บทที่ 120
เคลื่อนพล
เมื่อฉินหมิงเห็นอาการป่วยของผู้เป็นพ่อหายเป็นปลิดทิ้ง เขาจึงคุกเข่าประสานมือทำความเคารพต่อเย่เย่เช่นเดียวกับผู้เป็นบิดา
“ขอบคุณน้องเย่ ที่ช่วยรักษาพ่อของข้า ต่อจากนี้ ข้า ฉินหมิงและน้องเย่มีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้าน” ศิษย์พี่แห่งอารามจ้าววรยุทธ์กล่าวขอบคุณเย่เย่ผู้เป็นศิษย์น้องด้วยความซาบซึ้งใจ และยอมเข้าร่วมกับเย่เย่อย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
แม้ว่าเหล่ยเชิงและผู้คนแห่งสำนักจ้าววายุจะรู้สึกอิจฉาสองพ่อลูกแห่งอารามจ้าววรยุทธ์แต่พวกเขาก็รู้สึกยินดีไปกับเย่เย่ด้วยเช่นกัน หลังจากพวกเขาระดมความคิดกันอยู่นานพวกเขาก็ตัดสินใจเข้าร่วมกับเย่เย่ด้วยเช่นกัน
“สำนักจ้าววายุของพวกเราต้องขอพึ่งบารมีท่านแล้ว” เหล่ยเชิง เหล่ยถิง และศิษย์แห่งสำนักจ้าววายุต่างประสานมือ และกล่าวอย่างพร้อมเพรียงกัน แม้ว่าผู้นำทั้งสองจะไม่ได้คิดอะไรซับซ้อน แต่ในใจลึกๆของเหล่าศิษยานุศิษย์นั้นหวังรางวัลจากเย่เย่
เย่เย่พยักหน้าให้กับเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาอย่างช้าๆ ตัวเขาเองไม่ได้แปลกใจอะไรกับภาพที่เห็นตรงหน้ามากนักราวกับคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว พลางคิดวิธีจัดสรรปันส่วนเมื่อกองกำลังของเขามีขนาดใหญ่ขึ้น
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้า เย่เย่ขอรับน้ำใจของพวกท่าน บัดนี้หอการค้าหยูเย่ต้องหวังพึ่งกำลังของพวกท่านแล้ว! ข้าจะให้ยาและอาวุธชั้นยอดกับพวกท่าน จงนำไปขัดเกลาวรยุทธ์ของท่านให้แข็งแกร่ง และเมื่อพวกท่านพร้อมจงเคลื่อนพลไปหลิงเฉิงพร้อมกับข้า”
“รับทราบ!” ทั้งสองพ่อลูก และเหล่าสำนักจ้าววายุตอบรับคำสั่งของเย่เย่ด้วยเสียงดังฟังชัด
ไม่เพียงอารามจ้าววรยุทธ์ และสำนักจ้าววายุเท่านั้น เย่เย่ยังคงแลกเปลี่ยนยาและอุปกรณ์มากมายเพื่อเสริมแกร่งให้กับตระกูลเย่ของตนด้วยเช่นเดียวกัน
ระหว่างที่ขั้วอำนาจทั้งสามแห่งเฟิงเจิ้นกำลังฝึกฝนยกระดับกองกำลังของตนอยู่นั้น เย่เย่ก็แลกเปลี่ยนไอเทม ‘เข็มดัชนีเยือกแข็ง’ ออกมาจากระบบ แม้ว่าด้วยระดับวรยุทธ์ขั้นเทพอสูรของเขาจะใช้อาวุธชิ้นนี้ได้ไม่เกิน 3 ครั้ง และไม่สามารถดึงประสิทธิภาพขั้นสูงสุดของมันมาได้ แต่เขาก็พึงพอใจกับคุณสมบัติของมัน
จากการต่อสู้กับหยางเฟิงเฟิงทำให้เกราะมังกรเมฆาของเขาได้รับความเสียหายอย่างหนักจนใช้งานไม่ได้ อย่างไรก็ตามด้วยจิตวิญญาณการต่อสู้มังกรอสรพิษของเขาที่มีพลังป้องกันไม่ด้อยไปกว่าเกราะเดิมของเขา ทำให้เย่เย่ไม่ได้เป็นกังวลในส่วนนี้มากนัก
สองวันถัดมา หลังจากที่เขาฝึกฝนการใช้งานเข็มดัชนีเยือกแข็งจนชำนาญ เย่เย่จึงสั่งเคลื่อนพลกองกำลังของเขามุ่งหน้าสู่เมืองหลิงเฉิงที่ในขณะนี้ถูกรายล้อมด้วยทัพใหญ่ของตระกูลมู่หรง
เมืองเฟิงเจิ้นที่เหลือผู้คนอยู่น้อยนิดก็สงบสุข ปราศจากความขัดแย้งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ตรงกันข้ามกับบรรยากาศที่ชุลมุนวุ่นวายของเมืองหลิงเฉิงโดยสิ้นเชิง
หลังจากได้รับข่าวลวงจากเฉินเจียนโปผู้แปรพักตร์ มู่หรงตู่เฟิงจึงนำทัพเหล่าจอมยุทธ์ฝีมือฉกาจออกมาด้วยตนเอง และแบ่งทัพออกเป็น 3 ทัพใหญ่ๆเข้าปิดล้อมหอการค้าตันเซียง สำนักรุ่งอรุณ และสำนักเพลิงสวรรค์ผู้เป็นกำลังหลักของหลิงเฉิงในทันที
หากไม่ได้ค่ายกลที่เย่เย่ติดตั้งไว้ให้ พวกเขาทั้งสามคงจะถูกทัพใหญ่ของตระกูลมู่หรงตีแตกภายในชั่วอึดใจเป็นแน่
หลังจากที่พวกเขาโจมตีค่ายกลเป็นเวลา 2 วันเต็มๆ ทัพย่อยทั้งสามทัพของพวกเขาก็จนปัญญา และตัดสินใจปักหลักอยู่บริเวณรอบนอกขั้วอำนาจทั้งสามเพื่อหวังตัดการขนส่งเสบียงของพวกเขา แต่ไม่ว่าจะยั่วยุ ข่มขู่ หรือทำอะไรต่อมิอะไรแล้วก็ตาม ก็ไร้วี่แววว่าขั้วอำนาจทั้งสามจะยอมจำนนแต่โดยดี
“ท่านจ้าวตระกูล ปล่อยไว้แบบนี้เสบียงของเราได้หมดก่อนพวกเขาแน่!”
ภายในโรงเตี๊ยมฝั่งตรงข้ามของหอการค้าหยูเย่ที่พวกเขายึดเป็นฐานที่มั่น มู่หรงจิ้นหัวได้เข้ามารายงานแก่มู่หรงตู่เฟิงด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด
ปัง!
“ไม่คิดเลยว่าพวกมันจะเตรียมการมาเป็นอย่างดีถึงเพียงนี้!?” ชายชราผู้เป็นจ้าวตระกูลทุบโต๊ะกลมๆของโรงเตี๊ยมด้วยความคับแค้น ก่อนที่จะชายตามองไปยังหอการค้า 7 ชั้นที่ตั้งตระหง่าน อยู่ไม่ไกลนัก เขากุมขมับพลางคิดหนทางแก้สถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ ทางเดียวนอกจากถอนทัพคือต้องเผด็จศึกให้ได้โดยเร็วที่สุด
“ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ให้สามทัพย่อยมาสมทบกับทัพใหญ่ของข้า เราจะโจมตีหอการค้าหยูเย่ให้ได้ภายในคืนนี้”
“ขอรับ!” เมื่อสิ้นเสียงของจ้าวตระกูล มู่หรงจิ้นหัวก็ตอบรับก่อนที่จะกระจายคำสั่งไปยังกองกำลังที่ปักหลักอยู่ที่ขั้วอำนาจทั้งสาม
ทันทีที่ได้รับคำสั่งพวกเขาก็ถอนกำลัง และเคลื่อนกำลังพลไปรวมตัวกันที่ลานกว้างหน้าหอการค้าหยูเย่อย่างรวดเร็ว
“ชาวเมืองหลิงเฉิงช่างดื้อด้านเสียจริง! เห็นทีที่พวกเราตระกูลมู่หรงแห่งเมืองจิ้นเฉิงต้องสั่งสอนให้พวกมันได้รับรู้ถึงความพ่ายแพ้ซะบ้าง”
โอ้วววววววววววววววววววววววว
เหล่ากองทัพของจอมยุทธ์มากฝีมือก็บุกทะลวงเข้าโจมตีหอการค้าหยูเย่อย่างพร้อมเพรียงกัน จนทำให้เกิดเสียงสนั่นลั่นไปทั่วเมืองหลิงเฉิง
เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยงงง
แม้ว่าการโจมตีที่ทรงพลังของพวกเขาจะทำให้ค่ายกลที่เปรียบเสมือนปราการเหล็กที่คอยปกป้องหอการค้าเกิดรอยร้าวขึ้นทีละนิดๆ แต่ไม่นานรอยเล็กๆนั้นก็ผสานตัวเข้าด้วยกันดังเดิม
“เหววออออ นี่มันอะไรกัน!?” กองทัพมู่หรงเริ่มแตกตื่นเมื่อเห็นการโจมตีของพวกเขาไม่ได้ผลเลยสักนิด
“เจ้าพวกบื้อ โจมตีเข้าไปอีก โจมตีเข้าไปอย่าหยุด!” แม้ว่ามู่หรงตู่เฟิงจะไม่ได้แสดงท่าทีลนลานออกมา แต่กำลังใจของเขาก็เริ่มถดถอยเช่นกัน เดิมทีแผนการรวมพลเผด็จศึกที่พวกเขากำลังใช้อยู่นี้เป็นแผนสำรองที่เขาเองไม่อยากใช้มากนัก เพราะมันแสดงให้เห็นว่าพวกเขาจนปัญญาในการตีเมืองหลิงเฉิงแล้วนั่นเอง…