บทที่ 89
ภูเขาแห่งต้นกำเนิด
หลังจากปราการหลิงหยวนล่มสลายลง ขุมกำลังน้อยใหญ่ถูกมหาอำนาจกดขี่ข่มเหงมาอย่างยาวนานก็เริ่มกอบโกยผลประโยชน์ที่เคยเป็นส่วนของปราการเข้ามาเป็นของพวกตนอย่างไม่รีรอ มีเพียงหอการค้าตันเซียง และหอการค้าหยูเย่ที่ยังคงสงบนิ่งไม่เคลื่อนไหวใดๆทั้งสิ้น พวกเขารู้ดีว่าพวกเขาต้องรับมือกับโจวไท่ที่จะมาถึงหลิงเฉิงในอีกไม่ช้า
เมื่อข่าวการล่มสลายของปราการถึงหูเย่เย่หลังจากที่เขากลับมาถึงหอการค้าหยูเย่ได้ไม่นานนัก เขารู้ทันทีว่านี่ต้องเป็นฝีมือของหลิวเทียนเซียงและพรรคพวกเป็นแน่ แต่เขาคาดไม่ถึงว่าสำนักเมฆาทมิฬจะเข้าร่วมโจมตีครั้งนี้ด้วย ทำให้เย่เย่ตระหนักขึ้นได้ว่าเขาอาจประเมินหลิวเทียนเซียงต่ำเกินไป
“นายน้อย พวกเราควรทำยังไงต่อไปดีเจ้าคะ?”
เสี่ยวหยูที่โล่งอกจากข่าวการล่มสลายของปราการ หลังจากที่เย่เย่บอกนางเรื่องโจวหลาน สีหน้าของนางก็กลับซีดเซียวขึ้นมาอีกครั้ง
การโจมตีของปราการหลิงหยวนดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆไปเลย เมื่อเทียบกับโจวไท่ และนิกายวิถีสวรรค์ที่เป็นถึงหนึ่งในนิกายที่ปกครองแผ่นดินฉางหลางมาอย่างช้านาน ต่อให้พวกเขาอพยพออกจากหลิงเฉิงแต่ก็ยากที่รอดพ้นจากการไล่ล่าของโจวไท่ผู้ทรงอิทธิพลไปได้ ตอนนี้หอการค้าหยูเย่ของพวกเขานั้นกลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง เป็นช่วงเวลาที่จะชี้ความเป็นความตายของพวกเขาเลยทีเดียว
“เสี่ยวหยู วางใจเถอะ ทำในสิ่งที่เจ้าควรทำซะ ในส่วนนี้ข้าจัดการเอง!”
อย่างไรก็ตามถึงแม้เขาจะดูเหมือนไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาว แต่จริงๆแล้วเขานั้นพร้อมจะรับมือกับศึกใหญ่ครั้งนี้แล้ว ต่อให้คู่ต่อสู้ของเขาจะเป็นถึงอันดับที่ 98 แห่งมังกรสวรรค์ผู้น่าเกรงขามก็ตาม
หลังจากที่เขาใช้วรยุทธ์กลืนสวรรค์ของเขาดูดซับจิตวิญญาณของโจวหลาน และเหล่าผู้คุ้มกัน วรยุทธ์ของเขาก็เทียบเท่ากับขั้นเทพอสูรไร้เงาแล้ว และหากเขากินยาบรรลุวิชายุทธ์เข้าไปพลังของเขาจะยิ่งเพิ่มพูนขึ้นไปอีก ทำให้เย่เย่ไม่มีเหตุผลที่จะต้องหวาดเกรงโจวไท่เลย อุปสรรคของเขาเพียงอย่างเดียวตอนนี้คือขั้นตอนในการบรรลุขั้นเทพอสูรไร้เงา เขาไม่ได้มีปัญหาด้านการปรับสมดุลพลัง แต่สภาพจิตใจบางอย่างของเขายังไม่พร้อม
“ดูเหมือนว่าจะได้เวลาไปที่ภูเขาแห่งต้นกำเนิดแล้วสินะ!”
หลังจากการปรับสภาวะจิตใจของเขาล้มเหลวหลายครั้งหลายครา เขาก็เริ่มคิดว่าบางทีอาจเป็นเพราะวรยุทธ์ของเขารุดหน้าเร็วเกินไปทำให้ไม่สัมพันธ์กับสภาพจิตใจ และขาดประสบการณ์การต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ ซึ่งฉุดรั้งเขาไม่ให้ก้าวข้ามขั้นเทพยุทธ์ได้โดยง่าย
การมุ่งหน้าไปยังหุบเขานี้จึงเป็นทางออกเดียวของเขาที่จะได้พบคู่ต่อสู้ที่สมศักดิ์ศรี นอกจากนี้เขายังต้องการทดสอบระดับความสามารถของตนในการดวลกับมังกรสวรรค์ผู้สันโดษบนหุบเขาแห่งนี้ด้วย
หลังจากอธิบายเหตุผลร้อยแปดพันเก้าให้เสี่ยวหยูผู้ที่คอยเป็นห่วงเขาอยู่เสมอฟัง นางก็ยอมจำนนต่อเหตุผลและให้นายน้อยไปแต่โดยดี
ก่อนหน้านี้เสี่ยวหยูเคยส่งลูกจ้างจำนวนหนึ่งไปสืบหาที่อยู่ของปรมาจารย์ผู้อาศัยอยู่บนหุบเขา แต่จนแล้วจนรอดพวกเขาก็หาไม่พบ ไม่สามารถบอกได้แม้แต่ตำแหน่งคร่าวๆเลยด้วยซ้ำ ลูกจ้างเหล่านั้นเพียงแต่บอกว่าพวกเขาเดินวนที่เดิมอยู่หลายชั่วยาม ก่อนจะถอดใจและกลับมารายงานเสี่ยวหยู
เมื่อเย่เย่มาถึงหุบเขาแห่งต้นกำเนิดที่ปกคลุมไปด้วยหมอกหนาทึบ เขามองเห็นเพียงสิ่งต่างๆรอบๆตัวเขาในระยะใกล้เท่านั้น เขาเดินไปเรื่อยๆจนเกือบถึงยอดเขาและค้นพบว่าบริเวณยอดเขานั้นถูกป้องกันเอาไว้ด้วยค่ายกล
‘ไม่แปลกใจเลยที่จะไม่มีใครหาตัวเขาพบ’ นัยน์ตาของ เย่เย่แสดงถึงความประหลาดใจออกมา แต่ค่ายกลที่อยู่เบื้องหน้าเขานั้นเขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี
‘ค่ายกลเหมันต์นิรันดร หนึ่งในค่ายกลรูปแบบเขาวงกต ค่ายกลนี้ก็เป็นหนึ่งในค่ายกลที่ข้าเคยติดตั้งที่หอการค้า ดูเหมือนว่าข้าจะโชคดีกว่าที่คิดอีกแฮะ’ เย่เย่ยิ้มมุมปากออกมาเล็กๆ เขาเริ่มลงมือแก้ค่ายกลอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ในขณะเดียวกัน ชายหญิงคู่หนึ่งนั่งอยู่บนยอดเขาที่ตัดขาดจากโลกภายนอกด้วยค่ายกลที่พวกเขาวางเอาไว้ ชายผู้นี้อายุน่าจะราวๆ 50 ปี มีนามว่าลั่วเฟิงเฉิงเป็นมังกรสวรรค์ลำดับที่ 159 ส่วนผู้หญิงนั้นรุ่นราวคราวลูกของชายชราอายุราว 20 ปี ใบหน้าของนางช่างงดงามหยดย้อย อยู่ในชุดคลุมยาวสีม่วงดูสูงศักดิ์ช่างตัดกับอารมณ์ของนางที่ดูหม่นหมอง นางเหม่อมองก้อนเมฆที่เคลื่อนตัวอย่างไร้จุดหมาย
“ท่านลุง มีบางคนพยายามจะแก้ค่ายกลของข้าอีกแล้ว! ท่านเนี่ยมีชื่อเสียงไม่เบาเลยนะ?”
ทันทีที่นางสัมผัสได้ถึงผู้บุกรุกที่เข้ามาในค่ายกลของนางอีกครั้งหนึ่ง นัยน์ตาของนางเต็มไปด้วยความตื่นเต้น และอดไม่ได้ที่จะพูดหยอกล้อลั่วเฟิงเฉิงผู้เป็นลุง
ชายชราพูดตอบกลับแม่นางด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ “แม้แต่ค่ายกลของแม่นางมู่หลูยังทำให้พวกเขาถอดใจไม่ได้เชียวหรือ? ดูเหมือนว่าหุบเขานี้จะไม่ใช่ที่ปลอดภัยเสียแล้ว!?”
“ฮิฮิ นั่นเป็นเพราะชื่อเสียงของท่านลุงนั่นแหละ! พวกเขาถึงอยากมาท้าประลองกับท่านละมั้ง!?” มู่หลูแม่นางขี้เล่นยังคงแซวลุงของนางอย่างไม่หยุดหย่อน
“เปล่าเลย ข้าว่าเป็นเพราะภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้น่ะไม่มีคนแข็งแกร่งพอให้พวกเขาแก้เบื่อละมั้ง? เฮ้อ ถึงเวลาที่พวกเราต้องกลับหวางตู่แล้วสินะ!?”
ลั่วเฟิงเฉิงส่ายหัวปฏิเสธคำยกยอปอปั้นของแม่นางมู่หลู พลางถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย จุดแข็งของผู้เฒ่าลั่วคือเขารู้จักระดับพลังของตัวเองดี อีกทั้งยังเป็นคนละเอียดรอบคอบและไม่เคยประมาทศัตรู ดังนั้นผู้เป็นนายจึงให้ความไว้วางใจเขา และฝากมู่หลูให้เขาดูแลสักระยะหนึ่งอีกด้วย
พวกเขากบดานอยู่บนภูเขาแห่งต้นกำเนิดนี้นานร่วมปีแล้ว หากเย่เย่ไม่ได้เป็นคนที่มาหาพวกเขา คงไม่มีใครหาพวกเขาพบเป็นแน่
“ท่านลุงถ่อมตัวเกินไปแล้ว! ผู้ที่เป็นทั้งเทพอสูรไร้เงาแล้วยังติดอันดับมังกรสวรรค์เช่นท่าน หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยากนัก!”
แม่นางมู่หลูพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง และนัยน์ตาของนางเต็มไปด้วยความเคารพเลื่อมใสที่นางมีต่อชายชรา
เมื่อได้ยินเฒ่าลั่วพูดถึงเมืองหวางตู่ ดวงตาของนางก็สะท้อนความเศร้าสร้อยออกมาอย่างเห็นได้ชัด ชายแก่ที่ลืมตัวเผลอพูดถึงเรื่องเก่าๆออกมาก็เปลี่ยนเรื่องพูดในทันที
“ความแข็งแกร่งของมังกรสวรรค์น่ะล้วนเป็นของจริง แต่ข้าว่าผู้ใช้ค่ายกลได้อย่างช่ำชองน่ะหาตัวจับได้ยากกว่าเสียอีก”
“จริงเหรอ!?”
มู่หลูได้ยินลั่วเฟิงเฉิงพูดดังนั้นนางก็ดีใจ แต่นางไม่ได้เหลิงแต่อย่างใดกลับพูดตอบเขาอย่างอ่อนน้อมอีกด้วย
“ข้าว่าพวกเราอาจจะกลับเผชิญหน้ากับผู้ใช้ค่ายกลเหมือนกันก็ได้!? ไม่แปลกไปหน่อยเหรอที่พวกที่เคยเข้ามาในค่ายกลของข้า จะกล้ากลับมาอีกเป็นครั้งที่สอง บางทีอาจจะมีผู้ใช้ค่ายกลฝีมือฉกาจอยู่เบื้องหลังเขาเป็นแน่!”
“ท่านมู่หลูคิดมากเกินไปแล้ว! จริงอยู่ที่มีผู้คนมากมายที่มีพรสวรรค์ในแผ่นดินฉางหลาง แต่พวกเขาส่วนใหญ่ไม่อยู่ในหวางตู่ ก็สังกัดในนิกายทั้งแปด นอกเหนือจากนี้ข้าก็นึกไม่ออกแล้ว! เป็นไปไม่ได้เลยที่คนจากหลิงเฉิงจะแก้ค่ายกลของเจ้าได้น่ะ”
ลั่วเฟิงเฉิงปฏิเสธความคิดของแม่นางมู่หลู เขาไม่เชื่อว่าจะมีผู้ใช้ค่ายกลที่มีความชำนาญมากพอที่จะแก้ค่ายกลของนางได้อยู่ในหลิงเฉิง
หลังจากสิ้นเสียงลั่วเฟิงเฉิงได้ไม่นาน แม่นางมู่หลูก็ลุกพรวดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“ค่ายกลของข้าถูกทำลายซะแล้ว!” เมื่อนางพูดเสร็จนางรีบเดินไปยังทางขึ้นส่วนยอดเขาในทันที
“คะ..ค่ายกลของเจ้าเนี่ยนะ?”
ลั่วเฟิงเฉิงยืนนิ่งไม่ขยับไปไหน เขาตกตะลึงกับคำพูดของมู่หลูอยู่นาน ก่อนที่จะรีบตามมู่หลูไปอย่างรวดเร็ว
เย่เย่ที่แก้ค่ายกลนี้อยู่นาน ก็เดินมาถึงส่วนยอดของภูเขาแห่งต้นกำเนิด เขาพบชายชรา และหญิงสาวสง่างามปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขาโดยมีสีหน้าตกตะลึง
“เจ้า!? เจ้าคือคนที่พังค่ายกลของข้าใช่หรือไม่?”
มู่หลูไม่รอให้เย่เย่แนะนำตัวเอง นางรีบสอบสวนผู้บุกรุกแปลกหน้าในทันที นางไม่เชื่อว่ามีผู้ใช้ค่ายกลที่อายุน้อยกว่านางในแผ่นดินฉางหลางอีกแล้ว นางจึงพยายามชะโงกตัวมองว่ามีใครตามเขามาข้างหลังอีก เมื่อพบว่าเย่เย่มาตัวคนเดียวนางก็ยิ่งประหลาดใจเข้าไปอีก
ลั่วเฟิงเฉิงก็ประหลาดใจไม่ต่างอะไรกับสาวสวย เขาพยายามยื่นคอมองซ้ายทีขวาที แต่ก็ไม่พบใคร ก่อนที่เขาจะมองมาที่ชายหนุ่มตรงหน้าของเขาด้วยความคลางแคลงใจ
“ข้าต้องขออภัยด้วยที่พังค่ายกลของท่านโดยพลการเช่นนี้”
เย่เย่ก็แปลกใจไม่ต่างจากพวกเขาทั้งสอง เมื่อเขาพบว่าผู้ติดตั้งค่ายกลนี้เป็นผู้หญิงอายุน้อยที่ยืนกอดอกอยู่หน้าเขา อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้แสดงออกทางสีหน้ามากนัก เขายังคงสุขุมและทำความเคารพชายหญิงคู่นั้นในทันที