บทที่ 90
ท้าดวล
เมื่อเย่เย่พบทั้งสอง เขาก็รับรู้ได้ทันทีว่าชายชราที่อยู่ข้างแม่นางมู่หลูนั้นคือเป้าหมายในการมาภูเขาแห่งต้นกำเนิดในครั้งนี้
“เป็นเจ้าจริงๆน่ะเหรอ ที่ทำลายค่ายกลของข้า?”
แม้ว่าแม่นางมู่หลูจะไม่อยากยอมรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เมื่อไม่เห็นคนอื่นนอกจากเย่เย่นางจึงต้องจำใจยอมรับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้แต่ลั่วเฟิงเฉิงมังกรสวรรค์ลำดับที่ 159 จากบัญชีรายชื่อก็ไม่อยากจะเชื่อเรื่องนี้ แต่ความจริงที่ปรากฏเบื้องหน้าเขาทำให้เขาถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างไม่รู้ตัว
มู่หลูรู้ตัวว่าคำพูดดูถูกของนางอาจทำให้อีกฝ่ายไม่สบายใจ นางจึงหัวเราะกลบเกลื่อนก่อนที่จะขอโทษขอโพยเย่เย่ “ฮ่า ฮ่า ข้าต้องขอโทษด้วยจริงๆ พวกข้าแค่คิดไม่ถึงว่าผู้ใช้ค่ายกลที่พวกนั้นจ้างมาจะดูอ่อนวัยถึงเพียงนี้น่ะ”
“พวกเขาไหน?”
เย่เย่ถามกลับแม่นางมู่หลูด้วยความสงสัย แต่แล้วเขาก็ตอบกลับแม่นางไปอย่างงุนงง
“ไม่มีใครจ้างข้ามาหรอก ที่ข้ามานี่เพียงเพราะต้องการท้าดวลกับท่านลั่วเฟิงเฉิงน่ะ ข้าหวังว่าท่านจะไม่ปฏิเสธคำท้าของข้า”
“เจ้าน่ะเรอะ?”
ชายชราจับคาง ก่อนเดินวนรอบเย่เย่ราวกับกำลังพินิจพิเคราะห์อะไรบางอย่าง
เฒ่าชราและหญิงสาวต่างรู้ดีว่าการแก้ค่ายกลของมู่หลูนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ต่อให้เป็นผู้เชี่ยวชาญสักเพียงใดก็ต้องใช้เวลาและลงแรงไปไม่น้อย อาจทำให้ความสามารถในการต่อสู้ของ เย่เย่ลดลงอย่างมหาศาล แต่เย่เย่นั้นกลับใช้เวลาไม่นานในการพังค่ายกลของนางลงได้ ในสายตาของพวกเขาเย่เย่เป็นเพียงผู้ใช้ค่ายกลที่เก่งกาจเท่านั้น
“เจ้าแน่ใจเรอะว่าเจ้าอยากจะประลองกับข้า?”
ลั่วเฟิงเฉิงถามเย่เย่อีกครั้งเพื่อความมั่นใจ
“ก็ท่านนั่นแหละ! จะให้ข้าไปประลองกับแม่ท่านหรือไง?”
เย่เย่ที่ถูกถามซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบก็เริ่มหงุดหงิด ก่อนที่จะพูดย้ำแสดงความต้องการอีกครั้งหนึ่ง
“ท่านแก่แล้วก็จริง แต่ท่านไม่ได้หูฝาดไปหรอก! นี่คือสาส์นท้าดวลจากข้า รับไปซะ!”
ชายชรารับสาส์นท้าดวลจากเย่เย่มาด้วยท่าทีงุนงง ก่อนที่จะถอนหายใจและส่งสาส์นนั้นคืนกลับไปให้เย่เย่ เขาหลับตาลงพลางสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ก่อนพูดปฏิเสธคำท้าทายนั้น
“อย่าเสียเวลาเลย หลานชาย! ผู้ใช้ค่ายกลน่ะไม่มีคุณสมบัติพอที่จะสู้กับใครซึ่งๆหน้าหรอกนะ เพื่อความปลอดภัยของเจ้า เจ้ากลับไปเถอะ!”
อย่างไรก็ตามในสายตาของพวกเขาเย่เย่ก็ยังคงเป็นเด็กเมื่อวานซืนที่บังเอิญมีพรสวรรค์ด้านค่ายกล และวรยุทธ์ของเขาคงเพิ่งจะเริ่มผลิบานได้ไม่นานนัก เมื่อเทียบกับลั่วเฟิงเฉิงหนึ่งในมังกรสวรรค์ผู้ฝึกฝนวรยุทธ์มาอย่างยาวนานนั้นห่างกันราวฟ้ากับก้นเหว
“ข้าซาบซึ้งในความใจกว้าง และคำแนะนำของท่าน แต่เหตุใดท่านถึงปฏิเสธข้าที่อุตส่าห์เดินทางมาตั้งไกล และทำลายค่ายกลของพวกท่านอย่างไม่มีชิ้นดีกันล่ะ? ข้ายังไม่มีคุณสมบัติมากพออีกหรือไง?”
เย่เย่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เพราะว่าเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าผู้ใช้ค่ายกลนั้นมักไม่มีวรยุทธ์ หรือไม่ก็มีวรยุทธ์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เขาจึงไม่เข้าใจว่าทำไมลั่วเฟิงเฉิงถึงได้ปฏิเสธสาส์นท้าดวลของเขา ในความคิดของเย่เย่นั้นคู่ต่อสู้จะเก่งหรือไม่เก่งต้องลองประมือกันก่อนถึงจะรู้ได้ ทำให้เขาคิดว่าลั่วเฟิงเฉิงนั้นปฏิเสธแบบขอไปที การที่เขาอุตส่าห์ถ่อมาถึงที่นี่เพื่อหาคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อกับเขาเพื่อบรรลุขั้นเทพอสูรไร้เงาที่ติดค้างมานานเสียที ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ยอมกลับไปมือเปล่าอย่างแน่นอน
เมื่อลั่วเฟิงเฉิงเห็นความดื้อรั้นของเย่เย่ เขาก็เริ่มหมดความอดทนที่จะตักเตือนแล้ว
“เจ้านี่ดื้อด้านเสียจริง! อย่าหาว่าข้าสอนเลยนะ ข้าไม่คิดว่าเจ้ามีคุณสมบัติพอที่จะท้าดวลข้าด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นจะกลับไปซะ!”
บรรยากาศที่เริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ ทำให้แม่นางมู่หลู และเย่เย่ต่างปิดปากเงียบ ไม่ยอมพูดอะไรออกมาเลย
‘ท่านลุงลั่ว ท่านพูดมากเกินไปแล้ว แต่ก็นะนี่อาจเป็นทางเดียวที่จะไล่เขากลับไปก็ได้’ แม่นางมู่หลูคิดในใจพลางหันไปมองเย่เย่ ก่อนที่สีหน้าของนางจะแสดงความประหลาดใจอีกครั้ง ใบหน้าของเย่เย่นั้นไม่ได้แสดงความหวาดกลัวต่อคำข่มขู่ของชายชราแต่อย่างใด นัยน์ตาของเขากลับเปี่ยมล้นไปด้วยความกระหายการต่อสู้
“ดูเหมือนว่าท่านจะมั่นใจในพลังของตัวเองน่าดูเลยนะ ข้าตามหาคู่ต่อสู้เช่นท่านมานานแล้ว! ได้โปรดชี้แนะด้วย”
หลังสิ้นเสียงของเย่เย่ เขาก็ได้ปลดปล่อยพลังขั้นสูงสุดของเทพยุทธ์ออกมาทันที
ตู้มมมมมมมม!
พายุขนาดย่อมๆก่อขึ้นรอบๆตัวของเย่เย่ ราวกับว่าเขาเป็นตาของพายุลูกนี้ ใบไม้และฝุ่นปลิวว่อนลอยขึ้นไปตามแรงลม มู่หลูที่เพิ่งบรรลุขั้นเทพยุทธ์ได้หมาดๆก็ต้านแรงลมมหาศาลไม่ไหว นางจึงต้องถอยออกมาจากสมรภูมินั้น สายตาที่นางมองเย่เย่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง สีหน้าของนางยังคงตกตะลึงอย่างอธิบายไม่ถูก
“เทพยุทธ์ขั้นสูงสุดสินะ! นับว่าน่าประทับใจที่คนอายุน้อยเช่นเจ้าจะบรรลุถึงขั้นนี้ได้ ถ้าเจ้าไม่กลัวตายละก็ ข้าจะเป็นคู่ต่อสู้ให้เจ้าเอง!”
ลั่วเฟิงเฉิงเมื่อเห็นพลังของเย่เย่ก็รู้ได้ทันที แม้เขาจะรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่คิดว่า
วรยุทธ์ของเย่เย่จะทำอะไรเขาได้
พวกเขาเริ่มประลองกันที่ลานประลองเล็กๆ หน้าศาลาบนยอดเขาแห่งต้นกำเนิด เมื่อเย่เย่เห็นว่าแม่นางมู่หลูถอยไปในระยะที่ปลอดภัยแล้ว เขาจึงตั้งท่าเตรียมต่อสู้กับชายชราก่อนพูดออกไปอย่างมั่นใจ “เตรียมรับมือ!”
เปรี้ยงงงงงงงงงงง!
เย่เย่ไม่รอช้ารีบพุ่งเข้าหาลั่วเฟิงเฉิงอย่างรวดเร็ว
“เข้ามา!”
ลั่วเฟิงเฉิงที่เห็นได้นั้นก็ไม่ได้หวาดกลัวอะไร สีหน้าของเขายังคงสงบนิ่งพร้อมกับพูดท้าทายเย่เย่ ก่อนที่เขาจะสวนหมัดเพื่อหวังจะทำให้เย่เย่เสียหลักถอยกลับไป เย่เย่จึงเอี้ยวตัวหลบ ก่อนที่หมุนตัวเตะกวาดไปที่ขาชายชราอย่างฉับพลัน
ตู้มมมมม!
การปะทะของหนึ่งเทพยุทธ์ หนึ่งเทพอสูรทำให้แผ่นดินสนั่นหวั่นไหว ใบไม้ใบหญ้าปลิวว่อน ฝุ่นตลบอบอวลไปทั่ว
เย่เย่รวบรวมลมปราณของเขาไว้ที่ขาอีกข้าง และหมุนตัวเตะไปที่ไหล่ของเฒ่าลั่วอย่างรวดเร็วประหนึ่งสายฟ้า
“เตะได้ดี! แต่ช้าเกินไป!”
ชายชรายิ้มเยาะออกมา ก่อนที่จะใช้มือซ้ายรับลูกเตะของเย่เย่ได้อย่างไม่ยากเย็น เขาใช้มืออีกข้างจับไปที่คอเสื้อของชายหนุ่ม และพยายามจะทุ่มเขาไปที่พื้นอย่างสุดกำลัง
“ปล่อยข้า!”
เย่เย่ที่ตกเป็นรองพยายามใช้ขาของเขาเตะแขนที่กระชากคอเสื้อเขาอยู่จนหลุดออกมาได้ เขาจึงถอยกลับไปตั้งหลักใหม่อีกครั้งหนึ่ง
“รีบดึงพลังทั้งหมดของเจ้าออกมาซะ!”
ลั่วเฟิงเฉิงไม่พุ่งเข้าไปซ้ำเย่เย่ที่เสียหลักแต่อย่างใด เขากลับรู้ว่าเย่เย่นั้นยังไม่ได้เอาจริงเลยแม้แต่น้อย
‘มังกรสวรรค์นี่แข็งแกร่งจริงๆ ต่างจากเทพอสูรทั่วๆไป ลิบลับเลย’ เย่เย่คิดในใจหลังจากที่ความพยายามในการโจมตีของเขาล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า เมื่อเขาถูกอีกฝ่ายเผยไต๋เขาจึงรีบงัดฝ่ามือคลื่นพิโรธของเขาออกมาใช้ในทันที
“หึ หึ หึ น่าสนใจดีนี่!”
ชายชราฉีกยิ้มมุมปากออกมา สีหน้าของผู้เฒ่าแสดงอารมณ์ที่คาดเดาไม่ได้ออกมา สายตาของเทพอสูรขั้นสูงนั้นแตกต่างจากคนทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเย่เย่แสดงพลังที่แท้จริงของเขาออกมา ลั่วเฟิงเฉิงจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาด้วยความตื่นเต้น
ซู่ววววว ซู่วววว ซู่ววววว
เสียงคลื่นทะเลคลั่งพร้อมจะซัดทุกสรรพสิ่งให้จมหายไปกำลังพุ่งเข้าหาลั่วเฟิงเฉิงด้วยความรุนแรง
เพี๊ยะ!
ฝ่ามือคลื่นพิโรธของเขาเกือบถึงตัวของชายชราได้ แต่ก็ถูกชายชราปัดป้องเอาไว้ได้อย่างไม่ยากเย็น ก่อนที่คลื่นลูกถัดไปจะซัดเข้าที่หน้าของชายแก่ แม้ว่าลั่วเฟิงเฉิงจะปัดป้องไว้ได้มากเท่าไหร่ฝ่ามือของเย่เย่ก็ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนชายชราเริ่มระวังตัวและงัดวรยุทธ์ออกมาตอบโต้
“ดัชนีดาราดับ!!”
หลังจากการโจมตีอย่างต่อเนื่องของเย่เย่ ทำให้ชายชราตระหนักว่าเขาไม่ควรปัดป้องไปมากกว่านี้เขาจึงตัดสินใจเป็นฝ่ายเปิดฉากโจมตีสวนกลับบ้าง
มังกรสวรรค์ลั่วได้รวบรวมลมปราณของเขาไว้ที่ปลายนิ้วชี้และนิ้วกลาง ก่อขึ้นเป็นคมดาบที่มองไม่เห็นแทงสวนกลับไปที่ไหล่ซ้ายของเย่เย่หมายที่จะหยุดการโจมตีอันบ้าคลั่ง
ฟ้าววววววว
เสียงมวลอากาศถูกคมดาบล่องหนกรีดออกดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่มันจะเสียดแทงไปที่ไหล่ซ้ายของเย่เย่ ชายหนุ่มไหวตัวทันจึงใช้ฝ่ามือคลื่นพิโรธของเขาประกบไปที่ดัชนีของชายแก่จนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
ตู้มมมมมมมมมมมมมมมมมม!
มวลอากาศโดยรอบพวกเขาระเบิดออก ต้นไม้ใบหญ้าที่อยู่โดยรอบถูกลมแรงฉุดกระชากจนเกาะหน้าดินไม่อยู่ปลิวออกไปตามคลื่นลมแรง
เย่เย่ถอยหลังออกไปสองก้าว สีหน้าของเขาก็ซีดเซียวเมื่อเผชิญหน้ากับพลังของมังกรสวรรค์ แต่เมื่อเขาตั้งสติได้แทนที่เขาจะหวาดกลัวนัยน์ตาของเขากลับเต็มไปด้วยความกระหายในการต่อสู้
“เห?”
ลั่วเฟิงเฉิงก็แปลกใจไม่น้อยไปกว่าเย่เย่เลย เขาคิดว่าดัชนีของเขาจะจัดการศัตรูลงได้โดยง่าย แต่ภาพที่ปรากฏตรงหน้าเขาทำให้เขารู้เลยว่าเขานั้นคิดผิด พลังป้องกันของเย่เย่นั้นเหนือกว่าความคาดหมายของเขามากนัก
“ก็ได้! ข้าจะสอนบทเรียนอันมีค่าให้แก่เจ้าเอง! เตรียมใจไว้เลย”
ในที่สุดชายชราก็เลิกปรามาสพลังของเย่เย่ และเริ่มมองเย่เย่ในฐานะคู่ต่อสู้คนหนึ่งของเขา และเริ่มเผยวรยุทธ์ของเขาออกมาใช้เพื่อหวังจะจบการต่อสู้นี้โดยเร็ว
“ฝ่ามือพิภพคำราม!!” ชายแก่ใช้ฝ่ามือฟาดลงไปที่พื้นอย่างรุนแรง ก่อให้เกิดแผ่นดินไหวขนาดย่อมๆในบริเวณลานประลอง
ตู้มมมมมมมมมมม
ครืนนน ครืนนน ครืนนน
คลื่นใต้พิภพที่เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วพุ่งเข้าใส่ศัตรูของเขา เย่เย่ที่รับรู้ถึงภัยคุกคามก็ใช้ฝ่ามือคลื่นพิโรธสร้างม่านน้ำขนาดยักษ์ขึ้นมาป้องกันเอาไว้ แต่ฝ่ามือพิภพคำรามนั้นแข็งแกร่งเกินกว่าเทพยุทธ์จะต้านได้ เมื่อคลื่นใต้พิภพเข้าซัดม่านน้ำหลายครั้งเข้า ม่านน้ำก็ถูกแหวกออกได้โดยง่าย สถานการณ์ของเย่เย่นั้นกำลังเลวร้ายขึ้นทุกขณะ…