บทที่ 122
ชัยชนะท่ามกลางคราบน้ำตา
ทันทีที่มู่หรงตู่เฟิงเคล็ดวิชาลับออกมาใช้ แขนข้างที่เป็นอัมพาตก็หายเป็นปลิดทิ้ง วิชายุทธ์หัตถ์เทวะนี้แม้จะมีเวลาใช้งานที่จำกัด แต่ก็ทำให้ผู้ใช้ก้าวข้ามขีดจำกัดของพลังขั้นเทพอสูรได้ และว่ากันว่าด้วยพลังของมันสามารถบดขยี้หินผาได้ด้วยมือเปล่าได้เลยทีเดียว
หลังจากที่เย่เย่ฟังตู่เฟิงคุยโม้โอ้อวดอยู่นาน เขาก็รุดหน้าเข้ากระหน่ำแทงชายแก่ด้วยกระบี่เทพอัสนีอีกครั้งหนึ่ง
เปรี้ยงงงงงงงงงงงงงง
การโจมตีของสายฟ้าสีม่วงถูกชายทรงอำนาจหยุดไว้ได้ด้วยมือเปล่าเพียงข้างเดียว เย่เย่ตกใจเมื่อเห็นดังนั้นเขาจึงรีบชักกระบี่ออกโดยเร็ว แต่ทว่า…
เคร้งงงง!
“อ่อนหัด!” ตู่เฟิงใช้มือที่ส่องแสงทองของเขาหักกระบี่เทพอัสนีของเย่เย่จนหักเป็น 2 ท่อน ก่อนจะปล่อยมันตกลงสู่พื้นอย่างง่ายดาย
“อะไรกัน!?” เย่เย่ถอนกระบี่ออกไม่ทัน ใบหน้าของเขาเริ่มถอดสีด้วยความตกใจกลัว ตู่เฟิงจึงฉวยโอกาสเพียงชั่วพริบตา ก้าวเข้ามาใช้ฝ่ามือกระทุ้งไปที่กลางอกของเย่เย่อย่างรุนแรง
“อ่อกกกก!” ร่างของเย่เย่กระเด็นลอยขึ้นไปในอากาศ เขาสำลักเลือดออกมากองโต และรู้สึกร่างเริ่มเบาหวิวราวกับวิญญาณหลุดออกจากกายหยาบ ตู่เฟิงที่เห็นโอกาสชี้ชัย เขาเร่งฝีเท้าเข้ารัวหมัดใส่เย่เย่ที่ลอยอยู่กลางอากาศ
ทันใดนั้นเอง เย่เย่ที่ประคองสติที่เหลือเพียงน้อยนิดได้ เขาก็สะบัดแขนปล่อยเข็มดัชนีเยือกแข็งอาวุธลับที่เขาซ่อนไว้ในแขนเสื้อออกมาใส่ศัตรูที่เข้าจู่โจมเขาอย่างฉับพลัน
ฟิ้ววววววววววว
ตู่เฟิงที่คิดว่าการโจมตีของเย่เย่เป็นแค่การดิ้นรนของคนใกล้ตาย เขาจึงสะบัดแขนเสื้อปัดอาวุธลับเหล่านั้นทิ้งอย่าไม่แยแส แต่ทว่าเข็มนั้นแหลมคมกว่าที่เขาคิดมาก มันทะลุแขนเสื้อและปักเข้าที่คอหอยของเขา
ฉึกกก
พรวดดดดดดดด
“อ้ากกกกกกกกกกก” ยักษาตนที่สามแห่งภูมิภาคดิ้นทุรนทุรายเมื่อโดนอาวุธลับเสียดแทงเข้าที่ลำคอ เขาพยายามรวบรวมพลังวารีที่เขาสั่งสมมาเพื่อหวังฟื้นฟูบาดแผลแต่ก็ไม่เป็นผล เข็มดัชนีเยือกแข็งสะกดพลังปราณธาตุน้ำของเขาเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์
โครมมมม
ร่างไร้ชีวิตของมู่หรงตู่เฟิงตกลงสู่พื้น นอนจมกองเลือดอย่างน่าอเนจอนาถ
“เราชนะแล้ว ฆ่าพวกมันให้หมดดดดด !” ซูฉีเจี่ยเห็นสถานการณ์พลิกผันเขาจึงรีบตะโกนปลุกใจเหล่าพันธมิตรให้เข้าโจมตีศัตรู
ตู๋กู่เหยียน ฉินจิ้นตู และจ้าวสำนักคนอื่นๆพยักหน้าตอบรับ และสั่งให้เหล่ากองกำลังของตนปิดกั้นทางหนีทีไล่ของศัตรูเอาไว้
มู่หรงจิ้นหัวและเหล่าจอมยุทธ์แห่งตระกูลมู่หรงที่ติดอยู่ในวงล้อม สีหน้าของพวกเขาซีดเซียวลงเมื่อเห็นผู้เป็นนายจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ในหัวของพวกเขาตอนนี้มีแต่คิดหาหนทางที่จะเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้ไปให้ได้
“ยะ..อย่าได้กลัวไป พวกเจ้าจงฟังข้า! พวกเราจะตีฝ่าวงล้อมนี้ออกไปให้ได้!” แม้จะกลัวจนตัวสั่น แต่มู่หรงจิ้นหัวผู้เป็นเบอร์สองของตระกูลมู่หรงก็พยายามเรียกขวัญกำลังใจอันน้อยนิดของเขาและพรรคพวกกลับมา
แม้ว่าจะไม่มีเสียงตอบกลับจากลูกน้องของเขา แต่ทั้งหมดก็พร้อมใจกันใช้แรงเฮือกสุดท้ายที่มีอยู่ค่อยๆตีฝ่าวงล้อมนี้ออกทีละนิดๆแต่ทว่า…
“ในเมื่อพวกเจ้ากล้ารุกรานหลิงเฉิงของข้า พวกเจ้าก็ต้องเตรียมตัวตายด้วยเช่นกัน” เย่เย่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นและไร้ความปรานี กำลังใจที่จิ้นหัวพยายามเรียกคืนกลับมาก็มอดลงในพริบตาเมื่อพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับเย่เย่
กา กา กา
เสียงการ้องท่ามกลางสมรภูมิที่เต็มไปด้วยซากศพและกลิ่นคาวเลือด การต่อสู้จบลงด้วยชัยชนะของเมืองหลิงเฉิง และเหล่าผู้คนของตระกูลมู่หรงก็ถูกกวาดล้างจนหมดสิ้น
แม้ว่าร่างไร้วิญญาณส่วนมากจะเป็นของเหล่าศัตรู แต่เหล่าพันธมิตรเองก็ล้มตายลงเป็นจำนวนไม่น้อยเลยเช่นเดียวกัน เสียงร้องไห้ครวญครางดังระงมไปทั่วสนามรบที่ดับมอด เหล่าพันธมิตรแห่งหลิงเฉิงเก็บศพพรรคพวกของพวกเขาด้วยคราบน้ำตา และความโศกเศร้า
“ฝนตกหรือเปล่า?” ชายคนนึงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า และกล่าวขึ้นมา
“เอ๋? ไม่เห็นตกนี่” หญิงสาวคนนึงตอบ
“ไม่สิ ฝนมันต้องตกอยู่แน่ๆ” ชายผู้นั้นตอบกลับหญิงสาวพร้อมกับน้ำตาที่ไหลพรากออกมา
“นั่นสินะ…” หญิงสาวตอบกลับทันทีเมื่อเห็นน้ำตาของชายหนุ่ม
เย่เย่เดินกลับมายังสมรภูมิอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะใช้กระบวนท่ากลืนสวรรค์ขั้นสูงดูดกลืนจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเหล่าศัตรู และวีรชนผู้กล้า พลางคิดทบทวนถึงคำพูดของ เหยียนลี่หยาง แม้ว่าหลิงเฉิงจะรอดพ้นวิกฤติในครั้งนี้ได้อย่างหวุดหวิด แต่ในครั้งหน้าเขาอาจจะไม่โชคดีเช่นนี้อีกก็เป็นได้
“หืม?” เย่เย่รู้สึกได้ถึงจิตวิญญาณมากมายที่เอ่อล้นในตัวเขา ไม่นานนักเขาเล็กๆสองข้างก็งอกขึ้นบนหน้าผากของจิตวิญญาณอสรพิษในร่างของเขา เย่เย่กะพริบตาอย่างช้าๆสองครั้งด้วยความสงสัย แต่เขาก็อดใจที่จะทดสอบพลังของมันไม่ได้
ตอนนี้เย่เย่รู้สึกว่าระดับวรยุทธ์ของเขาพัฒนาได้อย่างก้าวกระโดดไม่เหมือนกับตอนที่เพิ่งบรรลุเทพอสูรได้หมาดๆ ด้วยความรวดเร็วระดับนี้ไม่แน่ว่าเขาอาจจะไปถึงจุดสูงสุดของเทพอสูรได้ภายใน 1 ปี
วันถัดมาเย่เย่ก็ได้เรียกประชุมขั้วอำนาจทั้งหมดที่ห้องประชุมชั้น 5 ของหอการค้าหยูเย่ เพื่อหารือเกี่ยวกับอนาคตของเมืองหลิงเฉิง
“ขอบคุณท่านเย่ ที่นำความสงบสุขกลับมาสู่หลิงเฉิงได้อีกครั้งหนึ่ง จากนี้ไปหอการค้าตันเซียงขอทำตามความประสงค์ของท่าน” เฉินอี้ตันคุกเข่าพร้อมกับประสานมือแสดงเจตจำนงในการเข้าร่วมกับหอการค้าหยูเย่ นอกจากเขาแล้วจางเสี่ยวยู่แห่งสำนักเพลิงสวรรค์ และเหอเฉินแห่งสำนักรุ่งอรุณก็ยินยอมพร้อมใจสนับสนุนหอการค้าหยูเย่อย่างเต็มกำลัง
“ลุกขึ้นเถอะ! ในเมื่อพวกท่านต้องการเช่นนั้น ข้าก็ไม่ปฏิเสธ ข้าขอให้สัญญาว่าตราบใดที่ข้าและหอการค้าหยูเย่ยังอยู่ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ทำอะไรพวกท่านและเมืองหลิงเฉิงไม่ได้!” เย่เย่ลุกขึ้นพร้อมผายมือ และให้คำสัตย์แก่พวกเขาทั้งสาม
“ท่านเย่เย่ และเมืองหลิงเฉิงจงเจริญ!” ทั้งสามกล่าว แซ่ซ้องสรรเสริญเย่เย่อย่างเป็นเสียงเดียวกัน
จากการล่มสลายของตระกูลมู่หรง ทำให้เย่เย่ขึ้นปกครองจิ้นเฉิงแทนพวกเขาโดยปริยาย นอกจากนี้ยังทำให้เย่เย่กลายเป็นยักษาตนที่ 3 แห่งภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ด้วยเช่นกัน
หลังจากจบศึกใหญ่ เย่เย่ก็ไม่ลืมสัญญาที่ให้ไว้กับ เสี่ยวหยู เขาจึงถือโอกาสประกาศแต่งงานกับเสี่ยวหยูในหนึ่งเดือนถัดไปให้ผู้คนในหอการค้าหยูเย่ได้รับรู้
“พี่เย่ ท่านเนี่ยไม่เบาเลยนะ!” เจิ้งซูเดินเข้ามาและเอาศอกกระทุ้งที่เอวของเย่เย่เบาๆ
“ข้าอยากอุ้มหลานไวๆจัง” เย่เทียนที่แวะมาหลิงเฉิงก็พูดโพล่งขึ้นมา
หลังจากเสี่ยวหยูได้ยินประกาศแบบกะทันหันของเย่เย่ นางตกตะลึงจนทำตัวไม่ถูกจึงเอาแต่เขินตัวบิดไปบิดมา ก่อนที่น้ำตาแห่งความปีติยินดีจะไหลออกมาด้วยรอยยิ้ม…