาอยู่หนึ่งก้าว
“ลูกเจิ้ง เข้ามาสิ! เจ้ารู้เหตุผลที่ข้าเรียกเจ้ามาวันนี้ไหม?”
ในลานกว้างของตระกูลมู่หรง ชายหนุ่มอายุราวยี่สิบเศษๆเดินเข้ามาหาตู่เฟิง ก่อนที่จะทำความเคารพเขาด้วยความสุภาพนอบน้อม
“ข้าเตรียมการพร้อมแล้ว เป้าหมายแรกของท่านคงจะเป็นหลิงเฉิงสินะขอรับ”
มู่หรงเจิ้ง คือบุตรชายที่เป็นความภาคภูมิใจของตระกูล มู่หรง เขาบรรลุเทพยุทธ์ขั้นสูงได้ตั้งแต่อายุยังน้อย และเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้ตระกูลมู่หรงทรงอำนาจในเมืองจิ้นเฉิง วันนี้เขาถูกตู่เฟิงเรียกให้เข้าพบเพื่อมอบหมายภารกิจบางอย่างให้กับเขา
มู่หรงตู่เฟิง ชายวัย 40 กว่าๆ ถึงแม้นเขาเป็นถึงผู้ปกครองจิ้นเฉิงมีฐานะร่ำรวย แต่เขามักใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและสมถะ เขาสวมชุดสีดำสนิท ดูแล้วคล้ายกับชุดสำหรับการต่อสู้ ในสวนที่พวกเขายืนคุยกันอยู่นั้นมีเพียงดอกไม้ และพืชพรรณนานาชนิดดูเรียบง่าย และปราศจากการแต่งเติมใดๆทั้งสิ้น
หลังจากได้ยินคำตอบของลูกชาย ตู่เฟิงก็ได้ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ และพูดกับเขาอีกว่า
“ทุกวันนี้สงครามเริ่มเกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้า มันค่อยๆกระจายปกคลุมไปทั่วทั้งภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ หากพวกเรายังนิ่งเฉยไม่นานพวกเราจะถูกหลอมรวมไปกับมัน ดังนั้นข้าจึงคิดว่าข้าเนี่ยแหละจะเป็นคนผนึกรวมทั้ง 13 เมืองในภูมิภาคนี้เข้าด้วยกัน โดยเริ่มจากหลิงเฉิงเมืองที่ด้อยอำนาจมากที่สุดในขณะนี้ จากความวุ่นวายที่เกิดขึ้นภายใน นี่เป็นโอกาสสำคัญที่พวกเราต้องคว้าเอาไว้ให้ได้!”
“มู่หรงไม่เกรงกลัวผู้ใด ถึงตายก็ไม่หวั่น ข้ามู่หรงเจิ้งขออาสาออกทำศึกในครั้งนี้เอง!”
มู่หรงเจิ้งที่เข้าใจในสิ่งที่ผู้เป็นพ่อพยายามจะสื่อ เขาก็อาสาออกไปทำภารกิจด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้นจนหุบยิ้มไม่ได้
แม้ว่าจิ้นเฉิง และหลิงเฉิงจะเป็นเมืองภายใต้การปกครองของราชวงศ์ฉางหลาง แต่พวกเขาก็ไม่ได้เข้มงวดกวดขันมากนัก ตราบใดที่ทั้งสองเมืองยังส่งเครื่องบรรณาการแสดงความจงรักภักดีอยู่ ราชวงศ์ฉางหลางก็จะไม่เข้ามาก้าวก่ายพวกเขา จึงมักทำให้เกิดสงครามขนาดย่อมๆอยู่เป็นประจำ
แผ่นดินฉางหลางตั้งแต่โบราณกาลมักเกิดความโกลาหลอยู่บ่อยครั้ง แต่ส่วนมากมักเป็นสงครามขนาดเล็ก จึงทำให้ดูเหมือนบ้านเมืองสงบสุขในภาพรวม สองปีให้หลังมานี้ไฟแห่งสงครามก็ถูกจุดขึ้นอีกครั้ง เปลวเพลิงนั้นลามไปทั่วอย่างควบคุมไม่ได้ และมีแนวโน้มว่าภัยครั้งนี้จะปกคลุมไปทั่วทั้งแผ่นดิน ฉางหลาง
ชายวัยกลางคนผู้ทะเยอทะยานวางแผนที่จะใช้ความวุ่นวายในครั้งนี้เพื่อครอบครองภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ไว้เป็นของตน เมื่อเห็นมู่หรงเจิ้งพูดไปในทิศทางเดียวกับความคิดตน เขาจึงพยักหน้าเห็นด้วยในทันที
“ไม่ต้องห่วงข้ามีภารกิจให้เจ้าทำแน่! ไม่ว่าตระกูลมู่หรงของพวกเราจะขึ้นปกครองหลิงเฉิงได้เมื่อใด เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ เจ้าจงนำจดหมายนี้ไปส่งให้แก่มหาอำนาจแห่งหลิงเฉิง หากพวกเขาไม่ยอมรับข้อเสนอนี้ล่ะก็ เจ้าลงมือจัดการพวกเขาได้ทันทีโดยไม่ต้องรอให้ข้าสั่ง! เจ้าเข้าใจนะ”
มู่หรงตู่เฟิงดึงซองจดหมายของมาจากใต้แขนเสื้อของเขาและส่งให้มู่หรงเจิ้ง พร้อมกับประคำเม็ดสีขาว “ประคำห้วงสมุทรนี้มีเพื่อป้องกันตัวเจ้าเอง หากเจ้าตกอยู่ในอันตรายเพียงเจ้าทุบมันให้แตกจะทำให้เกิดโล่พลังงานขึ้นรอบๆตัวเจ้า โล่นี้แม้แต่เหล่าเทพอสูรยังถอดใจที่จะพังมัน ข้ามั่นใจว่ามันจะช่วยเจ้าได้อย่างแน่นอน!”
“ข้าขอขอบคุณสำหรับน้ำใจ และคำชี้แนะของท่าน โปรดวางใจได้”
มู่หรงเจิ้งเคยได้ยินเกี่ยวกับประคำเม็ดนี้มาบ้าง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสมันโดยตรงทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นและประหลาดใจในเวลาเดียวกัน เมื่อเขารับมันมาทำให้เขาความมั่นใจของเขาพุ่งทะยานขึ้นไปอีก วรยุทธ์ของเขาแม้เป็นเพียงเทพยุทธ์ แต่ก็เป็นเทพยุทธ์ขั้นสูง นอกจากนี้พลังป้องกันของเขายังเพิ่มขึ้นจากประคำอีกด้วย ทำให้เขามั่นอกมั่นใจมากว่าใน หลิงเฉิงไม่มีใครหน้าไหนสามารถเอาชนะเขาได้อีกแล้ว
เมื่อเขาเสร็จกิจธุระของเขา เขาก็ขี่ม้ามุ่งหน้าตรงไปยังเมืองหลิงเฉิงในทันที
เมืองหลิงเฉิงขณะนี้ยังคงอยู่ในความโกลาหลวุ่นวายของการผลัดเปลี่ยนการปกครอง ผู้คนส่วนมากจึงอยู่ในช่วงปรับตัวกันอยู่ อย่างไรก็ตามหอการค้าหยูเย่ที่เคยอ้างว้างร้างผู้คนก็กลับมา แน่นขนัดอีกครั้งหนึ่ง เหล่าตัวแทนจากหลายตระกูล หลายขุมกำลังต่างนำของขวัญมาแสดงความยินดีกับเย่เย่เพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดี
เย่เย่ที่ไม่เคยเห็นความจริงใจของผู้คนเหล่านี้จึงไม่ออกมาต้อนรับด้วยตนเอง และมอบหมายหน้าที่เหล่านี้ให้กับเสี่ยวหยู และซูฉีเจี่ย เขากำลังเก็บตัวอย่างเงียบๆเพื่อศึกษา และไขความลับของจี้หยกเจิ้งฮุนที่เข้าได้มาหลังจากฆ่าโจวไท่ ในเบื้องต้นแม้จะพยายามสักแค่ไหนเขาไม่สามารถค้นพบความลับที่ซ่อนเร้นของหยกชิ้นนี้เช่นเดียวกับ โจวซง และโจวไท่ แต่เมื่อเขาบังเอิญเผลอหยดเลือดลงบนหยกสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป
‘ไม่แปลกใจเลยที่ไม่ว่าใครๆต่างพยายามไขปริศนาของหยกชิ้นนี้!?’
เมื่อหยดเลือดของเขาทำปฏิกิริยากับจี้หยก เขาก็รู้สึกราวกับว่าจิตวิญญาณของเขาเชื่อมต่อเข้ากับหยกเจิ้งฮุน ไม่เพียงเท่านั้นเขายังรู้สึกว่าวิญญาณของเขายังผสานเข้ากับกายหยาบของเย่เย่ในโลกฝั่งนี้ได้ราวกับว่าเขาเป็นเจ้าของร่างกายนี้จริงๆ
เพียงไม่กี่อึดใจที่เขาได้สัมผัสมัน เขาก็ได้วางมันลง และความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์เมื่อสักครู่ก็มลายหายไปจนสิ้น ทิ้งไว้เพียงความสงสัยที่ก่อตัวขึ้นในจิตใจของเย่เย่
“การทำงานของจี้หยกชิ้นนี้คือมันจะผสานวิญญาณเข้ากับร่าง แม้จะเพียงชั่วคราวแต่ก็สามารถช่วยปกปิดตัวตนของเหล่าวิญญาณกลับชาติมาเกิดให้พ้นเงื้อมมือของทัณฑ์สวรรค์ได้”
เย่เย่ที่งมอยู่นาน ในที่สุดเขาก็ค้นพบความลับของจี้หยกชิ้นนี้ รวมไปถึงสาเหตุที่เจียงหวูจิ้นต้องพกจี้หยกติดตัวไว้แทบตลอดเวลา นั่นคือเพื่อปกปิดตัวตนของการเป็นวิญญาณกลับชาติมาเกิดนั่นเอง แต่การที่โจวชวน และคนอื่นๆไม่สามารถใช้งานมันได้แม้จะหยดเลือดลงไปแล้วนั่นก็เพราะกายกับจิตของพวกเขาเป็นของตัวของพวกเขาเองมาตั้งแต่แรก
แม้เย่เย่จะดีใจที่ไขปริศนานี้ออกมาได้ แต่เขาก็รู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลที่จะตามมาในภายภาคหน้า จี้หยกนี้เหมาะกับวิญญาณกลับชาติมาเกิดเยี่ยงเขาเป็นอย่างมาก แต่เขากลับไม่อยากใช้มันมากเท่าไหร่นัก เพราะมันสามารถใช้ปกปิดตัวตนได้ชั่วคราว และอาจทำให้เขาพบจุดจบแบบเดียวกับเจียงหวูจิ้น เขาต้องวางแผนสำหรับการใช้งานจี้หยกให้เป็นประโยชน์กับเขามากที่สุด
‘ที่เจียงหวูจิ้นความแตกคงเป็นเพราะเขาเจริญก้าวหน้าเร็วเกินไป เกินกว่าที่มนุษย์จะสามารถทำได้ แม้ว่าเขาจะรู้อยู่แก่ใจ แต่มันก็สายเกินแก้ไปเสียแล้ว แต่ในกรณีของเรา เย่เย่ในโลกนี้เป็นแค่คนกะล่อน เสเพลทั่วๆไป ไม่มีความทะเยอทะยานเอาแต่เกี้ยวสาวไปวันๆ ถึงแม้ตัวเราจะพัฒนาจนมาถึงจุดที่ปกครองเมืองเมืองหนึ่งได้ แต่ถ้าเราหยุดตอนนี้มันจะสายเกินไปไหมนะ?’
เย่เย่เริ่มครุ่นคิด และเปรียบเทียบกรณีของตัวเองกับ เจียงหวูจิ้น เพื่อหาเส้นทางการเอาตัวรอด ตอนนี้เขาเริ่มคิดว่าควรจะเก็บตัว และพยายามทำตัวเป็นเถ้าแก่หอการค้าธรรมดาๆที่บังเอิญประสบความสำเร็จคนหนึ่ง
อย่างไรก็ตามการตัดสินใจครั้งใหญ่นั้นต้องรับผลที่ตามมาเสมอ เย่เย่ที่ยังพอมีเวลาเหลือเฟือเขาจึงเก็บเรื่องส่วนตัวของเขาไว้ทีหลัง และยึดถืออนาคตของหอการค้าเป็นสำคัญ
‘แม้ว่าหอการค้าของพวกเราจะผ่านวิกฤตินี้ไปได้ แต่นั่นก็เฉียดฉิวมากเลยทีเดียว ถ้าเรากลับมาช้าอีกสักนิดละก็เรื่องนี้จบไม่สวยแน่ๆ’
เขาอดไม่ได้ที่จะคิดทบทวนความผิดพลาดที่ผ่านมาแล้วของตน เขาเริ่มโทษตัวเองและรู้สึกผิดที่มักละเลยความรู้สึกของพวกพ้อง
เนื่องจากหอการค้าหยูเย่เพิ่งรวมเป็นหนึ่งกับหอการค้าตงอี้ฉีหยวน และหอการค้าหยวนเชิน ทำให้เขามีหอการค้าเพิ่มขึ้นมาอีก 2 สาขา เขาจึงไม่มีเวลามากพอที่จะไปติดตั้งค่ายกลให้กับทุกสาขา เขาจึงติดตั้งไว้เฉพาะสาขาหลักเพียงสาขาเดียว ถ้าเขาไม่ได้เสี่ยวหยูเรียกรวมพลลูกจ้างที่สาขาหลักตอนที่โจวไท่มาถึงหลิงเฉิงละก็อีกสองสาขาย่อยต้องถูกรุกรานเป็นแน่ เขาครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆ ก่อนที่เขาจะตัดสินใจขึ้นได้ว่า ให้รวมหอการค้าทั้งสามสาขารวมสาขาหลักเข้าไปเปิดทำการในปราการหลิงหยวนแทน…