บทที่ 85
ศิโรราบ
“การวิเคราะห์ของท่านเหยียนซื่อช่างน่าประทับใจ! แต่ข้าไม่คิดว่าจะมีผู้ใดที่มีระดับตั้งแต่เทพยุทธ์ขึ้นไปกล้ารับความเสี่ยงในการเข้าร่วมหอการค้าหยูเย่ที่เพิ่งตั้งรกรากในหลิงเฉินไม่นานนี้เป็นแน่ หากข้าเป็นพวกเขาข้าไม่เข้าร่วมขั้วอำนาจที่มีรากฐานมั่นคงจะดีเสียกว่าหรือ?”
เฉินจิน หนึ่งในบรรดาจ้าววรยุทธ์ที่ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของเหยียนซื่อก็ได้กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงใจเย็นและสีหน้าเรียบเฉย เฉินจินนั้นเป็นคนที่มีความคิดเป็นของตนเองและไม่เชื่อคำพูดของใครง่ายๆ
เหยียนซื่อที่รู้ดีว่าเฉินจนเป็นจ้าววรยุทธ์ที่แข็งแกร่งกว่าตน เขาจึงทำได้เพียงขมวดคิ้วแสดงความไม่พอใจกับผู้ที่เห็นต่างเท่านั้น
“ท่านเฉินจิน ท่านคิดหลายตลบเกินไปแล้ว! จริงอยู่ที่พวกเทพยุทธ์พวกนั้นสามารถเข้าร่วมขั้วอำนาจทั้งห้าเพื่อรับผลตอบแทนและสวัสดิการที่มั่นคงได้ พวกนั้นไม่จำเป็นต้องทนแบกรับความเสี่ยงแบบเดียวกับพวกเราด้วยซ้ำ สิ่งที่ข้าต้องการจะสื่อให้พวกท่านทั้งหลายได้ทราบคือทำไมพวกเราไม่เร่งขยายอำนาจภายในของพวกเราและคว้าโอกาสนี้เอาไว้ในมือของพวกเราเองเสียเลยล่ะ?”
เหยียนซื่อมั่นใจในความคิดของตัวเอง ถึงแม้เขาจะไม่พอใจที่มีคนสงสัยในแผนของเขาแต่เขาก็พูดออกมาด้วยความสุขุมเยือกเย็น เมื่อสิ้นเสียงอภิปรายของเขา สายสืบภายในหอการค้าหยูเย่ที่ขึ้นตรงกับเขาก็วิ่งเข้ามารายงานอย่างรีบเร่งในทันที “ท่านเหยียนซื่อ ตอนนี้เจิ้งซูจ้าวตระกูลเจิ้งพร้อมกับผู้อาวุโสทั้งห้าและจ้าววรยุทธ์อีก 14 นาย กำลังเข้าพบท่านเย่แล้ว! ขอให้ท่านสั่งการด้วย!”
“ตระกูลเจิ้ง? เจิ้งไหนนะ!?”
เหยียนซื่อถามกลับสายสืบของเขาด้วยความงุนงง
“เรียนท่านเหยียนซื่อ ตระกูลเจิ้งนี้เป็นพันธมิตรกับหอการค้าหยูเย่มาอย่างยาวนาน พวกเขายังเป็นผู้สนับสนุนรายแรกตั้งแต่ก่อนการประลองหลิงหยวนขอรับ!”
ชายผู้ทะเยอทะยานและเหล่าผู้สนับสนุนตกตะลึงเมื่อเห็นว่าผลประโยชน์ที่ควรเป็นของพวกตนกำลังหลุดลอยไปยังผู้อื่น มีเพียงเฉินจินและผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับเหยียนซื่อที่ไม่ได้พูดอะไรให้มากความ พวกเขาออกจากองค์ประชุมและกลับไปยังหอการค้าหยูเย่ในทันที
หลังจากได้มติเป็นเอกฉันท์แล้วตระกูลเจิ้งจึงดำเนินการเจรจาขอเข้าร่วมกับหอการค้าหยูเย่ในทันที เพื่อรักษาและพัฒนาความสัมพันธ์อันดีของพวกเขาและหอการค้าหยูเย่พวกเขาจึงคว้าโอกาสนี้ไว้ก่อนที่จะสายเกินไป
หลังจากที่เฉินจินและพรรคพวกออกจากการประชุม จ้าววรยุทธ์ที่เหลือก็เริ่มตระหนักขึ้นได้ว่าหอการค้าหยูเย่คือที่พึ่งเดียวของพวกเขาและไม่มีไหนที่จะจ้างพวกเขาอีกแล้ว พวกเขาจึงรีบ กลับไปยังหอการค้าในทันที เหยียนซื่อเห็นลานประชุมที่เคยแน่นขนัดด้วยผู้คนกลับว่างเปล่าลงในพริบตา สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความผิดหวัง และรอยยิ้มเจื่อนๆ
“ดูเหมือนว่าข้าจะประเมินท่านต่ำไปสินะ ท่านเย่!”
เหยียนซื่อถอนหายใจยาวเหยียดออกมาก่อนที่เขาจะกลับไปยังหอการค้าหยูเย่เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ตราบใดที่อย่างน้อยยังเหลือพื้นที่ให้จ้าววรยุทธ์เช่นเขาได้เติบโตในหน้าที่การงาน เขาก็ยังคงทำงานให้กับหอการค้าต่อไป
“ข้าขอคารวะท่านเย่เย่”
เจิ้งซูและผู้คนสกุลเจิ้งทำความเคารพแก่เย่เย่ หลังจากการเจรจาตระกูลเจิ้งของพวกเขาได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับหอการค้าหยูเย่เป็นที่เรียบร้อย
“เสี่ยวหยู นำสิ่งนั้นมาให้ข้าหน่อยสิ!”
เย่เย่พยักหน้าอย่างพึงพอใจก่อนโบกมือเรียกเสี่ยวหยูให้นำของที่เขาแลกมาจากระบบมอบให้แก่ตระกูลเจิ้งเพื่อเป็นของขวัญ
ยุทโธปกรณ์และยาเหล่านั้นเขาแลกมาจากระบบโดยใช้ 1400 เหรียญจักรวาล และใช้อีก 3000 เหรียญจักรวาลในการเสริมแกร่งให้อุปกรณ์เหล่านั้น อย่างไรก็ตามเย่เย่ไม่ได้รู้สึกเสียดายเลยแม้แต่น้อยเนื่องจากหอการค้าหยูเย่เติบโตได้ตามเป้าที่เขาคาดการณ์ไว้ แม้ว่าในตอนนี้เขาจะไม่มีเงินหมุนเวียนเข้าระบบมากนัก แต่จากการที่เขาหลอกขายดาบเงาจันทราให้สองพ่อลูกตระกูลจางด้วยราคาที่สูงถึง 700,000 ตั๋วทองทำให้เขายังพอมีเงินถุงเงินถังเหลือใช้ไปอีกระยะหนึ่ง
“ข้าขอรับน้ำใจของท่านเอาไว้ด้วยความยินดี! จากนี้ตระกูลเจิ้งและหอการค้าหยูเย่ก็เปรียบเสมือนบ้านพี่เมืองน้อง พวกเราตระกูลเจิ้งจะไม่ทำให้พวกท่านผิดหวังเป็นอันขาด!”
หลังจากที่เจิ้งซูรับของขวัญ เขาให้สัญญากับเย่เย่ด้วยสีหน้าที่จริงจัง แม้ว่าพวกผู้เฒ่าจะไม่ได้แสดงความจงรักภักดีอย่างเจิ้งซู แต่ก็ซาบซึ้งในน้ำใจของเย่เย่ที่มีให้ต่อตระกูลเจิ้งของพวกเขาเช่นกัน การรวมเป็นหนึ่งของทั้งสองฝ่ายนี้ทำให้สร้างแรงกดดันอย่างมหาศาลให้กับขั้วอำนาจอื่นๆ หรือแม้กระทั่งลูกจ้างบางส่วนในหอการค้าเองก็ตาม
ในขณะเดียวกัน โจวไท่บุตรบุญธรรมของโจวซง ศิษย์แห่งนิกายตงเทียนเหมิน หรือที่รู้จักกันในนามนิกายวิถีสวรรค์ แม้ว่าโจวไท่จะรู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเมืองหลิงเฉิง รวมไปถึงเรื่องของหลิวเทียนเซียง เขากลับเพิกเฉยไม่คิดจะยื่นมือช่วยเหลือปราการหลิงหยวนเลยแม้แต่น้อย
“นายน้อยมีสาส์นจากปราการหลิงหยวนจ่าหน้าซองถึงท่านเจ้าค่ะ! ข้าขออนุญาตอ่านให้ท่านฟังเลยนะเจ้าคะ!”
“ไม่มีปัญหา”
“ลูกไท่ ดูเหมือนว่าหลิวเทียนเซียงและพรรคพวกพร้อมจะเข้าโจมตีปราการหลิงหยวนอีกครั้งแล้ว!” สาวสวยที่อยู่ในชุดสาวใช้เดินเข้ามาในลานฝึกของโจวไท่ พร้อมรายงานข้อความในจดหมายที่ส่งมาจากปราการหลิงหยวนให้ผู้เป็นนายฟัง
“งั้นเจ้าคงรู้ดีสินะว่า เจ้าควรจะทำยังไงต่อไป?”
“เจ้าค่ะ! ข้าจะคอยดูสถานการณ์อยู่ห่างๆ เมื่อ หลิวเทียนเซียงยึดจี้หยกเจิ้งฮุนได้แล้ว ข้าต้องรายงานให้ท่านทราบทันทีใช่ไหมเจ้าคะ?”
“ดีมาก !” โจวไท่พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่นัยน์ตาของเขานั้นแสดงออกถึงความเจ้าเล่ห์ เขาได้เผาจดหมายที่ส่งมาจากพ่อบุญธรรมของตน ก่อนที่จะกระซิบข้างหูสาวใช้ของเขาอย่างเยือกเย็น
“ได้เวลาแล้วโจวหลาน! ถึงเวลาที่เจ้าต้องไปหลิงเฉิงจัดการกับเจ้าเย่เพื่อข้า ข้าจะให้เขา 2 ทางเลือกด้วยกัน หากเขายอมศิโรราบแก่ข้าแต่โดยดี ข้าจะไว้ชีวิตเขา หากไม่แล้วเจ้าจงปลิดชีพเขาซะ!”
“รับทราบเจ้าค่ะ โปรดวางใจ”
เมื่อนางรับคำสั่งจากผู้เป็นนาย สาวสวยรูปร่างดีก็เดินออกจากลานฝึก และมุ่งหน้าสู่หลิงเฉิงเพื่อทำภารกิจของนางให้สำเร็จลุล่วง หลังจากที่สาวใช้ของเขาเดินออกไป โจวไท่ก็นั่งไขว่ห้างด้วยสีหน้าเรียบเฉย มีเพียงนัยน์ตาเจ้าเล่ห์คู่นั้นของเขาที่เผยให้เห็นว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
แม้ว่าเขาเป็นบุตรบุญธรรมที่เป็นความภาคภูมิใจของ โจวซง แต่โจวไท่นั้นก็ได้ออกจากหลิงเฉิงและเข้าร่วมกับนิกายวิถีสวรรค์เมื่อนานมาแล้ว เขาแทบไม่ได้ให้ความช่วยเหลืออะไรกับปราการหลิงหยวนเลย ในสายตาของเขาปราการหลิงหยวนหมดประโยชน์กับเขาแล้ว มีเพียงจี้หยกเจิ้ง
ฮุนที่อยู่ในมือของโจวซงที่ทำให้เขายังคงคาใจอยู่
จี้หยกเจิ้งฮุนนี้เดิมทีเป็นของส่วนตัวของเจียงหวูจิ้นที่ตระกูลโจวของเขาชิงมา ปัจจุบันมันอยู่ในมือของโจวซงที่หวงแหนจี้หยกชิ้นนี้มากถึงขนาดไม่เคยให้โจวไท่สัมผัสมันแม้แต่ครั้งเดียว ทำให้โจวไท่สืบหาความลับที่ซุกซ่อนไว้ของจี้หยกนี้เสมอมา
การมีตัวตนของหลิวเทียนเซียงผู้เป็นศัตรูกับปราการ หลิงหยวนมาอย่างช้านานจะเป็นไพ่ตายให้กับโจวไท่ที่ต้องการสนองความอยากรู้อยากเห็นของตน หากแผนของหลิวเทียนเซียงสำเร็จโจวซงจะหายไปจากโลกใบนี้ ซึ่งจะทำให้หยกชิ้นนั้นตกมาอยู่ในมือของโจวไท่หลังจากที่เขาฆ่าหลิวเทียนเซียงแล้ว
ดังนั้นแม้โจวไท่จะได้รับจดหมายของความช่วยเหลือจากปราการหลิงหยวนอีกสักกี่ฉบับ เขาก็เมินเฉย ยิ่งไปกว่านั้นเขายังส่งโจวหลานไปเพื่อสร้างโอกาสให้หลิวเทียนเซียงและพรรคพวกโจมตีปราการหลิงหยวนให้สำเร็จอีกด้วย
ในสายตาของศิษย์นิกายวิถีแห่งสวรรค์อย่างเขาแล้ว เย่เย่เป็นเพียงเบี้ยตัวหนึ่งในกระดานแผนการทั้งหมดของเขา ถ้าหมากไม่ยอมเดินตามแผนที่เขาวางไว้ ก็ส่งให้มันตายๆไปซะก็สิ้นเรื่อง
เย่เย่ไม่รู้เกี่ยวกับภัยคุกคามที่จะมาถึง เขาเอาแต่เก็บตัวฝึกซ้อมในลานฝึกหลังหอการค้าของเขาเป็นประจำ หลังจากที่เขาฆ่าฟันเหล่าเทพยุทธ์เป็นจำนวนมากในคราเดียว จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่เคยเป็นงูตัวเล็กๆก็มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆจนตอนนี้มันดูเหมือนมังกรซะมากกว่า
นอกจากนั้นเย่เย่ยังสามารถเปลี่ยนผิวหนังของเขาให้กลายเป็นเกล็ดงู หรือเกล็ดมังกรเพื่อเพิ่มพลังป้องกันของเขาได้ทั่วทั้งร่างกายของเขาอีกด้วย ในตอนนี้ต่อให้เขาใช้พลังเพียงหนึ่งในสิบเขาก็สามารถเอาชนะเหล่าเทพยุทธ์ได้ หากเขาใช้พลังทั้งหมดของเขาแม้แต่เทพอสูรไร้เงาก็ยากที่จะปราบเขาลงได้
แม้ว่าเย่เย่ยังไม่ได้กินยาเพื่อก้าวสู่ขั้นเทพอสูรไร้เงา แต่สีหน้าของเขาก็แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจเป็นอย่างมาก แม้แต่ปราการหลิงหยวนหรือเทพอสูรหลิวเทียนเซียงก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอีกต่อไป
“แฮ่ก แฮ่ก นายน้อยเจ้าคะ! แย่แล้วเจ้าค่ะ!”
เสี่ยวหยูวิ่งมารายงานเย่เย่ด้วยความเหนื่อยหอบ ใบหน้าเรียวสวยดูอ่อนโยนของเธอกลับเต็มไปด้วยความวิตกกังวลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ศิษย์ของนิกายวิถีแห่งสวรรค์ หนึ่งในนิกายทรงอำนาจของแผ่นดินฉางหลางได้มาที่ปราการหลิงหยวนแล้วเจ้าค่ะ ต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆเลย ข้าว่าพวกเราอพยพจากหลิงเฉิงสักพักเถอะนะเจ้าคะ!”