บทที่ 114
ข่าวจากเฟิงเจิ้น
หลังจากที่ฟังความเห็นของจากเสี่ยวยู่ เหอเฉินที่คัดค้านเย่เย่มาโดยตลอดกลับไม่เห็นด้วยกับเขา ก่อนที่จะตอบกลับ จ้าวสำนักเพลิงสวรรค์ไปอย่างใจเย็น
“ข้าเข้าใจเจตนาของท่านดี หากเป็นเมื่อสองสามวันก่อนข้าคงจะเห็นด้วยกับข้อเสนอของท่านไปแล้ว แต่หลังจากที่ข้าทราบข่าววงในจากหอการค้าหยูเย่ทำให้ข้าตระหนักได้ว่าหลิงเฉิงของพวกเรายังพอมีโอกาสพลิกสถานการณ์อยู่บ้าง”
เฉินอี้ตันและจางเสี่ยวยู่ต่างขมวดคิ้วด้วยความงุนงง ทั้งสองไม่เข้าใจในสิ่งที่เหอเฉินพูดถึงเลยแม้แต่น้อย และถาม เหอเฉินอย่างไม่อ้อมค้อม
“ข่าววงในที่ท่านหมายถึงคือ?”
เหอเฉินประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อพบว่าเขาทั้งสองที่ใกล้ชิดกับเย่เย่กลับไม่รู้อะไรบ้างเลย ก่อนที่ชี้แจงแถลงไขให้พวกเขาได้รับรู้
“นี่พวกท่านไม่สังเกตบ้างเลยหรือ? ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือนพวกจอมยุทธ์ในหอการค้า
หยูเย่ดูมีพัฒนาการที่เพิ่มขึ้นอย่างผิดหูผิดตา ราวกับเป็นคนละคนเลย”
ทั้งสองเมื่อได้ยินเหอเฉินพูดดังนั้น พวกเขาก็นึกถึงตอนที่เย่เย่ส่งกำลังพลมาช่วยเหลือพวกเขาต้านศึกมู่หรง แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ใกล้ชิดกับผู้คนเหล่านั้นโดยตรงแต่ก็สัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลที่พวกเขาไม่เคยสัมผัสได้จากจอมยุทธ์เหล่านี้มาก่อน เพียงแค่ลมหายใจที่แผ่วเบาของพวกเขาก็รู้สึกถึงพลังแห่งโลกและสวรรค์ที่อัดแน่นอยู่ภายใน
“ท่านเหอ ท่านทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร?”
เฉินอี้ตันและจางเสี่ยวยู่มองหน้ากันอย่างสับสน แม้ว่าพวกเขาจะนึกขึ้นได้แต่ก็ไม่อาจทราบรายละเอียดแน่ชัด
เหอเฉินจึงอธิบายขยายความ “สายสืบของข้ารายงานมาว่า ในช่วงเวลาปิดทำการของหอการค้าพวกลูกจ้างภายในหอจะหายตัวไประยะหนึ่ง และในวันถัดมาระดับวรยุทธ์ของพวกเขาก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจมีอะไรปิดบังพวกเราอยู่ก็เป็นได้”
“อะไรกัน!?” จางเสี่ยวยู่และเฉินอี้ตันต่างแสดงสีหน้าตกตะลึง
ถึงแม้ว่าพวกเขาทั้งสามนั้นไม่รู้เกี่ยวกับค่ายกลลมปราณไหลเวียน แต่จากเบาะแสต่างๆของเหอเฉินก็ยิ่งทำให้พวกเขาตื่นตระหนก ทั้งสามไม่อยากคิดเลยว่าหากพวกเขาไม่ยอมจำนนต่อเย่เย่พวกเขาจะพบกับจุดจบเช่นไร
ความสามารถของหอการค้าหยูเย่นั้นเหนือกว่าจินตนาการของพวกเขาอยู่มาก เหอเฉินจึงปฏิเสธข้อเสนอของจางเสี่ยวยู่และหากเลือกได้เขาเลือกที่จะยอมจำนนต่อเย่เย่มากกว่าตระกูลมู่หรง
เดิมทีเฉินอี้ตันและจางเสี่ยวยู่เดินทางมาที่สำนักรุ่งอรุณของเหอเฉินอย่างลับๆ เพื่อหาทางออกและตัดช่องน้อยแต่พอตัวสำหรับพวกเขาทั้งสาม แต่เมื่อได้ทราบข่าววงในจากเหอเฉินพวกเขาจึงเริ่มพิจารณาให้ถี่ถ้วนอีกครั้งหนึ่ง
ในขณะเดียวกันเย่เย่ก็ได้ข้อมูลที่สำคัญจากปากของนักโทษด้วยความช่วยเหลือจากยันต์สัจวาจาที่แลกมาจากระบบ ทันใดนั้นเอง…
“เรียนท่านประธาน เฉินเจียนโปมาขอเข้ารายงานข่าวจากเฟิงเจิ้นแก่ท่านขอรับ!”
“ให้เขาเข้ามา!” เมื่อเย่เย่ได้ยินว่าข่าวมาจากบ้านเกิดของเขา นัยน์ตาของเขาก็สะท้อนความประหลาดใจออกมาทันที ก่อนจะอนุญาตให้ชายหลังบานประตูเข้ามาอย่างไม่รอช้า
ชายร่างใหญ่เดินเข้ามาในห้องพักของเย่เย่โดยมีชายร่างเล็กนำทางเขาเข้ามา เฉินเจียนโปผู้นี้เคยเป็นถึงประธานหอการค้าขนาดใหญ่ หลังจากที่เย่เย่เอาชนะโจวไท่ได้ หอการค้าของเขาก็เป็นเจ้าแรกที่เข้าสวามิภักดิ์ต่อเย่เย่อย่างไม่ลังเล การเข้าร่วมของเฉินเจียนโปนั้นสร้างอิทธิพลต่อผู้คนจำนวนมากทำให้กองกำลังต่างๆเข้าร่วมหอการค้าหยูเย่อย่างไม่ขาดสาย จากความสำเร็จในครั้งนั้นเย่เย่จึงแต่งตั้งเขาเป็นหัวหน้า ผู้ประสานงานติดต่อประจำหอการค้า แม้ร่างกายเขาจะใหญ่บึกบึน แต่เขากลับฉลาดเป็นกรดต่างจากรูปลักษณ์ภายนอกอย่างสิ้นเชิง
เมื่อเขาเดินเข้ามา เขาจึงรีบคุกเข่ารายงานข่าวแก่เย่เย่อย่างลุกลี้ลุกลน
“ท่านเย่ ท่าไม่ดีแล้วขอรับ!”
“ท่านเฉินใจเย็นๆ ค่อยๆพูดช้าๆให้ข้าฟัง” เย่เย่ที่เห็นคนฉลาดอย่างเขามีท่าทีลนลาน จึงปลอบประโลมเขาให้ใจเย็นลง
“ข่าวจากเฟิงเจิ้นขอรับ มีบุรุษลึกลับขู่จะโจมตีตระกูลเย่ภายใน 3 วันขอรับ บัดนี้ตระกูลเย่ได้ส่งคนมาขอความช่วยเหลือจากท่านแล้วขอรับ ได้โปรดชี้แนะด้วย”
“ให้คนสกุลเย่ผู้นั้นเข้ามารายงานแก่ข้า เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง” เย่เย่มีสีหน้าวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด แต่เขาก็ไม่ได้ตื่นตระหนกแต่อย่างใด
ชายร่างใหญ่ได้พาคนสกุลเย่เข้ามา และเมื่อเย่เย่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด เขาก็ตัดสินใจรีบบึ่งไปยังเมืองเฟิงเจิ้นในทันที
“ท่านเฉินท่านนำกำลังพลของท่านตามข้ามา!” เขาออกคำสั่งแก่ชายร่างใหญ่อย่างเด็ดเดี่ยว
“ขะ..ขอรับ” เฉินเจียนโปที่ไม่ทันได้เตรียมใจ เขาก็มีท่าทีสับสนเล็กน้อย ก่อนที่จะตอบรับคำสั่งของเย่เย่
“สั่งการลงไป ระหว่างที่ข้าไม่อยู่ในหลิงเฉิงให้ทุกขั้วอำนาจเสริมการป้องกันและตั้งรับภายในเมืองรอจนกว่าข้าจะกลับมา” เขาสั่งให้เสวี่ยหยู และซูฉีเจี่ยถ่ายทอดคำสั่งของเขาออกไป
“ท่านเย่ หากพวกมู่หรงรู้ว่าท่านไม่อยู่ ท่านจะทำอย่างไรเจ้าคะ?” เสวี่ยหยูถามเย่เย่ นัยน์ตาคู่สวยของนางมองเย่เย่อย่างเป็นกังวล
“ถ้าข้าคาดไม่ผิดละก็ เรื่องที่เฟิงเจิ้นคงเป็นฝีมือของพวกมัน แต่ถึงอย่างไรข้าก็ต้องไป ข้าจะรีบกลับมาข้าสัญญา” เย่เย่ที่เห็นเจ้าของดวงตากลมโตมองเขาด้วยความเป็นห่วง เขาจึงให้สัญญากับนาง ก่อนที่จะลูบหัวนางด้วยความเอ็นดู
“รับทราบเจ้าค่ะ” เสวี่ยหยูปาดน้ำตาที่ซึมออกมาจากหางตา และเบือนหน้าหนีเย่เย่เพื่อเก็บซ่อนความอ่อนแอของนาง
นอกจากที่เสวี่ยหยูและซูฉีเจี่ยต้องรับหน้าที่ควบคุมดูแลกิจการแทนเสี่ยวหยูที่ฝึกฝนวรยุทธ์อยู่ในค่ายกลลมปราณไหลเวียนแล้ว พวกเขายังต้องรับภาระอันยิ่งใหญ่ต่อจากเย่เย่เป็นการชั่วคราวอีกด้วย เมื่อเย่เย่ควบม้าไปจนลิบตา ทั้งสองก็ยืนแข็งทื่อ พวกเขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาลที่เย่เย่ต้องแบกรับ
ณ มุมมืดของเมืองเฟิงเจิ้น อู๋เทียนผู้อาวุโสแห่งอารามจ้าววรยุทธ์จัดประชุมขึ้นอย่างลับๆกับจ้าวสำนักคนอื่นๆโดยมี หลิวเหาหลาน จ้าวสำนักกระบี่จรัสแสง และเฉิงเทียนตงจ้าวสำนักอัคคีร่วมด้วยเพื่อหารือเกี่ยวกับการจัดการตระกูลเย่
ตั้งแต่ที่เย่เย่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามในเมือง หลิงเฉิง ทำให้อิทธิพลของตระกูลเย่ของเขาเพิ่มมากขึ้น อำนาจของพวกเขาไม่เพียงทัดเทียมกับสำนักทั้งสาม แต่ยังเทียบชั้นได้กับอารามจ้าววรยุทธ์อีกด้วย
สถานการณ์ภายในอารามจ้าววรยุทธ์ในขณะนี้ไม่ค่อยสู้ดีนัก เนื่องจากประมุขฉินเจิ้นตูได้รับบาดเจ็บจากการพยายามก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองเพื่อบรรลุขั้นเทพอสูรไร้เงา ผู้อาวุโส อู๋เทียนจึงสบโอกาสนี้ในการขึ้นปกครองอารามแทนจ้าวสำนักและวางแผนกวาดล้างตระกูลเย่เพื่อเรียกคืนอำนาจของเขา เช่นเดียวกับสำนักกระบี่จรัสแสง และสำนักอัคคีแม้ว่าพวกเขาจะมีข้อพิพาทขัดแย้งกันอยู่บ่อยครั้ง แต่ในสถานการณ์นี้พวกเขากลับร่วมมือกันกำจัดตระกูลเย่ให้พ้นทาง
เมื่อความคิดของทั้งสามสำนักไปในทางเดียวกัน พวกเขาจึงนัดประชุมกันในสวนแห่งหนึ่งที่ลับตาผู้คน พวกเขาพูดถึงบุรุษลึกลับผู้หนึ่งที่มอบแสงสว่างให้แก่พวกเขา
“ข้าส่งคนไปสืบมาแล้ว บุรุษลึกลับผู้นี้คือหยางเฟิงเฟิงเป็นศิษย์ของมูหลงผู้เป็นถึงอันดับ 72 ของมังกรสวรรค์ และเขามีเป้าหมายเดียวกับพวกเรา ดูเหมือนว่าสวรรค์จะเข้าข้างพวกเราบ้างแล้ว” อู๋เทียนแสยะยิ้มด้วยความตื่นเต้นอย่างอดไม่ได้ ราวกับสวรรค์ประทานทางออกให้แก่เขา
“ศิษย์ของมังกรสวรรค์ ไม่เลวเลยนี่!? ถ้าเราใช้โอกาสนี้ช่วยเหลือเขา ไม่แน่ว่าเราอาจจะได้รับความดีความชอบจากมูหลงก็เป็นได้” หลิวเหาหลานพูดแสดงเจตจำนงของเขา เขาคิดจะใช้สถานการณ์นี้เป็นบันไดที่จะก้าวขึ้นเป็นใหญ่ในอนาคต…