บทที่ 119
ถ่ายลมปราณ
“ข้าน้อยขอคารวะท่านเย่” ฉินเจิ้นตูและบุตรชายของเขาฉินหมิงเดินเข้ามาในห้องรับรองแขก ก่อนที่จะทำความเคารพต่อเย่เย่
“ข้าต้องขออภัยสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้น เป็นความผิดของข้าเองที่มักละเลยเรื่องการเมืองภายใน และต้องขอบคุณท่านเย่ที่ช่วยกำจัดคนทรยศอย่างอู๋เทียน ข้าและอารามจ้าววรยุทธ์จะไม่ลืมบุญคุณของท่านในครั้งนี้เลย” ประมุขของอารมณ์กล่าวขอโทษและขอบคุณต่อเย่เย่ในเวลาเดียวกัน เขารู้ดีว่าความผิดของสำนักของเขานั้นเกินกว่าจะให้อภัย เขาจึงเอาแต่คุกเข่าก้มหน้าไม่ขยับเขยื้อนไปไหน
แม้แต่ฉินหมิงที่เปรียบเสมือนศิษย์พี่และเพื่อนเพียงไม่กี่คนของเย่เย่ เขาก็ไม่คิดว่าเย่เย่จะให้โอกาสพวกเขาอีกเป็นครั้งที่สอง และชะตากรรมของอารามจ้าววรยุทธ์คงไม่ได้แตกต่างไปจากสำนักกระบี่จรัสแสงและสำนักอัคคี
อย่างไรก็ตามเย่เย่ไม่ได้เป็นคนใจแคบแต่อย่างใด เมื่อเขาเห็นความจริงใจของสองพ่อลูก เขาก็ไม่ได้ถือสาเอาความอะไรมากนัก อย่างไรเสียในสายตาเขาที่เป็นถึงเทพอสูร อารามจ้าววรยุทธ์ก็ไม่ต่างอะไรกับลูกไก่ในกำมือของเขาที่กำก็ตาย คลายก็รอด
“ทั้งสองท่านลุกขึ้นเถอะ! การกระทำโดยพลการของ อู๋เทียนเพียงคนเดียวเทียบค่าไม่ได้กับความจงรักภักดีของพวกท่านเลยแม้แต่น้อย” เย่เย่ลุกขึ้นจากบัลลังก์และเดินไปหาสองพ่อลูกที่ยังคงก้มหน้าก้มตาอยู่ ก่อนที่จะพูดกับพวกเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
เหล่าผู้คนตระกูลเย่ที่คันไม้คันมืออยากจะซัดพวกเขาให้หายแค้นต่างผิดหวังไปตามๆกัน ตรงกันข้ามกับสองพ่อลูกที่ดีใจจนออกนอกหน้า
“ข้าซาบซึ้งน้ำใจของท่านเย่ยิ่งนัก พวกข้าสองพ่อลูกและอารามจ้าววรยุทธ์จะไม่มีวันลืมบุญคุณของท่านในครั้งนี้” ฉินเจิ้นตูโค้งคำนับเย่เย่อยู่หลายหน ราวกับเย่เย่เป็นวัตถุมงคลก็ไม่ปาน
“แค่ก แค่ก แค่ก”
แต่ทว่าร่างกายของชายชราที่ยังไม่ฟื้นตัวจากอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง ทำให้เขาไอออกมาเป็นเลือด สีหน้าของเขาซีดเซียวลงอย่างฉับพลัน และล้มลงนอนกับพื้น
“ท่านพ่อ!?” ฉินหมิงที่เห็นท่าไม่ดี เขาจึงรีบพยุงตัวบุพการีของเขาขึ้น เขาตกใจที่เห็นอาการป่วยของพ่อตนกำเริบ
ฉินเจิ้นตูผู้เป็นพ่อยกมือบ่ายเบี่ยงความช่วยเหลือจากผู้เป็นบุตร ก่อนที่จะพูดกับเย่เย่
“ต้องขออภัยด้วยที่ข้าเสียมารยาท ข้าฝืนบรรลุขั้นเทพอสูรโดยที่ลมปราณของข้ายังไม่เสถียร จนทำให้ข้าต้องอยู่ในสภาพนี้และดูท่าว่าข้าจะเหลือเวลาไม่มากนัก ช่างน่าละอายใจจริงๆ”
“ท่านพ่อ ท่านอย่าพูดเช่นนั้น!” ฉินหมิงบีบมือพ่อของตนด้วยนัยน์ตาที่แดงก่ำ เขารับไม่ได้ที่จะต้องเห็นบิดาของเขาจากไปต่อหน้าต่อตาโดยที่เขาทำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
“เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต ไม่มีอะไรที่เจ้าต้องเสียใจ” ผู้เป็นพ่อปลอบประโลมลูกชายของตนด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย
ฉินหมิงกัดริมฝีปากของตนเพื่อห้ามไม่ให้น้ำตาลูกผู้ชายของเขาต้องรินไหลออกมา ผู้คนในโถงตระกูลเย่ต่างพากันเศร้าสร้อยเมื่อต้องเป็นสักขีพยานในวาระสุดท้ายของฉินเจิ้นตู มีเพียงเย่เย่ที่ยังคงจับคางพลางวินิจฉัยอาการของชายชรา
เขาตระหนักขึ้นได้ว่าทางเดียวที่จะรักษาอาการของผู้ที่ล้มเหลวในการบรรลุขั้นวรยุทธ์คือต้องทำให้เขาบรรลุขั้นนั้นๆให้ได้โดยเร็วที่สุด ทันทีที่เขานึกวิธีนี้ขึ้นได้เขาก็เอ่ยปากยื่นข้อเสนอให้กับสองพ่อลูก
“ถ้าข้าให้ยาบรรลุวิชายุทธ์แก่ท่าน ท่านมั่นใจแค่ไหนว่าจะบรรลุขั้นเทพอสูรได้?”
ฉินเจิ้นตูได้ยินดังนั้นก็หูผึ่ง แม้ว่าเขาจะไม่เชื่อว่าเย่เย่ครอบครองยานั้นจริงๆ แต่เขาก็ตอบกลับเย่เย่ในทันที “ยาบรรลุวิชายุทธ์เป็นโอสถในตำนาน ที่จะช่วยเพิ่มโอกาสให้เทพยุทธ์บรรลุขั้นเทพอสูรได้น่ะหรือ? ท่านต้องล้อข้าเล่นแน่ๆ แค่ก แค่ก ถ้าข้าได้มันมาละก็ขั้นเทพอสูรก็อยู่แค่เอื้อมแล้ว”
แม้ว่าฉินหมิงจะไม่เข้าใจว่าทั้งสองคนคุยอะไรกัน แต่นัยน์ตาของเขาก็เปล่งประกายด้วยแสงแห่งความหวังอีกครั้งหนึ่ง “ท่านหมายความว่า ถ้าบรรลุขั้นเทพอสูรได้ ท่านจะไม่ตายใช่ไหม!?”
ผู้เป็นพ่อพยักหน้าตอบอย่างช้าๆ ก่อนกล่าวกับบุตรชายของตนด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ยาที่ว่านั่นน่ะไม่มีขายตามท้องตลาดหรอกนะ แม้แต่นักปรุงยามือดียังไม่สามารถสกัดมันออกมาได้เลย อย่ามาเสียเวลากับคนแก่ใกล้ตายอย่างข้าเลย”
ดูเหมือนว่าฉินหมิงอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ผู้เป็นพ่อก็ยกมือห้ามเขาไว้ และกล่าวขอบคุณเย่เย่พร้อมกับฝากฝังอารามจ้าววรยุทธ์ไว้กับเขาเป็นครั้งสุดท้าย
“แค่ก แค่ก ขอบคุณท่านเย่ที่เป็นห่วง อารามจ้าววรยุทธ์ติดหนี้บุญคุณครั้งใหญ่กับท่านแล้ว จากนี้ฝากท่านดูแลฉินหมิงและอารามจ้าววรยุทธ์ต่อไปด้วยเถิด”
“ท่านฉินท่านยังตายไม่ได้ ท่านยังต้องชดใช้บุญคุณกับข้าอีกมาก ข้าบังเอิญเก็บยาบรรลุวิชายุทธ์ไว้ใช้ในยามฉุกเฉินอยู่เม็ดนึงพอดี รับไปซะ” เย่เย่หยิบยาที่เขาแลกเปลี่ยนออกมาสำหรับการประมูลในอนาคตจากแขนเสื้อข้างซ้าย ก่อนจะส่งมันให้กับชายแก่ที่นอนซมอยู่กับพื้น
“น่ะ…นี่มันโอสถในตำนานจริงๆอย่างงั้นรึ!?” ไม่เพียง ฉินเจิ้นตูที่ตกตะลึงกับสิ่งนี้ แม้แต่คนใน
ตระกูลเย่เองก็ประหลาดใจไม่น้อยไปกว่ากัน
แม้ว่าจะยังคงสงสัย แต่ชายแก่ก็ไม่ได้มีทางเลือกมากนัก เขาจึงรวบรวมพลังกายพลังใจเฮือกสุดท้าย พยุงตัวขึ้นนั่งขัดสมาธิและกินยาเข้าไปอย่างไม่ลังเล ก่อนจะเริ่มทำการบรรลุขั้นเทพอสูร
ทันทีที่ยาออกฤทธิ์พลังแห่งโลกและสวรรค์ก็พรั่งพรูเข้ามาในร่างกายของชายชรา จนทำให้เกิดเสียงอึกทึกคึกโครมออกมาจากร่างของเขา
ครืนนนนนนนนนนนนนนนน
อย่างไรก็ตามพลังปราณของฉินเจิ้นตูนั้นยังห่างไกลกับคำว่าเสถียรอยู่มาก อีกทั้งอาการเจ็บป่วยของเขาทำให้เขาไม่มีพละกำลังที่มากพอในการสำเร็จขั้นเทพอสูร แม้จะกินยาบรรลุวิชายุทธ์แล้วก็ตาม เย่เย่ที่เห็นดังนั้นจึงไม่รอช้านั่งขัดสมาธิลงข้างหลังชายแก่ ก่อนที่จะรวบรวมพลังปราณของเขาลงที่ฝ่ามือทั้งสองข้าง และถ่ายโอนมันลงที่แผ่นหลังของฉินเจิ้นตู
ตู้มมมมมมมมมมมมมมมมมม
จากความช่วยเหลือของเย่เย่ทำให้ฉินเจิ้นตูบรรลุขั้นเทพอสูรได้ในที่สุด หลังจากที่ชายชราปรับสมดุลพลังของเขาเสร็จสิ้น เขาก็คุกเข่าลงต่อหน้าเย่เย่และขอบคุณเขาอีกครั้งหนึ่ง
“ขอบคุณท่านเย่ที่มอบชีวิตให้กับข้า หากท่านไม่รังเกียจ ข้า ฉินเจิ้นตูและศิษย์แห่งอารามจ้าว
วรยุทธ์ขอสวามิภักดิ์ต่อท่าน…”