บทที่ 112
โจมตีสายฟ้าแลบ
“ถ่ายทอดคำสั่งลงไป จงเรียกเจ้าสำนักรุ่งอรุณและผู้นำคนอื่นๆที่ปฏิเสธข้อเสนอของข้าให้มาที่หอการค้าโดยด่วน!” เย่เย่ที่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจที่จะเรียกรวมพลให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
เย่เย่นั้นอ่านแผนการของตระกูลมู่หรงออกว่าพวกเขาจะไม่โจมตีหอการค้าหยูเย่โดยตรง แต่จะจู่โจมไปที่ขั้วอำนาจต่างๆในเมืองหลิงเฉิงเพื่อตัดทอนกำลังเสียก่อน ดังนั้นเย่เย่จึงเรียกรวมพลเฉพาะขั้วอำนาจที่ไม่ยินยอมให้ติดตั้งค่ายกล เพื่อแจ้งข่าวให้พวกเขาเสริมการป้องกันให้แน่นหนา
เมื่อพวกเขารวมตัวกันจนครบองค์ประชุม เหอเฉินเจ้าสำนักรุ่งอรุณจึงถามเย่เย่ขึ้นด้วยสีหน้ากระวนกระวาย “ที่ท่านว่ามา จริงรึ!?”
แม้ว่าสำนักรุ่งอรุณเองได้ส่งสายสืบเข้าไปสอดแนมตระกูลมู่หรงเช่นเดียวกัน แต่เขากลับไม่ได้ข่าวคราวอะไรกลับมาเป็นชิ้นเป็นอันเลยแม้แต่น้อย ซึ่งทำให้เหอเฉินนั้นทวีความสงสัยในตัวเย่เย่เพิ่มมากขึ้นไปอีก นอกจากตัวเขาแล้วผู้นำคนอื่นๆต่างจ้องมองเย่เย่ด้วยความไม่ไว้วางใจ
“ในสถานการณ์เช่นนี้ ข้าจะโกหกท่านไปเพื่ออะไรกันล่ะ? ถ้าข้าคาดการณ์ไม่ผิดละก็ พวกเขาจะลงมือภายใน 1 ถึง 2 วันข้างหน้า สำนักของพวกท่านที่ไร้ซึ่งการคุ้มกันของค่ายกลจะต้องแตกพ่ายอย่างแน่นอน” เย่เย่พูดกับเหอเฉินด้วยสีหน้าจริงจัง แม้ว่าเขาจะไม่ได้ตำหนิอะไร แต่เย่เย่ก็พูดความจริงให้พวกเขาได้รับรู้ อย่างไรก็ตามยิ่งเย่เย่พูดถึงการติดตั้งค่ายกลมากเท่าไหร่ พวกเขาก็ต่อต้านมากเท่านั้น
ระหว่างที่ประชุมกันอยู่นั้นเอง เหอเฉินได้มองไปรอบๆและไม่พบคนของหอการค้าตันเซียง สำนักเพลิงสวรรค์ หรือตระกูลอื่นๆที่รับข้อเสนอของเย่เย่เลยสักคนเดียว เขาจึงเริ่มระมัดระวังตัวและไม่เปิดโอกาสใดๆให้กับเย่เย่เลยแม้แต่น้อย
“ขออนุญาตถามท่านเย่ตามตรง ทำไมเฉินอี้ตันและ จางเสี่ยวยู่ไม่เข้าร่วมประชุมกันล่ะ?” เหอเฉินได้จุดชนวนความเคลือบแคลงใจของผู้คนในห้องประชุม เมื่อเขาสังเกตเห็นว่ามีเพียงขั้วอำนาจที่ปฏิเสธข้อเสนอเท่านั้นที่ถูกเรียกรวมพลในวันนี้ พวกเขาต่างเริ่มโหวกเหวกโวยวายเมื่อสงสัยว่าเย่เย่อาจมีเจตนาเป็นอื่น
“ได้โปรดอยู่ในความสงบ! ข้านับถือในจินตนาการอันสูงส่งของพวกท่าน แต่ด้วยพลังของข้าในตอนนี้ข้าจำเป็นต้องเล่นลูกไม้อะไรกับพวกท่านด้วยงั้นรึ!?” เย่เย่มองพวกเขาด้วยสายตาเหยียดหยาม ก่อนพูดประชดประชันขึ้น หากไม่ได้อยู่ในสถานการณ์คับขันละก็เย่เย่คงต่อยพวกเขาเรียงตัวแบบหนังอินเดียไปแล้ว ทันใดนั้นเอง…
“ท่านเย่ แย่แล้ว! ตระกูลมู่หรงเริ่มโจมตีแล้ว! ขั้วอำนาจทั้งหลายต่างได้รับความเสียหายอย่างหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำนักรุ่งอรุณ สำนักจิ้นเถา ตระกูลฮวง และตระกูลซง ล่าสุดพวกเขาเหล่านี้ได้ส่งตัวแทนขอความช่วยเหลือมายังท่านขอรับ!”
“อะไรนะ!?”
“ระ…เร็ว!”
“แม้แต่ตระกูลซงของข้างั้นรึ!?”
เมื่อได้รับข่าวร้าย ผู้นำตระกูลต่างๆในห้องล้วนมีสีหน้าที่บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บแค้น
“ให้พวกเขาเข้ามา!” เย่เย่ยังคงสงบนิ่ง ไม่ตื่นตระหนกแต่อย่างใด เขาอนุญาตให้ตัวแทนของขั้วอำนาจต่างๆดังกล่าวเข้ามาในห้องประชุมเพื่อรับฟังสถานการณ์เบื้องต้น
“หลิวไหเถามันเกิดอะไรขึ้นกับสำนักรุ่งอรุณของพวกเรา เจ้าแน่ใจรึไม่ว่าเป็นฝีมือของตระกูลมู่
หรงน่ะ!?” เหอเฉินลุกขึ้นจับไหล่ของศิษย์ในสำนักของตน ก่อนซักไซ้ถามเขาอย่างกระวนกระวายใจ เขายังคงไม่เชื่อในตัวเย่เย่และคิดว่านี่ไม่ใช่ฝีมือจากใครอื่น
“เรียนท่านเจ้าสำนัก! เป็นตระกูลมู่หรงไม่ผิดแน่ขอรับ พวกเขายังบอกอีกด้วยว่าให้ท่านยอมจำนนแต่โดยดี”
ตัวแทนจากตระกูลอื่นๆก็ให้คำตอบเช่นเดียวกับ หลิวไหเถา เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าตระกูลมู่หรงนั้นบุกโจมตีพวกเขาแบบสายฟ้าแลบ ทำให้สำนักพวกเขาที่ปราศจากการปกป้องจากค่ายกลนั้นพ่ายแพ้ลงอย่างง่ายดาย
ในบรรดาพวกเขาตระกูลซง และตระกูลฮวงนั้นได้รับความเสียหายมากที่สุด เนื่องจากพวกเขาเป็นยอดนักสู้และปฏิเสธที่จะยอมแพ้ แม้ว่าสำนักรุ่งอรุณ และสำนักจิ้นเถาจะสามารถตั้งรับการโจมตีเอาไว้ได้แต่ศิษย์ของพวกเขาต่างล้มตายกันจนกองเป็นภูเขาเลากา
“ข้าจะกลับไปที่สำนักเดี๋ยวนี้!”
“ข้าจะฆ่าพวกเดนนรกนั่น!”
ผู้นำของขั้วอำนาจต่างๆต่างคิดไปในทางเดียวกัน พวกเขาตัดสินใจที่จะกลับไปยังถิ่นฐานของตน แต่ทว่าขณะนั้นเอง เฉินอี้ตันและจางเสี่ยวยู่เมื่อยันการโจมตีระลอกแรกของตระกูล มู่หรงไว้ได้สำเร็จ พวกเขาก็ปรากฏตัวขึ้นที่หอการค้าเพื่อมารายงานแก่เย่เย่ “ท่านเย่ ด้วยค่ายกลที่ท่านจัดเตรียมไว้ให้ทำให้ศัตรูล่าถอยไปแล้ว นอกจากนี้ยังไม่มีใครได้รับบาดเจ็บอีกด้วย!”
เฉินอี้ตัน จางเสี่ยวยู่ และผู้นำตระกูลคนอื่นๆที่ยอมรับข้อเสนอต่างพากันขอบคุณเย่เย่ด้วยความซาบซึ้งอย่างเป็นเสียงเดียวกัน
“ขอบคุณท่านเย่ที่ช่วยเหลือพวกเรา พวกเราติดหนี้บุญคุณท่านแล้ว”
เมื่อเหอเฉินและคนอื่นๆเห็นเฉินอี้ตันและจางเสี่ยวยู่แคล้วคลาดปลอดภัยจากการโจมตี พวกเขาต่างแสดงสีหน้าที่ตกตะลึงออกมา พวกเขาที่พยายามกีดกันเย่เย่มาโดยตลอดก็เริ่มสำนึกได้
เหอเฉินต่อสู้กับความทะนงตนภายในจิตใจ ก่อนจะกล้ำกลืนฝืนทนพูดขอความช่วยเหลือจากเย่เย่ในที่สุด “ท่านเย่ ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย! ในสถานการณ์เช่นนี้ข้าหวังว่าท่านเย่จะช่วยเหลือพวกเราอย่างสุดกำลังความสามารถ ข้าเหอเฉินผู้นี้จะจดจำบุญคุณของท่านไปตลอดชีวิต”
“ข้าหวังว่าท่านจะไม่ถือสาเอาความ และได้โปรดส่งคนมาช่วยสำนักของเราด้วยเถิด!”
ในเมื่อเหอเฉิน และผู้นำตระกูลคนอื่นๆขอความช่วยเหลือจากเขาด้วยใจจริง แม้ว่าเย่เย่จะไม่ถูกโรคกับพวกหน้าไหว้หลังหลอกมากนัก แต่เขาก็มองสถานการณ์โดยรวมเป็นสำคัญ หลังจากคิดอยู่สักพักเขาก็ได้สั่งการลูกน้องของเขา และเฉินอี้ตันให้ไปสมทบกับกองกำลังขอเหอเฉิน และคนอื่นๆ ส่วนตัวเขาเองก็เตรียมการติดตั้งค่ายกลให้สำนักที่เหลือ
จากบทเรียนที่เหอเฉิน และบางตระกูลได้รับทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าคัดค้าน หรือสงสัยในความสามารถของเย่เย่อีก เมืองหลิงเฉิงที่แบ่งออกเป็นหลายก๊กก็ได้เริ่มหลอมรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันทีละเล็กทีละน้อย
เมื่อกำลังสนับสนุนของหอการค้าหยูเย่มาถึง ตระกูล มู่หรงที่ทราบข่าวล่วงหน้าจึงรีบสั่งถอนกำลังถอยออกมาตั้งหลักในทันที เหลือเพียง 2 คนที่ถอยออกมาไม่ทันและถูกกองกำลังของเย่เย่จับตัวเอาไว้ ผู้นำตระกูลต่างๆ รวมไปถึงเหอเฉินที่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก พวกเขาโกรธแค้น
ตระกูลมู่หรงจนถึงขั้นคว้าดาบออกมาหมายจะสับลูกหลานที่ถูกจับได้ให้เป็นชิ้นๆ โชคยังดีที่เย่เย่ขวางพวกเขาไว้ได้ทัน…