บทที่ 136
ฉิวเฉียด
หลินซิวเหยียนรอคอยเวลานี้มานาน เวลาที่ตัวตนของ เย่เย่จะถูกเปิดเปิงต่อหน้าสาธารณชน เขารู้ดีว่าทันทีที่เย่เย่ถูกยืนยันในฐานะวิญญาณกลับชาติมาเกิด ทัณฑ์สวรรค์ต้องไม่ปล่อยเขาเอาไว้แน่ นัยน์ตาของเขาจึงสะท้อนแสงแห่งความหวังออกมาอีกครั้งหนึ่ง
หากเย่เย่ตายแล้ว หอการค้าหยูเย่ที่ขาดผู้นำก็ไม่ต่างอะไรจากร้านขายของชำข้างทาง ศัตรูของตำหนักประกายแสงจะเหลือเพียงสำนักดาบบูรพาไร้พ่ายผู้ถือครองอำนาจลำดับที่ 2 ของภูมิภาคเท่านั้นซึ่งทำให้การขึ้นปกครองภูมิภาคของเขาไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
“ลงมือเลยสิ!” นอกจากที่เย่เย่จะไม่ได้แสดงความกลัวออกมาจากสีหน้าแล้ว เขายังเร่งให้กงเจิ้นใช้เข็มทิศแห่งการเกิดใหม่พิสูจน์ตัวตนของเขาอีกด้วย
กงเจิ้นที่ลังเลอยู่พักใหญ่ เขาก็พยักหน้าตอบรับเย่เย่และลงมือถ่ายโอนพลังปราณลงบนเข็มทิศ หลังจากที่เขาเปิดใช้งานสำเร็จเข็มทิศก็ส่องแสงสว่างเจิดจ้าออกมา ก่อนที่มันจะห่อหุ้มร่างของเย่เย่เอาไว้
เสี่ยวหยูที่ยืนอยู่ข้างกายเย่เย่ก็อดเป็นห่วงเขาไม่ได้ มือเรียวเล็กของนางสั่นระริกด้วยความกังวล นางเบือนหน้าหนีราวกับไม่ต้องการเห็นผลลัพธ์ของมัน เช่นเดียวกับแขกผู้เข้าร่วมงานถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ทุกคนที่สงสัยเย่เย่ แต่พวกเขาก็กระวนกระวายใจกับผลลัพธ์ที่พวกเขาอาจคาดไม่ถึง
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ แสงสีขาวที่ปกคลุมกายของ เย่เย่ก็ได้ค่อยๆจางหายไป ปรากฏให้เห็นเย่เย่ที่ยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เสร็จรึยัง?” เย่เย่หันหน้าถามกงเจิ้นด้วยรอยยิ้มที่มั่นใจ น้ำเสียงของเขาดูนิ่งสงบกว่าที่เคย มีเพียงเขาที่รู้ว่าระหว่างการพิสูจน์นั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ระหว่างที่เขาถูกทดสอบ เย่เย่ถูกแสงที่โอบล้อมร่างเขาฉุดกระชากวิญญาณราวกับจะแยกกายหยาบกับกายทิพย์แยกออกจากกัน หากเขาไม่ได้จี้หยกเจิ้งฮุนที่คอยผสานวิญญาณเอาไว้ ตัวตนของเขาต้องถูกเปิดโปงจากลำแสงทรงพลังนี้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามความทรมานจากการที่ถูกดึงวิญญาณนั้นไม่ใช่เล่นๆ มันรุนแรงจนทำให้เขาแทบจะคุมสติไว้ไม่อยู่ แต่ทันทีที่กระบวนการทั้งหมดเสร็จสิ้นความเจ็บปวดทั้งหมดก็หายเป็นปลิดทิ้ง
เมื่อผลลัพธ์เป็นที่ประจักษ์แก่ทุกสายตา ผู้คนที่ถูกดึงมาติดร่างแหด้วยต่างพากันถอนหายใจด้วยความโล่งอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าบรรดาลูกจ้างของหอการค้าหยูเย่ที่ดีใจจนออกนอกหน้า
“นายน้อย!” เสี่ยวหยูตะโกนเรียกเย่เย่ด้วยความรู้สึกสับสนและดีใจในเวลาเดียวกัน
“โถ่เอ๊ย บ้าฉิบ!” หลินซิวเหยียนกัดเล็บด้วยความเจ็บใจ เขาไม่อยากยอมรับผลลัพธ์ที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า ในเมื่อเย่เย่ผ่านบททดสอบของทัณฑ์สวรรค์ไปได้เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีก
กงเจิ้นมองที่หน้าปัดของเข็มทิศอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ ก่อนปิดฝาของมันลง และพูดกับเย่เย่ขึ้นอีกครั้ง
“ดูท่าว่าข้าคงมองเจ้าผิดไป ในเมื่อเข็มทิศไม่พบความผิดปกติ เจ้าก็ถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์”
กงเจิ้นที่คว้าน้ำเหลวอีกครั้ง เขาก็หันหลังและเดินจากไปอย่างเงียบๆ ร่างของเขาหายไปพร้อมกับแสงที่สว่างวาบขึ้นในชั่วพริบตา ทันทีที่ทัณฑ์สวรรค์จากไปแรงกดดันที่เขาแผ่ออกมาก็พลอยจางหายไปด้วย ผู้คนที่ถูกสะกดเอาไว้ก็เริ่มฟื้นตัวและกลับมามีเรี่ยวแรงดังเดิม
“ท่านเย่ ยินดีด้วยที่พิธีวิวาห์ของท่านจบลงด้วยดี เช่นนั้นข้าขอตัว” หลินซิวเหยียนที่เห็นบทสรุปที่แตกต่างไปจากที่เขาวางเอาไว้ก็รีบชิ่งหนีพร้อมกับพรรคพวกในทันที
“จะรีบไปไหนล่ะพี่ชาย” เจิ้งซูพูดขึ้น
“ข้าไม่ปล่อยพวกเจ้าไปแน่!” ซูฉีเจี่ยเสริม
ทั้งสองนำกำลังปิดล้อมทางหนีทีไล่ของศัตรูอย่างรวดเร็ว แต่ทว่า
“ปล่อยพวกเขาไป ข้าไม่อยากเห็นการหลั่งเลือดในงานแต่งงานของข้า!” เย่เย่หันหน้ามองเสี่ยวหยู เขาลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนออกคำสั่งให้พรรคพวกของเขาปล่อยศัตรูกลับไป
ก่อนจะแต่งงานกับเสี่ยวหยู เย่เย่เคยได้ให้สัญญากับนางไว้ว่าจะไม่ก่อสงครามโดยไม่จำเป็น และปกครองเมืองหลิงเฉิงโดยสันติ ถึงแม้ว่าสิ่งที่หลินซิวเหยียนทำควรจะได้รับบทลงโทษที่สาสม แต่เย่เย่ก็เลือกที่จะไว้ชีวิตพวกเขา
“หลินซิวเหยียน วันนี้ข้าจะปล่อยท่านไปก่อน หากตำหนักประกายแสงของท่านอยากประกาศสงครามอีกละก็ เราจะได้เห็นดีกัน”
“ฝากไว้ก่อนเถอะ!” หลินซิวเหยียนพูดประโยคสุดคลาสสิคของตัวร้ายเกรด B ออกมาด้วยความเจ็บแค้น ก่อนสั่งให้ลูกน้องของเขาเดินทางกลับ
เสี่ยวหยุนหลงและคนอื่นๆก็ได้ตามหลินซิวเหยียนที่เดินนำออกไปอย่างเงียบๆ พลางหันเหลียวมองหลังด้วยสายตาคับแค้น พวกเขาไม่ได้ออกจากเมืองหลินเฉิงในทันที แต่เข้าพักที่โรงเตี๊ยมฝั่งตรงข้ามของหอการค้าหยูเย่
“เย่เย่ รอข้าก่อนเถอะ!” ยักษาตนแรกเกาะขอบหน้าต่างของห้องพักส่วนตัว และมองไปที่หอการค้า 7 ชั้นที่ตั้งตระหง่านอยู่ในทิศตรงกันข้าม
ในขณะเดียวกัน สมาชิกของหอการค้าหยูเย่และบรรดาแขกผู้เข้าร่วมงานก็เฉลิมฉลอง กินดื่มกันจนชุ่มปอด จนกระทั่งดึกดื่นพวกเขาก็ได้ส่งคู่บ่าวสาวเข้าห้องหอตามธรรมเนียม
เย่เย่ที่สังเกตเห็นใบหน้าที่น้อยใจของเสี่ยวหยู เขาก็รู้ตัวมาโดยตลอด แต่เขาก็พยายามหลีกเลี่ยงไม่พูดถึงเรื่องนั้น จนกระทั่งนางถามขึ้น
“นายน้อย ท่านคือนายน้อยของข้าจริงๆใช่ไหมเจ้าคะ?”
“ถามอะไรแปลกๆ ถ้าข้าไม่ใช่แล้วข้าคือใครกันล่ะ?”
“แล้วทำไมวันนี้ท่านถึงตอบคำถามท่านกงเจิ้นว่า พวกเราเจอกันตั้งแต่ที่ท่านฟื้นกันล่ะเจ้าคะ!?” ก่อนที่เย่เย่จะพูดจบ เสี่ยวหยูก็แทรกถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
“เจ้าเด็กโง่ เจ้าคิดมากไปแล้ว รายละเอียดเล็กๆน้อยๆอย่างวันที่เจอกันวันแรกขืนตอบไม่ตรงกันกับเจ้า อีกหลายชีวิตจะพลอยติดร่างแหไปด้วย ดังนั้นข้าจึงพูดเช่นนั้นเพื่อไม่ให้เกิดข้อพิรุธไงล่ะ”
เย่เย่ที่คาดเดาคำถามของเสี่ยวหยูไว้อยู่แล้ว เขาจึงชักแม่น้ำทั้งห้าเพื่อไขข้อสงสัยของนางได้อย่างแนบเนียน…