บทที่ 105
การชุมนุม
เย่เย่เมื่อทราบเรื่องก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบกลับไปว่า “ในเมื่อท่านตู๋กู่ไม่สามารถเข้าร่วมประชุมได้ เช่นนั้นในตอนนี้พวกเรามาคิดหาวิธีแก้ปัญหาด้วยตัวเองกันก่อน หากท่านมีข้อเสนอหรือแนวความคิดใดก็พูดออกมาได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ”
ทันทีที่สิ้นเสียงของเย่เย่ ผู้คนมากมายในห้องโถงต่างพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกัน ผู้นำตระกูลน้อยใหญ่ก็มีสีหน้าที่เคร่งเครียดและกระวนกระวายใจ เห็นได้ชัดเลยว่าพวกเขาคัดค้านแผนของเย่เย่ที่จะต่อสู้กับตระกูลมู่หรง พวกเขาไม่อยากถูกร่างแหเข้าไปพัวพันกับภัยคุกคามนี้
ตระกูลมู่หรงนี้เป็นถึงตระกูลที่ยิ่งใหญ่ในภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ของแผ่นดินฉางหลาง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เห็นด้วยกับแผนของเย่เย่ มีเพียงขั้วอำนาจทั้งสามหอการค้าตันเซียง สำนักเพลิงสวรรค์ และสำนักรุ่งอรุณเท่านั้นที่สนับสนุนแผนการนี้
“ท่านเย่พูดถูกแล้ว ตระกูลมู่หรงแม้จะมีอำนาจมานานนับสิบปี แต่ปัจจุบันพวกเขาแค่กินบุญเก่าที่คนรุ่นก่อนทิ้งเอาไว้ให้เท่านั้น ไม่ว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน เมืองหลิงเฉิงของพวกเราก็พร้อมสู้จนเลือดหยดสุดท้าย”
เหอเฉิน จ้าวสำนักรุ่งอรุณลุกขึ้นพูดแสดงการสนับสนุนการตัดสินใจของเย่เย่ด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น แม้เฉินอี้ตันและจางเสี่ยวยู่จะยังคงนิ่งเงียบแต่พวกเขาก็พยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งที่เหอเฉินพูด พวกเขาทั้งสามต่างมองไปที่เย่เย่เป็นสายตาเดียวกันราวกับคาดหวังในคำตอบของเขา
เย่เย่รู้สึกงุนงงกับท่าทีของพวกเขาทั้งสาม จนกว่าเขาจะฟังเหอเฉินพูดจนจบ เขาก็ไม่อาจรู้ได้ว่าเจตนาแอบแฝงของเหล่าขั้วอำนาจคืออะไร
“ในฐานะที่ท่านประธานเป็นผู้ปกครองหลิงเฉิง ข้านับถือท่านที่ยืนกรานปฏิเสธการยอมจำนนต่อตระกูลมู่หรง ดังนั้นข้าขอเสนอให้ท่านเย่เป็นผู้นำในการทำศึกในครั้งนี้ ข้าเชื่อมั่นเป็นอย่างมากว่าภายใต้การนำของท่านเย่จะนำความสงบสุขมาสู่เมือง หลิงเฉิงอีกครั้งหนึ่ง พวกท่านเห็นว่าอย่างไร?” เหอเฉินเมื่อพูดจบก็หันหน้ามองไปที่เฉินอี้ตันและจางเสี่ยวยู่เพื่อขอความเห็นจากพวกเขาในทันที
“ข้าเห็นด้วยกับท่าน ท่านเย่เหมาะสมแล้ว”
“ครั้งหนึ่งหอการค้าของท่านเย่เกือบถูกปราการ หลิงหยวนยึดครอง ครั้งนี้ข้าหวังว่าท่านเย่จะเข้าใจหัวอกพวกเรา และไม่ทำอะไรที่ขัดต่อหลักการของท่านล่ะนะ”
เฉินอี้ตัน และจางเสี่ยวยู่ลุกขึ้นพูดสนับสนุนข้อเสนอของเหอเฉิน พวกเขาจะไม่ยอมเพิกเฉยต่อการถูกคุกคาม ไม่ว่าตระกูลมู่หรงนี้จะเป็นใครหรือใหญ่มาจากไหนพวกเขาจะสู้เพื่อปกป้องสำนักของพวกเขาไว้ยิ่งด้วยชีวิต
แม้ว่าเดิมทีเฉินอี้ตันจะถูกชะตากับเย่เย่ และเคยชักชวนเขาเข้าร่วมหอการค้าตันเซียงอยู่หลายครั้ง แต่หลังจากการมาของโจวไท่หอการค้าตันเซียงของเขาก็เลือกที่จะทิ้งระยะห่างออกมา ในปัจจุบันหอการค้าหยูเย่กลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขากลับกังวลว่าเย่เย่จะใช้วิกฤตินี้เพื่อรวมทุกขั้วอำนาจเข้าด้วยกันและขึ้นปกครองเสียเอง เขาจึงเริ่มไม่ไว้วางใจเย่เย่และระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ
หลังจากที่ทั้งสามพูดจบ เย่เย่ก็เข้าใจเจตนาแอบแฝงของพวกเขาในทันที พวกเขาไม่ได้คิดกันแค่เรื่องจะรับมือกับตระกูล มู่หรง แต่พวกเขาหวาดระแวงว่าจะถูกผนวกรวมกับหอการค้า หยูเย่แบบเดียวกับที่ปราการหลิงหยวนเคยทำ เย่เย่ที่เริ่มเข้าใจสถานการณ์คร่าวๆแล้วจึงลุกขึ้นและพูดกับพวกเขาทั้งสาม
“ท่านทั้งสามคิดมากเกินไปแล้ว! เหตุผลที่ข้ากล้าเผชิญหน้ากับตระกูลมู่หรงคือข้าเชื่อมั่นว่าข้าจะเอาชนะพวกเขาได้เท่านั้น หากไม่แล้วการยอมจำนนต่อตระกูลมู่หรงอาจเป็นทางออกสุดท้าย”
เย่เย่พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ และสุขุมเยือกเย็นแต่ผู้ฟังกลับรู้สึกถึงการข่มขู่ในคำพูดของเขา การผนึกกำลังของ ขั้วอำนาจต่างๆในหลิงเฉิงเข้าด้วยกันทำให้เกิดปัญหาภายในที่เขาไม่คาดคิด
เย่เย่ไม่ต้องการให้เกิดปัญหาเหล่านี้ หากเขาไม่ผนวกรวมขั้วอำนาจทั้งหลายให้เป็นหนึ่งเดียวเพื่อรับศึกในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่จะทำให้เกิดปัญหาโดยรวม แต่ยังทำให้ขั้วอำนาจน้อยใหญ่ไม่ยำเกรงหอการค้าหยูเย่อีกด้วย
การที่เขาเรียกชุมนุมในวันนี้เพียงเพื่อผลประโยชน์โดยรวมของเมืองหลิงเฉิง แต่ขั้วอำนาจทั้งหลายกลับไม่ไว้วางใจในตัวเขา ซึ่งทำให้เย่เย่ไม่พอใจเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตามความตั้งใจจริงของเขาดูเหมือนว่าจะส่งไปไม่ถึงพวกเขาทั้งสามเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะเหอเฉินที่เริ่มมีท่าทีไม่เห็นด้วย
“ข้าไม่ทราบหรอกนะว่าท่านเย่วางแผนอะไรอยู่ ในเมื่อข้าศึกบุกประชิดประตูเมืองขนาดนี้แล้ว ท่านยังไม่แสดงความจริงใจให้พวกเราเห็นอีกหรือ? นี่ท่านคิดจะใช้พวกข้าเป็นเครื่องมือในขณะที่พวกข้าไม่ไว้วางใจท่านน่ะหรือ?”
เหอเฉินต้องการให้เย่เย่สัญญาว่าเขาจะไม่ใช้โอกาสนี้ผนวกรวมขั้วอำนาจและยึดครองหลิงเฉิงไว้แต่เพียงผู้เดียว เย่เย่ที่ได้ยินดังนั้นก็ตอบกลับในทันที “หากท่านไม่เชื่อใจข้า ข้าก็ไม่คาดหวังความช่วยเหลือจากท่านหรอกนะ”
เย่เย่ผิดหวังในตัวเหอเฉิน แม้ว่าเฉินอี้ตันและจางเสี่ยวยู่ยังคงคิดไม่ตกกับเรื่องนี้ แต่เหอเฉินกลับตัดสินใจอย่างเด็ดขาด และพูดกับเย่เย่อย่างเย็นชา
“ในเมื่อเป้าหมายของพวกเราไม่ตรงกัน พวกข้าสำนักรุ่งอรุณจะไม่ให้ความช่วยเหลือใดๆกับท่าน พวกเราจะยืนหยัดต่อสู้กับตระกูลมู่หรงด้วยตัวเอง ข้ามั่นใจว่าด้วยอำนาจสมบัติศักดิ์สิทธิ์ของสำนักข้า หยกแห่งพงไพรนี้ สำนักของข้าจะแคล้วคลาดปลอดภัย”
เหอเฉินพูดพลางหยิบหยกทรงพลานุภาพประจำสำนักของเขาออกมาจากแขนเสื้อข้างซ้าย และชูขึ้นจนเกิดแสงสะท้อนสีเขียวระยิบระยับ
ผู้คนในโถงที่รู้จักหยกก้อนนี้ต่างพากันหวาดผวาในพลังอำนาจของมัน แม้แต่เฉินอี้ตันและจางเสี่ยวยู่เองก็ยังประหลาดใจเมื่อได้เห็นหยกนี้อยู่ในมือของเหอเฉิน ทั้งสองต่างมองหน้ากันและตัดสินใจปฏิเสธให้ความร่วมมือกับเย่เย่ด้วยเช่นกัน
“ท่านเย่ ข้าต้องขออภัยด้วย หอการค้าตันเซียงของพวกเราขอปฏิเสธที่จะร่วมมือกับท่าน”
“สำนักเพลิงสวรรค์ของข้าก็เช่นกัน พวกเราตัดสินใจร่วมมือกับสำนักรุ่งอรุณเพื่อรับมือกับ
ตระกูลมู่หรง หากท่านเย่เปลี่ยนใจเข้าร่วมกับพวกเราข้าจะให้การสนับสนุนท่านอย่างเต็มที่”
เหอเฉินเห็นดังนั้นจึงอดฉีกยิ้มด้วยความพึงพอใจไม่ได้ ก่อนที่เขาจะมองมาที่เย่เย่ด้วยสายตาเย้ยหยัน สาเหตุที่ทั้งสองต่างเข้าร่วมกับเหอเฉินนั้นเป็นเพราะหยกแห่งพงไพรคือหนึ่งในห้าเบญจธาตุศาสตราที่เป็นมรดกตกทอดมาตั้งแต่ครั้งบรรพกาล แม้ว่ามันจะมีเพียงคุณสมบัติในการป้องกัน แต่มันก็ขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดในชั้นเทพอสูร ต่อให้มู่หรงตู่เฟิงบุกเข้ามาด้วยตนเองก็ยากที่จะฝ่าแนวป้องกันของพวกเขาได้
ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวของมันคือหยกธาตุไม้นี้คือมันสามารถถูกทำลายได้อย่างง่ายดายด้วยเบญจธาตุศาสตราธาตุไฟ อย่างไรก็ตามเบญจธาตุศาสตรานี้สูญหายไปตามกาลเวลา และแทบไม่หลงเหลืออยู่บนโลกใบนี้แล้ว จึงทำให้เหอเฉินนั้นมั่นใจในพลังของหยกชิ้นนี้มาก ต่อให้เป็นมู่หรงตู่เฟิงหรือแม้กระทั่งเย่เย่เองเขาก็ไม่เกรงกลัวผู้ใด
สาเหตุที่เขานำหยกชิ้นนี้แสดงออกมาต่อหน้าสาธารณชนก็เพื่อแสดงแสนยานุภาพของสำนักรุ่งอรุณและแสดงความกระด้างกระเดื่องต่อหอการค้าหยูเย่ เหอเฉินข่มขู่เย่เย่ให้รับมือกับ
ตระกูลมู่หรงแต่เพียงผู้เดียว ส่วนพวกเขานั้นจะหลบซ่อนตัวอยู่หลังแนวป้องกันรากไม้ที่หยกวิเศษของเขาสร้างขึ้น แม้ว่าเหอเฉินยังคงหวังอยู่ลึกๆว่าเย่เย่จะเปลี่ยนใจและยอมลงนามสัญญาว่าจะไม่รวมศูนย์ขั้วอำนาจทั้งหมดเป็นของตน
แต่เขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นเย่เย่ยังคงเพิกเฉยต่อข้อเสนอ และมองมาที่หยกของเขาด้วยสีหน้าที่มั่นอกมั่นใจอีกด้วย…